เหตุการณ์หลังจากนั้นและบทสรุปของสงคราม ของ การบุกครองเกาหลีของญี่ปุ่น_(ค.ศ._1592–98)

การรุกรานของญี่ปุ่นในครั้งนี้จัดได้ว่าเป็นการรบที่กินยุทธบริเวณในระดับภูมิภาคและมีการระดมสรรพกำลังติดอาวุธสมัยใหม่ขนาดใหญ่เข้าโรมรันกันเป็นครั้งแรกในทวีปเอเซีย[163] โดยกองกำลังประจำการของญี่ปุ่นนั้นมีขนาดถึงสองแสนนายและจีนแปดหมื่นนาย[65] สำหรับฝ่ายเกาหลีแล้วมีทั้งกองทหารประจำการและทหารอาสาเข้าร่วมในการสู้รบนับแสนนาย[164] อันมีจำนวนเทียบเคียงได้กับจำนวนทหารที่เข้าร่วมรบในสงครามสามสิบปีของยุโรปเลยทีดียว[164]

การรุกรานในครั้งนี้นับได้ว่าเป็นการท้าทายความเป็นศูนย์กลางอำนาจของจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกถึงสองระดับ[165] หนึ่งคือในระดับการทหารซึ่งเป็นการท้าทายต่อแสนยานุภาพทางทหารของราชวงศ์หมิงในภูมิภาคนี้[166] และสองคือในระดับการเมืองซึ่งท้าทายความสามารถในการพิทักษ์ดินแดนในอารักขาของจีน[166]

ถ้าหากทฤษฎีที่ว่าเป้าหมายในการรุกรานของฮิเดะโยะชิคือการยึดครองจีนเป็นจริงแล้ว (ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดที่ว่าเป้าหมายของฮิเดะโยะชิคือการสร้างความเป็นศูนย์กลางอำนาจของญี่ปุ่น ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงกว่าแต่ก็ยังเป็นเพียงสมมติฐาน)[47] นี่แสดงให้เห็นว่าเกาหลีนั้นมีความสำคัญในฐานะทางผ่านสำหรับญี่ปุ่นในการรุกรานจีนในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 และและสำหรับจีนในการรุกรานญี่ปุ่นในการรุกรานญี่ปุ่นของมองโกล[47]

สิ่งที่เสียและผลที่ได้จากสงคราม

ญี่ปุ่นนั้นได้รับเอาวิทยาการในการผลิตเครื่องดินเผา ผ้าไหม และการตีโลหะขึ้นรูปจากเกาหลีโดยแลกกับชีวิตนับแสนและเงินคงคลังของชาติจำนวนมหาศาล[167] หลังการอสัญกรรมของฮิเดะโยะชิ บุตรชายของเขาโทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะริขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งต่อ แต่ทว่าการรุกรานเกาหลีในครั้งนี้ลดทอนอิทธิพลและความน่ายำเกรงของตระกูลโทะโยะโตะมิลงในช่วงเวลาไม่กี่เดือน ส่งผลให้ดุลย์อำนาจในญี่ปุ่นสั่นคลอน ในเวลาต่อมาโทะกุงะวะ อิเอะยะซุมีชัยในยุทธการเซะกิงะฮะระจนสามารถสถาปนาอำนาจขึ้นเป็นโชกุนได้ใน ค.ศ. 1603[168]

ฝ่ายจีนเองก็เสียเงินท้องพระคลังจำนวนมหาศาลในการพิทักษ์เกาหลีในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับเผ่าแมนจูในสงครามครั้งใหม่[10] ซึ่งต่อมาประสบความปราชัย ฝ่ายแมนจูสามารถสถาปนาราชวงศ์ชิงได้ในท้ายที่สุด

สำหรับเกาหลีซึ่งเป็นสมรภูมิรบนั้นได้รับความสูญเสียมากที่สุดในสามฝ่าย[10] และความขัดแย้งครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกาหลีประสบกับความย่อยยับมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาหลีและแม้แต่สงครามภายในประเทศเองก็ยังมิอาจะเทียบเคียง[11] พื้นที่เกษตรกรรมเสียหายไปถึงร้อยละหกสิบหกเทียบกับเมื่อก่อนสงคราม[9] ซึ่งทำลายเศรษฐกิจการเกษตรของเกาหลีอย่างใหญ่หลวง[167] ความอดอยาก โรคระบาดและความไม่สงบแพร่กระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า[10] โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมบัติประจำชาติ วัฒนธรรม และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เช่นนาฬิกาน้ำ จากยูครู[169] และการเสียช่างฝีมือจนทำให้วิทยาการของเกาหลีเสื่อมถอยไป[170]

จีโอ เฮช โจนส์ประเมินยอดทหารและพลเรือนที่บาดเจ็บล้มตายจากสงครามว่ามีถึงหนึ่งล้านคน[6] และยอดผู้บาดเจ็บล้มตายจากการรบ 250,000 นาย[3] มีจำนวนชาวเกาหลีที่บาดเจ็บล้มตาย 185,738 คนและชาวจีน 29,014 คนและมีเชลยสงครามถูกจับห้าถึงหกหมื่นคน[171] จากจำนวนเชลยสงครามเหล่านี้ มีเพียง 7,500 คนเท่านั้นที่ได้รับการปล่อยตัวกลับมาตุภูมิจากการเจรจาสันติภาพ[172] เชลยส่วนมากถูกขายต่อให้พ่อค้าชาวยุโรป โดยเฉพาะชาวโปรตุเกสซึ่งนำไปขายต่อในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[173]

เชลยที่ถูกจับส่งไปญี่ปุ่นนั้นมีตั้งแต่บัณฑิต ช่างฝีมือ เภษัชกร และช่างย่างแร่ทอง ทำให้ญี่ปุ่นได้รับวัฒนธรรมและวิทยาการจากเกาหลีมากมาย[171] จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ศิลปะและเรื่องปั้นดินเผาของญี่ปุ่นมีความคล้ายคลึงกับเกาหลี[113]

การออกแบบอักษรญี่ปุ่นเริ่มต้นจากอักษรเกาหลีและช่างฝีมือเกาหลีผสานกับการรับเอาเทคนิกของยุโรปมาใช้[174] การผลิตเครื่องเคลือบดินเผาครั้งแรกในญี่ปุ่นคืออะริตะ[175] ซึ่งเริ่มผลิตใน ค.ศ. 1616 ในเมืองอิมะริ[175] ซึ่งลี ซามปยอง ช่างปั้นชาวเกาหลีค้นพบดินโคลนที่อุดมไปด้วยคาโอลิไนท์[175] ช่างปั้นชาวเกาหลีมีราคาสูงมาก[175] ไดเมียวหลายคนก็สั่งห้มีการสร้างเตาอบดินเผาเพื่อให้ช่างเหล่านี้ทำงานหลายแห่งในคีวชูและบริเวณอื่น ๆ ของญี่ปุ่น[175] และชุมชนชาวเกาหลีนี้ถูกบังคับให้คงไว้ซึ่งวัฒนธรรมดั้งเดิมและถูกซ่อนเอาไว้จากโลกภายนอก[176]

ความโหดร้ายและอาชญากรสงคราม

สตีเฟน เทิร์นบลูนักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นกล่าวว่าทหารญี่ปุ่นก่ออาชญากรรมฆ่าสังหารต่อพลเรือนราวกับผักปลารวมทั้งการสังหารสัตว์ที่ใช้ในการเกษตรด้วย[87] นอกเหนือไปจากการสู้รบหลัก ทหารญี่ปุ่นยังโจมตีชาวเกาหลีเพื่อฆ่า ข่มขืนและขโมยอย่างทารุณ[177] ทหารญี่ปุ่นไม่ได้ปฏิบัติต่อข้าทาสของตัวดีไปกว่าเชลยชาวเกาหลีเลยและหลายคนก็ต้องจบชีวิตจากความอดอยากหรือถูกทรมาณจนตาย[178] ญี่ปุ่นสะสมหูและจมูก (ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติอยู่แล้ว) จำนวนมากพอที่จะสร้างเนินข้างมหาพระพุทธรูปของฮิเดะโยะชินาม"มิมิสุกะ"หรือ"เนินแห่งหู"[179][180]

ฝ่ายจีนเอง เทิร์นบลูกล่าวว่าก็ทำลายล้างและก่ออาชญากรรมไม่ได้น้อยไปกว่าญี่ปุ่นเลย[161] บางครั้งกองทัพจีนกลับโจมตีกองกำลังเกาหลีด้วย[175] และแยกแยะความแตกต่างระหว่างพลเรือนเกาหลีและทหารญี่ปุ่นไม่ออก[181] และท่ามกลางการแข่งขันทางทหารระหว่างนายพลจีนและเกาหลี ส่งผลให้เกิดการสังหารพลเรือนชาวเกาหลีที่นามแฮแบบไม่เลือกหน้าในช่วงปลายของสงครามโดยนายพลเฉิน หลิน ตราหน้าพลเรือนที่ถูกสังหารว่าเป็นไส้ศึก/ผู้เข้าร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่นเพื่อให้ได้จำนวนหัวที่มากกว่าเดิม[181]

สำหรับกองโจรและโจรเร่ร่อนชาวเกาหลีเองก็ฉวยโอกาสจากความวุ่นวายเข้าโจมตีและขโมยชาวเกาหลีอื่น ๆ[182] พลเมืองเกาหลีในมณฑลฮามกยอง (ตอนเหนือของคาบสมุทรเกาหลี) กลับเลือกที่จะยอมจำนนยกป้อมหลายป้อมและจับนายพลแลข้าราชการเกาหลีส่งให้ผู้รุกรานชาวญี่ปุ่นเนื่องจากรู้สึกไม่พอใจต่อรัฐบาลโซซอน[108] และแม่ทัพและข้าราชการเกาหลีหลายคนก็หนีทัพทิ้งหน้าที่เมื่อภัยกำลังใกล้เข้ามา[91]

มรดกตกทอด

สงครามในครั้งนี้ทิ้งมรดกตกทอดเอาไว้ให้แก่ทั้งสามชาติที่เข้าร่วมรบ ฝ่ายเกาหลีมีเรื่องราวของวีรบุรุษเกิดขึ้นหลายท่าน อี ซุน-ชิน ได้รับการยอมรับนับถืออย่างมากในญี่ปุ่น ตัวอย่างเช่นนายพลเรือโทโก เฮะฮะชิโระกล่าวถึงความสำเร็จของท่านในยุทธนาวีแห่งทสึชิมะในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นเอาไว้ว่า อี ซุน-ชิน นั้นเป็นแม่ทัพเรือที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์[183] และเนื่องด้วยความช่วยเหลือจากจีน ชาวเกาหลีจึงสร้างสิ่งสักการะสำหรับสมเด็จพระจักรพรรดิว่านลี่ด้วยเช่นกัน[11] ในทางวิชาการจีน นักประวัติศาสตร์จัดว่าสงครามครั้งนี้เป็นหนึ่งใน"สามการทัพลงทัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระจักรพรรดิว่านลี่"[11] นอกจากนี้นักประวัติศาสตร์ยังยกเอาสงครามนี้เป็นตัวอย่างของความสัมพันธ์ระหว่างจีน-เกาหลี[11] สำหรับฝ่ายผู้นำญี่ปุ่นนั้นตัดสินใจเข้าสู่สงครามจากการเข้าโจมตีเกาหลีครั้งก่อนหน้าโดยจักรพรรดินีจินกูในตำนานช่วงประมาณ 812 ปีก่อนพุทธกาล[ต้องการอ้างอิง] และอ้างว่าพวกเขาได้รับการอวยชัยจากเทพฮะจิมัง เทพแห่งสงครามซึ่งอยู่ในครรภ์ของจักรพรรดินีในระหว่างการุกราน[162] การยึดครองเกาหลีชั่วคราวและเพียงบางส่วนในครั้งนี้ช่วยแก้ไขข้อโต้แย้งของญี่ปุ่นที่ว่าเกาหลีเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่น[184] และผู้นำญี่ปุ่นในช่วงปลายคริสตวรรษที่ 19 - ต้นคริสตวรรษที่ 20 ต่างใช้การรุกรานครั้งนี้ในการวางแผนยึดครองเกาหลี[185] ทุกวันนี้ กลุ่มต่อต้านญี่ปุ่นสามารถสืบสายกลับไปได้ถึงการรุกรานใน ค.ศ. 1592 [ต้องการอ้างอิง]

ปราสาทโอซะกะซึ่งเคยเป็นของฮิเดะโยะชิถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ในช่วงหนึ่งทศวรรษก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อยกย่องประวัติศาสตร์การทหารของญี่ปุ่น[186] ในมุมมองของจักรวรดินิยมญี่ปุ่น การรุกรานครั้งนี้นับเป็นความพยายามครั้งแรกของญี่ปุ่นที่จะเป็นมหาอำนาจของโลก[11] ในจีนและเกาหลี สงครามครั้งนี้เองก็เป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ต่อต้านญี่ปุ่นที่รักชาติในการต่อต้านจักรวรรดินิยมญี่ปุ่นในช่วงคริสตศัตวรรษที่ 20 เช่นกัน[11]

ใกล้เคียง

การบุกครองเกาหลีของญี่ปุ่น (ค.ศ. 1592–98) การบุกครองโปแลนด์ การบุกยึดท่าอากาศยานในประเทศไทย พ.ศ. 2551 การบุกครองนอร์ม็องดี การบุกขึ้นเหนือของจูกัดเหลียง การบุกขึ้นเหนือของเกียงอุย การบุกครองโปแลนด์ของสหภาพโซเวียต การบุกเข้าอาคารรัฐสภาสหรัฐ พ.ศ. 2564 การบุกเข้าปราซาดุสเตรสโปเดริส พ.ศ. 2566 การบุกครองยูโกสลาเวีย

แหล่งที่มา

WikiPedia: การบุกครองเกาหลีของญี่ปุ่น_(ค.ศ._1592–98) http://www.britannica.com/eb/article-9070532/Suwon http://www.donga.com/fbin/output?n=200702200055 http://www.e-sunshin.com/e-sunshin/life/yimjin_04.... http://users.erols.com/mwhite28/warstat0.htm#Total http://find.galegroup.com/itx/infomark.do?&content... http://www.geocities.com/odamachi2/nihongi2.htm http://books.google.com/books?id=rnNnOxvm3ZwC&pg=P... http://www.google.com/url?sa=t&ct=res&cd=15&url=ht... http://times.hankooki.com/lpage/biz/200607/kt20060... http://www.japan-101.com/history/toyotomi_hideyosh...