การเหมารวมชาติพันธุ์และเชื้อชาติ ของ การเหมารวม

ชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา

ในสหรัฐความแตกต่างของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะชนกลุ่มน้อยที่ต่างชาติพันธุ์มีรากฐานมาตั้งแต่เมื่อเริ่มการก่อตั้งเป็นอาณานิคมแล้ว เริ่มตั้งแต่เมื่อนักอาณานิคมเริ่มมีการติดต่อเป็นครั้งแรกกับชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา การเหมารวม “คนป่าเถื่อน” (the savage) ก็เริ่มขึ้น ในสมัยแรกชาวยุโรปก็ยกย่องว่าเป็น “อนารยชนที่มีอารยธรรม” (noble savages) เพราะความสามารถในการดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากตามสายตาของชาวยุโรปได้ แต่ต่อมาเมื่อการตั้งถิ่นฐานขยายตัวออกไปทางตะวันตกมากขึ้น ชนพื้นเมืองก็กลายมาเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัว ภาพพจน์จึงกลายเป็นภาพพจน์ทางลบ สื่อมีเดียก็สร้างภาพพจน์ของชนพื้นเมืองว่าเป็นผู้ป่าเถื่อน ไร้วัฒนธรรม และโหดร้าย และมักจะบุกเข้ามาโจมตีผู้ตั้งถิ่นฐานผิวขาว, คาวบอย และรถม้า และกู่โหยหวนโดยเอามือป้องปาก เวลาสนทนาก็จะพูดด้วยเสียงห้าวต่ำและใช้คำเช่น “How” หรือ “Ugh”

ในการ์ตูน หรือ ภาพยนตร์การ์ตูนชนพื้นเมืองอเมริกันมักจะวาดเป็นสีแดงจัด และจะเรียกกันโดยทั่วไปในตะวันตกว่า “อินเดียน” ตัวอย่างของการเหมารวมของชนพื้นเมืองอเมริกันพบได้ในมีเดียต่าง ๆ ของตะวันตกมาจนถึงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 การเหมารวมอื่นก็เป็นผู้สูบกล้อง ผู้ที่ทาสีเป็นลวดลายบนใบหน้า ผู้ที่เต้นรำรอบเสาโทเท็มที่มักจะมีเชลยมัดอยู่กับเสา, ผู้ส่งสัญญาณที่ทำด้วยควัน, ผู้ดำรงชีวิตอยู่ในกระโจม, ผู้สวมเครื่องประดับศีรษะที่เป็นขนนก และ ผุ้จะถลกหนังหัวศัตรูเป็นต้น

หลังจากการขยายอาณานิคมดำเนินต่อไปในสหรัฐอเมริกาชนพื้นเมืองอเมริกันก็ถูกแบ่งเป็นกลุ่มย่อยลงไปอีกเช่น “คริสเตียน” หรือ “ฮีเธน” (ผู้นับถือศาสนาคริสต์), “ผู้มีอารยธรรม” และ “คนป่าเถื่อน” แนวคิดเหล่านี้ใช้เวลาเพียงราวสิบปีก็กลายเป็นหลักความคิดของชาวอเมริกันอย่างแน่นหนา การเหมารวมชนพื้นเมืองอเมริกันจึงมีรากฐานมาจากความคิดที่เริ่มขึ้นโดยนักล่าอาณานิคมที่สร้างภาพพจน์ไว้ในทางลบเช่นเป็นผู้ป่าเถื่อนและดุร้าย

คนผิวขาวหลายคนมีทัศนคติว่าชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกาปราศจากการควบคุมตนเองและไม่สามารถรักษาความรับผิดชอบได้ มัลคอล์ม ดี. โฮล์มส์ และ จูดิธ เอ. อันเทลล์ตั้งทฤษฎีว่าทัศนคติต่อชนพื้นเมืองเช่นนั้นเป็นรากฐานของปรัชญาที่ใช้กันในปัจจุบันในการหาเหตุผลสนับสนุนความแตกต่างระหว่างชาวอเมริกันผิวขาวและชนพื้นเมือง

ในปัจจุบันการเหมารวมของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ต่อชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกายังคงเป็นทัศนคติที่ถืออยู่ในกลุ่มคนเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลสหรัฐออกกฎหมายใหม่เพื่อเป็นการชดเชยสิ่งที่สูญเสียไปของชนพื้นเมืองอเมริกันโดยการอนุญาตให้มีการสร้างคาซิโนและการหารายได้จากคาซิโนที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายสหรัฐ การเหมารวมใหม่จึงเป็นผู้เป็นเจ้าของหรือญาติของผู้เป็นเจ้าของคาซิโน

การแสดงภาพพจน์ของชนพื้นเมืองสมัยใหม่จึงแทบจะไม่ปรากฏในวัฒนธรรมสมัยนิยมนอกไปจากเป็นตัวละครในภาพยนตร์เรื่อง “บ้าก็บ้าวะ” ที่เป็นการเหมารวมของผู้รักอิสระ หรือ ภาพยนตร์เรื่อง “Dances with Wolves” ที่เป็นการเหมารวมของผู้มีวัฒนธรรม, รักสงบ และผู้อยู่ร่วมกับธรรมชาติ

การเหมารวมชาวอินิวอิท

การเหมารวมชาวอินิวอิท (Inuit) หรือ เอสกิโม (Eskimo) มักจะเป็นผู้แต่งตัวด้วยเสื้อคลุมอันโนรัค (Anorak) ซึ่งเป็นเสื้อคลุมหนาทำด้วยหนังสัตว์ที่มีที่คลุมศีรษะ, สวมเครื่องตกแต่ง, อาศัยอยู่ในบ้านน้ำแข็ง (บ้านน้ำแข็ง), ล่าปลาด้วยฉมวก, เดินทางด้วยรถลากเลื่อนที่ดึงด้วย สุนัขฮัสกี, กินน้ำมันตับปลา และผู้ชายจะชื่อนานุค (Nanook) [14] (Inuktitut syllabics: ᓇᓄᖅ[15]ที่แปลว่าหมีขาวจากภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “Nanook of the North” เด็กเอสกิโมก็มักจะมีแมวน้ำเป็นเพื่อนคู่ใจ และมักจะเชื่อกันว่าชาวเอสกิโมมีคำที่ใช้สำหรับคำว่าหิมะเป็นจำนวนมากมายซึ่งเป็นตำนานชาวเมือง (Urban legend)

บางครั้งก็จะแสดงเป็นภาพของผู้ที่จะเอาจมูกมาสีกันเมื่อพบปะกัน และมักจะล้อมรอบด้วยหมีขาว, วอลรัส และเพ็นกวิน ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะนกเพนกวินอยู่เฉพาะในซีกโลกใต้ ไม่ใช่ขั้วโลกเหนือ หรือบางครั้งก็จะแสดงภาพว่าเอสกิโมพำนักอยู่ที่ขั้วโลกใต้ซึ่งไม่ถูกต้องด้วยเหตุผลเดียวกัน และจะกล่าวกันว่าขี้อาย

การเหมารวมชนผิวดำ

การเหมารวมชนผิวดำในยุคแรก

Earlyการแสดงหน้าดำ (Minstrel show) แสดงภาพพจน์ของชาวแอฟริกันอเมริกันว่าเป็นผู้ไม่มีสติปัญญา รายละเอียดจากหน้าปก “The Celebrated Negro Melodies, as Sung by the Virginia Minstrels” ค.ศ. 1843

ในคริสต์ศตวรรษก่อนหน้านี้และระหว่างครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชาวแอฟริกันอเมริกันมักจะแสดงเป็นภาพของผู้ที่งี่เง่า, ขี้โกง, เกียจคร้าน, มีกลิ่นไม่ดี, ขาดวัฒนธรรม และไม่เป็นคริสเตียน[6] นักอาณานิคมรุ่นแรก ๆ ของอังกฤษนำทัศนคติที่ว่าชนผิวดำเป็นผู้ที่ด้อยกว่าชนผิวขาวติดตัวมาเมื่อมาตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกา ทัศนคตินี้เท่ากับเป็นเหตุผลสนับสนุนว่าการเป็นทาสของชนผิวดำและการออกกฎหมายหลายฉบับที่สนับสนุนการลงโทษอันขาดมนุษยธรรมเป็นสิ่งที่เหมาะสม และเป็นเหตุผลที่ใช้ในการกดขี่ชนผิวดำในอยู่ในสถานภาพทางเศรษฐกิจสังคมที่ต่ำกว่าอยู่เป็นเวลานาน[6]

ชนผิวดำมักจะแสดงเป็นภาพของผู้เป็นทาส หรือผู้รับใช้, ทำงานในไร่ อ้อย หรือแบกกระสอบฝ้าย, ผู้เคร่งครัดในศาสนาคริสต์และมักจะไปโบสถ์เป็นประจำ และจะร้องเพลงกอสเปล ในการแสดงโวเดอวีล[16] (vaudeville), การแสดงหน้าดำที่นักแสดงจะทาหน้าดำ, การ์ตูน และภาพยนตร์การ์ตูนของยุคนี้ชนผิวดำจะเป็นการเหมารวมผู้ที่เศร้า, เกียจคร้าน, ขี้เท่อ ที่มีปากหนาและรองเพลงบลูส์ และเต้นรำเก่ง แต่จะตื่นเต้นถ้าเห็นการเล่นลูกเต๋า, ตีไก่ หรือ กินแตงโม

ลักษณะการเหมารวมอีกอย่างหนึ่งของชนผิวดำจะเป็นผู้มีความสุขรักสนุกอยู่ตลอดเวลา เช่นในตัวละครเช่นลุงทอม, ลุงเรมัส หรือ บุคลิกบนเวที่ของผู้มีความสนุกของหลุยส์ อาร์มสตรอง การเหมารวมที่เป็นที่นิยมกันอีกอันหนึ่งจากสมัยนี้คือชนผิวดำกลัวผี (และจะกลัวจนตัวขาว) คนรับใช้ก็มักจะเป็นคนผิวดำ หรือแม่บ้านก็มักจะเป็นสตรีวัยกลางอ้วนใหญ่สวมกระโปรงบาน เช่นเมื่อไม่นานมานี้ในภาพยนตร์เรื่อง “เอฟบีไอต่อมหลุด” (Big Momma's House) เด็กผิวดำมักจะเป็นเด็กไม่มีกิริยา การพูดก็จะเป็นสำเนียงภาษาเฉพาะกลุ่ม

ชนผิวดำในแอฟริกามักจะเป็นการเหมารวมผู้ที่ยังเป็นบรรพกาล (primitive), ไร้เดียงสาเหมือนเด็ก, ดุร้าย และอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นเผ่า, ถือหอก, มีความเชื่อในเรื่องพ่อมดหมอผี (witchcraft) และนับถือพ่อมด นักล่าอาณานิคมผิวขาวก็จะเป็นภาพของผู้ที่ล่อลวงชนผิวดำโดยการหลอกขายของกระจุกกระจิกเป็นการแลกเปลี่ยนกับสิ่งมีค่า และ/หรือทำให้หวาดผวากับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือตัวละครใน “ตินตินในคองโก” เมื่อชนผิวขาวถูกจับได้โดยชนผิวดำก็มักจะถูกนำไปไว้ในหม้อดำใหญ่เพื่อจะเอาไปต้มกิน หรือบางครั้งก็จะเป็นภาพพจน์ที่เป็นพิกมีที่มีพฤติกรรมเหมือนเด็กเพื่อจะได้ล้อเลียนได้ว่ามีลักษณะเหมือนเด็ก

การเหมารวมอีกอย่างหนึ่งคือชายผิวดำที่ตกแต่งใบหน้าด้วยแป้นบนริมฝีปาก (lip plates) หรือกระดูกสอดบนสันจมูก ส่วนหญิงผิวดำก็จะเป็นหญิงที่เปลือยหน้าอกที่มีขนาดใหญ่ และก้นที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ หรือสตรีชาวชาวนเดเบเลตอนใต้ ที่ใส่วงแหวนซ้อนกันสูงบนคอที่ยาวเหมือนยีราฟ (เช่นเดียวกับสตรีกะยันในพม่า)

จอห์น ซี. คาลฮูนรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐอเมริการกล่าวสนับสนุนในประเด็นเรื่องการมีทาสในปี ค.ศ. 1844 ว่า “[การศึกษาทางวิทยาศาสตร์]เป็นสิ่งที่พิสูจน์และถึงความจำเป็นในการมีทาส แอฟริกันไม่มีสมรรถภาพในการดูแลตนเองและตกอยู่ในภาวะวิกลจริตเมื่อได้รับภาระของการมีเสรีภาพ การให้การพิทักษ์และป้องกันจากความตายทางจิตวิทยาจึงถือว่าเป็นกรุณาคุณ”

แม้ว่าหลังจากการเลิกทาสแล้วเชาว์ปัญญาของชนผิวดำก็ยังคงเป็นสิ่งที่เป็นข้อสงสัยกันอยู่ หลุยส์ เทอร์แมนเขียนใน “The Measurement of Intelligence” (การวัดเชาว์ปัญญา) 1916 ว่า:

[เยาวชนผิวดำและชนกลุ่มน้อยต่างชาติพันธุ์อื่น ๆ] ไม่สามารถที่จะรับการศึกษาแม้จะขั้นต่ำที่สุดได้ ไม่มีปริมาณของความพยายามในการที่จะสอนเท่าใดที่สามารถจะทำให้กลายเป็นผู้มีเสียงเลือกตั้งที่มีปัญญาได้ หรือเป็นพลเมืองที่มีสมรรถภาพได้ตามมาตรฐานโดยทั่วไป…ความซึมเซื่องดูเหมือนจะมาจากเผ่าพันธุ์ หรืออย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่มาจากครอบครัว…เยาวชนในกลุ่มนี้ควรจะได้รับการแยกเป็นชั้นพิเศษ และให้การศึกษาที่เป็นรูปธรรมและใช้งานได้ เยาวชนเหล่านี้ไม่มีสมรรถภาพในการเรียนรู้ทางนามธรรมแต่สามารถทำให้เป็นคนงานที่มีประสิทธิภาพได้…ในปัจจุบันการที่จะหว่านล้อมสังคมให้ยอมรับความคิดที่ว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่ควรที่จะได้รับการอนุญาตให้สืบพันธุ์ต่อไปนั้นเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าจากมุมมองทางด้านสุพันธุศาสตร์ (Eugenics) จะกลายเป็นปัญหาหนักเพราะการสืบพันธุ์อันดกผิดปกติ[ของชนกลุ่มนี้]

การเหมารวมชนผิวดำในปัจจุบัน

ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1960 เป็นต้นมาการเหมารวมเกี่ยวกับชนผิวดำก็เปลี่ยนไปในมีเดียบางประเภทที่ออกไปในเชิงบวก โดยการแสดงภาพพจน์ของชนผิวดำและชาวแอฟริกันอเมริกันว่าเป็นผู้มีความถนัดทางด้านการกีฬา, การร้องเพลง และ การเต้นรำ ในภาพยนตร์หลายเรื่องหรือรายการต่อเนื่องทางโทรทัศน์ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 ชนผิวดำจะปรากฏเป็นผู้ที่มีอัธยาศัย/อุปนิสัยดี, มีกรุณาคุณ, ซื่อสัตย์สุจริต และมีสติปัญญา และโดยทั่วไปจะเป็นตัวรองที่เป็นเพื่อนที่ดีของตัวเอกของเรื่อง (เช่นในภาพยนตร์เรื่อง “คู่เดือดไมอามี่” (Miami Vice), “ริกก์สคนมหากาฬ” (Lethal Weapon) หรือ “มือปราบปืนโหด” (Magnum Force))

นักวิจารณ์บางท่านมีความเชื่อว่าความถูกต้องทางการเมือง (political correctness) เป็นเครื่องมือที่นำไปสู่การสร้างการเหมารวมชนผิวดำไปในทางบวกจนเกินไป ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวแอฟริกันอเมริกันสไปค์ ลีใช้คำว่า “นิโกรลอยฟ้า” (Magical negro) ที่กลายมาเป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการบรรยายการเหมารวมดังว่า ลีกล่าวเป็นเชิงเยาะถึงลักษณะแม่แบบ (archetype) ของการเหมารวมชนผิวดำที่แสดงชนผิวดำแบบ “super-duper magical negro” (นิโกรเลิศลอยฟ้า) เมื่อถกเถียงเรื่องการสร้างภาพยนตร์กับนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันสเตท และที่ มหาวิทยาลัยเยล[17][18]

จากการสำรวจมีเดียในปี ค.ศ. 1989 พบว่าชนผิวดำมากกว่าชนผิวขาวจะได้รับความบรรยายในเชิงเหยียดในเรื่องเชาว์ปัญญา[19] นักต่อสู้การเมืองและนักเทศน์ชาวแอฟริกันอเมริกันเจสสี แจ็คสันกล่าวในปี ค.ศ. 1985 ว่าข่าวสื่อสารมวลชนมักจะแสดงชนผิวดำในรูปแบบที่มีความ “ด้อยทางสติปัญญากว่าความเป็นจริง”[20] ผู้กำกับภาพยนตร์สไปค์ ลีให้คำอธิบายว่าภาพพจน์ดังว่านี้มีผลกระทบกระเทือนในทางลบ “ในชุมชนของผม เราเทิดทูนนักกีฬา, ผู้ชายที่หาได้ผู้หญิง และ ผู้มีสติปัญญา” แต่ภาพพจน์ที่เป็นที่นิยมกันจะเป็นการเหมารวมชนผิวดำที่อาศัยอยู่ในตัวเมือง (inner-city), มีรายได้ต่ำ และ มีการศึกษาน้อยกว่าชนผิวขาว

แม้แต่ภาพพจน์ที่เรียกกันว่าภาพพจน์ทางบวกของชนผิวดำก็ยังทำให้เกิดการเหมารวมระดับเชาว์ปัญญา ในหนังสือ “Darwin's Athletes: how sport has damaged Black America and preserved the myth of race” (ไทย: นักกีฬาของดาร์วิน: วิธีที่การกีฬาสร้างความเสียหายต่อชนผิวดำอเมริกัน และรักษาความลึกลับของชาติพันธุ์) จอห์น โฮเบอร์มันกล่าวว่านักกีฬาผู้มีชื่อเสียงชาวแอฟริกันอเมริกันสนับสนุนปรัชญาของการลดความสำคัญของความสำเร็จทางการศึกษาในประชาคมชนผิวดำเอง[21]

ในปี ค.ศ. 1997 การศึกษาเรื่องการเหมารวมในวงการกีฬา นักค้นคว้าแสดงภาพนักบาสเกตบอลผิวขาว และนักบาสเกตบอลผิวดำให้ผู้ร่วมในการศึกษาได้ดู จากนั้นก็ให้ฟังการกระจายเสียงที่อัดไว้ล่วงหน้าของกีฬาบาสเกตบอล ภาพนักบาสเกตบอลผิวขาวได้รับการจัดลำดับว่าแสดงความมีเชาว์ปัญญาในการเล่นเกมสูงกว่าภาพนักบาสเกตบอลผิวดำมาก แม้ว่าผู้บรรยายการเล่นและรูปนักกีฬาจะเป็นรูปเดิมตลอดการทดลองก็ตาม[22] นักประพันธ์หลายท่านกล่าวว่าการบรรยายการเล่นกีฬาที่เน้น 'ความสามารถโดยธรรมชาติของชนผิวดำทางด้านการเล่นกีฬา' มีผลที่เป็นนัยยะว่าชนผิวขาวมีความสามารถในด้านอื่น ๆ สูงกว่า เช่นในด้านเชาว์ปัญญา[23]

แพทริเชีย เจ. วิลเลียมส์ นักเขียนสำหรับ “เดอะ เนชั่น” กล่าวถึงจาร์ จาร์ บิงคส์ตัวละครใน “สตาร์ วอร์ส” ว่า: “ไม่ว่าจะเป็นการจงใจหรือไม่ ความพลาดพลั้งหรือการเป็นผู้นำโชคร้ายมาให้แก่ผู้อื่นของจาร์ จาร์ บิงคส์ก็เป็นลักษณะที่นำมาจาก “การแสดงหน้าดำ” เป็นอย่างมากโดยตรง แม้ว่า[จาร์ จาร์ บิงคส์]จะสามารถแก้สถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ลักษณะเชิงเซ่อซ่าของผู้เป็นผู้ใหญ่กึ่งเด็กเป็นลักษณะที่ถอดมาจากซิทคอมอามอสและแอนดี้ของคริสต์ทศวรรษ 1920 โดยตรง”[24])

การเหมารวมชาวแอฟริกาเหนือ, ตะวันออกกลาง และ มุสลิม

ดูบทความหลักที่: Western stereotypes of West and Central Asians
ดูบทความหลักที่: Stereotypes of Arabs and Muslims

การเหมารวมมุสลิมมักจะเกี่ยวกับข้องกับความโหดเหี้ยมและอำมหิต ทัศนคติดังว่าจะเห็นได้จากการแสดงว่ามุสลิมเกี่ยวข้องกับวางแผนระเบิดและการเป็นผู้ก่อการร้าย และ เป็นภาพของผู้มีฐานะยากจน หรืออาจจะเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติต่อสตรี, เกย์ หรือ ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการเหมารวมมุสลิมคืออาการกลัวชาวมุสลิม (Islamophobia) ซึ่งเป็นความกลัว, ชิงชัง และ ไม่ชอบผู้ที่เป็นมุสลิม

การเหมารวมชนผิวขาว

ดูบทความหลักที่: Stereotypes of white people

ตัวอย่างของการเหมารวมเกี่ยวกับชนผิวขาวในทางลบจะเห็นได้ชัดจากตัวการ์ตูนโฮเมอร์ ซิมป์สันซึ่งเป็นชายวัยกลางคนจากมิดอเมริกาท้วม, ขี้เกียจ และ ขี้เท่อ ในการ์ตูน “เดอะ ซิมป์สันส์[25] ซึ่งรายการเองก็เป็นวรรณกรรมล้อ ของด้านต่าง ๆ ของชีวิต, วัฒนธรรม และสังคมอเมริกัน[26] หรือการเหมารวมของ “อเมริกันโอหัง” (Ugly American) ที่จะเป็นชาวอเมริกันที่มีเสียงดัง, ชอบเรียกร้อง, ขาดความเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น และ แต่งตัวเชย แต่ก็มักจะชดเชยด้วยการเป็นคนใจกว้าง[27]

การเหมารวมชาวไอริช

ไฟล์:Irish-stereotypes.jpgการ์ตูน (New Physiognomy, New York, 1866) เปรียบเทียบฟลอเรนซ์ ไนติงเกลกับ “บริจิต แม็คบรูเซอร์” การเหมารวมสตรีชาวไอริชการถือผิวทางศึกษาจากนิตยสารอเมริกัน “ฮาร์เพอร์สวีคลีย์” ที่กล่าวว่าชาวไอริชมีลักษณะคล้ายคลึงกับ 'ชาวนีโกร'

การวิจัยทัศนคติของชาวอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยแมรี เจ. ฮิคมัน และบรอนเวน วอลเตอร์กล่าวว่า 'ไอริชคาทอลิก' คือผู้ที่เป็น “คนนอก” (other) หรือเป็นเผ่าพันธุ์ที่แยกออกไปต่างหากในมุมมองของปรัชญาชาตินิยมอังกฤษ ส่วนชาวไอริชก็เช่นกันที่ถือว่าชาวอังกฤษเป็น “คนนอก” และพยายามที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิในการปกครองตนเอง ที่ในที่สุดก็ได้มาในคริสต์ทศวรรษ 1920[28]

การเหมารวมที่ใช้สำหรับชาวไอริชไม่รุนแรงหรือหยาบคายเมื่อเทียบกับการเหมารวมที่ใช้สำหรับชาติพันธุ์อื่น ๆ แต่กระนั้นก็เป็นมุมมองที่ไม่ตรงต่อความจริงโดยกล่าวหาว่าชาวไอริชเป็นคนหุนหันพลันแล่น ชอบทะเลาะเบาะแว้ง และขี้เมา ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 นักเขียนการ์ตูนชาวอังกฤษคนหนึ่งเขียนภาพผู้อพยพเข้ามาชาวไอริชเป็นลิงใหญ่และมีความแตกต่างจากแองโกล-แซ็กซอน เจมส์ เรดฟิลด์นายแพทย์ชาวอเมริกันคนหนึ่งในคริสต์ทศวรรษ 1850 กล่าวว่า “ลักษณะใบหน้า” (facial angle) เป็นสัญญาณของความเฉลียวฉลาดและบุคลิก และเปรียบเทียบพักตรวิทยา (Physiognomy) ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ กับสัตว์ และกล่าวว่าเมื่อดูลักษณะใบหน้าของชาวไอริชแล้วก็จะคลายคลึงกับสุนัข, แยงกี้คลายคลึงกับหมี, เยอรมันกับสิงโต, ชนผิวดำเหมือนช้าง และชาวอังกฤษเหมือนวัว[29] ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 การการเหมารวมรูปทรงยังคงใช้กันมาจนถึงราวคริสต์ทศวรรษ 1950 โดยมีตัวละครเช่น มัทท์, เจฟฟ์ และ จิกส์ และ แม็กกีที่ยังปรากฏในหนังสือพิมพ์หลายร้อยฉบับทุกวัน[30]

การเหมารวมสำหรับชาวไอริชอื่น ๆ ก็รวมทั้งการเป็นผู้ขาดสติปัญญา และเป็นตัวตลกที่ผู้อื่นล้อเลียน ตัวอย่างก็ได้แก่ การล้อเลียนเกี่ยวกับ “ชาวอังกฤษ, ชาวไอริช และ ชาวสกอต” ที่มักจะจบลงด้วยการที่ชาวไอริชทำอะไรที่งี่เง่า

การเหมารวมชาวอิตาลี

การเหมารวมชาวอิตาลีที่นิยมกันมักจะเป็นความคิดที่ว่าชาวอิตาลีส่วนใหญ่จะเป็นคนรุนแรงโดยธรรมชาติ, ขาดความรู้, ขาดมารยาท และมักจะเกี่ยวข้องกับมาเฟีย ตัวอย่างของการใช้การเหมารวมเกี่ยวกับชาวอิตาลีปรากฏในละครโทรทัศน์ซีรีส์ “The Sopranos” ที่ถูกกล่าวหาโดยชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลีว่าเป็นการเผยแพร่การเหมารวมเกี่ยวกับชาวอิตาลี

การเหมารวมชาวโปแลนด์

การเหมารวมเกี่ยวกับชาวโปแลนด์จะออกมาในรูปของเรื่องตลกล้อเลียนเชิงเหยียดหยาม ซึ่งอาจจะมาจากตลกล้อเลียนชาวเยอรมันเชื้อสายโปแลนด์ที่หนีบรรยากาศของความเป็นอคติต่อชาวเซมิติคก่อนหน้าและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองในยุโรปราวปลายคริสต์ทศวรรษ 1940 ตลกล้อเลียนเหล่านี้มาจากความเดียดฉันท์ที่พรรคแนเชันนัลโซเซียลลิสต์ของเยอรมันพยายามเผยแพร่เพื่อที่จะเป็นการสนับสนุนว่าการทำร้ายหรือเข่นฆ่าชาวโปแลนด์เป็นสิ่งที่เหมาะที่ควร โดยการแสดงภาพพจน์ว่าชาวโปแลนด์ “dreck” — สกปรก, โง่ และ ด้อยกว่า[31] และอาจจะเป็นไปได้ว่าตลกถากถาง

นอกจากนั้นก็ยังเป็นไปได้ว่าการล้อเลียนถากถาง โพลัค (Polack) อเมริกันจากเยอรมนีเดิมก่อนสงครามโลกครั้งที่สองใช้กันในบริเวณที่มีปัญหาชายแดนในไซลีเซีย[32]

ชาวอเมริกันเชื้อสายโปแลนด์เป็นเหยื่อของความรู้สึกต่อต้านชาวโปแลนด์ในในรูปแบบของการใช้การเหมารวมมาเป็นเวลาหลายสิบปีตั้งแต่ก่อนคริสต์ทศวรรษ 1920 ระหว่างการแบ่งแยกโปแลนด์ ชาวโปแลนด์เป็นจำนวนมากอพยพต่อไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อจะหนีการเบียดเบียนกันขนานใหญ่ที่เกิดขึ้นในโปแลนด์ เมื่อมาถึงสหรัฐอเมริกาก็จะมาทำงานทุกอย่างที่มีให้ทำซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานกรรมกร ฉะนั้นการเหมารวมชาวโปแลนด์จึงเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่เกี่ยวกับการงาน และยังคงดำรงต่อมาแม้จะก้าวเข้ามาเป็นคนชั้นกลางแล้วในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 การเหมารวมเชิงดูหมิ่นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชาวโปแลนด์ในทางลบ การเยาะเย้ยดังกล่าวโดยสื่อมวลชนทำให้ชาวอเมริกันเชื้อสายโปแลนด์เกิดปัญหาในความกังขาของความเป็นอัตตา (identity crises), การมีความรู้สึกว่าตนบกพร่อง และ การขาดความเชื่อมั่นในตนเอง การเหมารวมเชิงลบต่อชาวอเมริกันเชื้อสายโปแลนด์ยังคงดำเนินต่อมาจนกระทั่งปัจจุบัน[33]

การเหมารวมชาวยิว

ตัวการ์ตูนที่มาจากการเหมารวมชาวยิวในลัทธิความเป็นอคติต่อชาวเซมิติค, ค.ศ. 1873
ดูบทความหลักที่: การเหมารวมชาวยิว

ชาวยิวถูกเหมารวมตลอดในฐานะแพะรับบาปของปัญหาสังคมต่าง ๆ มาเป็นเวลาหลายร้อยปี ลัทธิความเป็นอคติต่อชาวเซมิติคดำเนินต่อมาเป็นเวลาหลายร้อยปีจนมาถึงจุดสุดยอดในสมัยที่นาซีปกครองเยอรมนีระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ชายยิวยังคงมีการเหมารวมที่เป็นผู้มีความโลภ, ความจุกจิก และ ความใจแคบ ภาพที่แสดงก็มักจะเป็นภาพของคนนับเงินหรือสะสมเพชร ภาพยนตร์ในสมัยแรกมักแสดงชาวยิวเป็น “พ่อค้าเจ้าเล่ห์”[34].

ในการ์ตูนหรือการ์ตูนล้อเลียนชาวยิวมักจะเป็นภาพของผู้ที่มีผมหยิก, จมูกขอใหญ่, ปากหนา และสวมหมวกคิพพาห์ (Kippah) หรือหมวกปิดกระหม่อม วัตถุ, วลี หรือธรรมเนียมที่เน้นหรือเย้ยหยันความเป็นยิวก็ได้แก่เบเกิล, ผู้กำลังเล่นไวโอลิน, การทำสุหนัต, การต่อรอง และวลีเช่น “Mazel tov” (โชคดี), “Shalom” (สวัสดี) และ “Oy Vey” (อุแม่เจ้า) การเหมารวมอื่นก็ได้แก่รับบี, การบ่นและความคิดที่รู้สึกผิดเกี่ยวกับแม่ชาวยิว, เจ้าหญิงชาวอเมริกันยิว (Jewish-American Princess) ที่หมายถึงผู้ที่ถูกตามใจและเป็นผู้นิยมวัตถุ และชายยิวน่ารัก (Nice Jewish Boy) ซึ่งจะขี้อาย

การเหมารวมชาวเอเชียตะวันออกและชาวเอเชียใต้

ดูบทความหลักที่: การเหมารวมชาวเอเชียใต้

เป็นการเหมารวมชาติพันธุ์ (ethnic stereotype) ที่พบในวัฒนธรรมตะวันตก การเหมารวมชาวเอเชียโดยเฉพาะเกี่ยวกับชาวเอเชียตะวันออกก็เช่นเดียวกับการเหมารวมเกี่ยวกับชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่มักจะเผยแพร่โดยสื่อมวลชน, วรรณกรรม, ละครและงานสร้างสรรค์อื่น ๆ ในหลายกรณีสื่อมวลชนจะสร้างภาพพจน์ของชาวเอเชียที่มีอิทธิพลมาจากมุมมองจากการเอายุโรปเป็นศุนย์กลาง (Eurocentrism) ที่มีต่อชาวเอเชียแทนที่จะเป็นทัศนคติที่สะท้อนความเป็นจริงของวัฒนธรรม, ประเพณี และ พฤติกรรมของชาวเอเชียที่แท้จริง[35] การเหมารวมนี้จึงมีผลสะท้อนในทางลบต่อการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นของชาวเอเชียผู้อพยพ, เหตุการณ์ปัจจุบัน, และ กฎหมาย ชาวเอเชียตะวันออกต้องประสบกับการการเลือกปฏิบัติ และตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมจากความชัง (Hate crime) ที่มีสาเหตุมาจากการเหมารวมชาติพันธุ์เพราะการเหมารวมดังว่าส่งเสริมภาวะความเป็นอคติต่อชาวต่างชาติ (Xenophobia)

การเหมารวมชาวสเปนและละติน

การเหมารวมชาวสเปนและละตินมักจะปรากฏในสื่อมวลชนประเภทต่าง ๆ แต่ชาวฮิสแปนิคและลาติโนอเมริกันผิวขาวมักจะถูกละเลยในสื่อมวลชนของสหรัฐ ถ้าจะปรากฏก็มักจะเป็นภาพพจน์ที่ไม่ถูกต้อง และเป็นลูกครึ่ง[36][37] ถ้าเป็นลาติโนก็มักจะปรากฏเป็นผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหญ่และไม่มีลักษณะเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ถ้ามีการอ้างอิงไปถึงประเทศที่มาก็มักจะเป็นเม็กซิโกหรือเปอร์โตริโกไม่ว่าจะมาจากที่ใดก็ตาม

แหล่งที่มา

WikiPedia: การเหมารวม http://www.media-awareness.ca/english/special_init... http://i.abcnews.com/2020/Story?id=2449185&page=3 http://www.blackwell-synergy.com/doi/abs/10.1111/1... http://school.discovery.com/lessonplans/programs/s... http://www.etymonline.com/index.php?term=stereotyp... http://books.google.com/books?id=--81jNzUYQsC&pg=P... http://books.google.com/books?id=B14TMHRtYBcC&prin... http://books.google.com/books?id=SVoAXh-dNuYC&pg=P... http://books.google.com/books?vid=ISBN0766179842&i... http://books.google.com/books?vid=ISBN0877791325&i...