คำอธิบาย ของ ความคิดเชิงไสยศาสตร์

ใช้เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์

แนวทางทฤษฎีเกี่ยวกับความคิดเชิงไสยศาสตร์อีกอย่างหนึ่งเป็นแนวคิดทางสัญลักษณ์ นักวิชาการที่มีแนวคิดนี้เชื่อว่า ไสยศาสตร์มีไว้เพื่อใช้แสดงออก ไม่ได้ใช้ทำให้เกิดผล เป็นการใช้สิ่งที่คล้ายกันอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะแสดงออกว่าต้องการจะให้อะไรเกิดขึ้น คล้ายกับการใช้คำอุปมา[13]

คำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นในการตีความเช่นนี้ก็คือว่า แล้วสัญลักษณ์เพียงเท่านั้นจะทำให้เกิดผลทางกายภาพได้อย่างไรคำตอบที่เป็นไปได้อย่างหนึ่งอาจจะมาจากไอเดียเกี่ยวกับ performativity ที่การกล่าวอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งทำสิ่งนั้นให้เป็นจริง เช่นพิธีการสาบานรับตำแหน่ง หรือพิธีการแต่งงาน (ของชาวตะวันตก)[14] ยังมีทฤษฎีอื่น ๆ อีกที่เสนอว่า ไสยศาสตร์ทำให้เกิดผลในโลกจริง ๆ ได้เพราะว่า สัญลักษณ์ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของสภาวะร่างกาย-จิตใจ (psycho-physical states) ได้และอ้างว่า เพียงแค่การแสดงออกถึงความวิตกกังวล หรือความต้องการ จะทำให้เกิดผลที่แก้หรือทำคืนสภาวะเหล่านั้น[15]

เป็นกระบวนการทำงานของจิต

พิธีการรักษาโดยช่วยกันวางมือ

ส่วนนักวิชาการท่านอื่นเชื่อว่า ไสยศาสตร์มีผลทางจิตใจจริง ๆ โดยอ้างถึงปรากฏการณ์ยาหลอกและโรคโซมาโตฟอร์มเป็นต้น ว่าเป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความมีอำนาจของจิตใจเหนือสภาวะทางร่างกาย[16] นักวิชาการท่านอื่นเสนอว่า การใช้พิธีทางไสยศาสตร์ในการรักษาอาจจะช่วยปดเปลื้องความวิตกกังวลซึ่งอาจจะมีผลดีทางกายอย่างมีนัยสำคัญในสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่ไม่มีวิธีการรักษาพยาบาลที่ได้ผลทางกายภาพจริง ๆ ผลที่ว่านี้อาจจะมีบทบาทสำคัญซึ่งสามารถช่วยอธิบายความยั่งยืนและความนิยมของวิธีรักษาแบบนี้[17][18]

ตามทฤษฎีปลดเปลื้องและควบคุมความวิตกกังวล มนุษย์จะเข้าไปพึ่งความเชื่อทางไสยศาสตร์ เมื่อมีความรู้สึกไม่มั่นใจ เมื่อมีภัยที่อาจเกิดขึ้น และเมื่อไม่สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้ไสยศาสตร์จะช่วยสร้างความรู้สึกว่าเราสามารถควบคุมเหตุการณ์ได้มีผลงานวิจัยที่สนับสนับสนุนทฤษฎีนี้ว่า จะมีพฤติกรรมทางไสยศาสตร์บ่อยครั้งในเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความตึงเครียด โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มบุคคลผู้มีความต้องการที่จะควบคุมเหตุการณ์ในระดับสูง[19][20]

แต่ว่า ก็ยังมีเหตุผลอื่น ๆ อีกว่า ทำไมพิธีกรรมทางไสยศาสตร์จึงยังสามารถดำรงอยู่ได้ในโลกปัจจุบัน เช่น เมื่อเกิดความคิดที่ทำให้รู้สึกว่าตนไม่ปลอดภัย พิธีกรรมที่ทำให้ถูกต้อง เป็นขั้นเป็นตอนนั้นแหละจะสามารถช่วยลดความความคิดที่ทำให้เกิดความกังวลนั้นได้[21] การกระทำซ้ำ ๆ ของคนไข้โรคย้ำคิดย้ำทำ (obsessive-compulsive disorder) อาจใช้เป็นแบบจำลองทางคลินิกของความคิดเชิงไสยศาสตร์ได้มีนักวิชาการที่เสนอว่า คนไข้โรคย้ำคิดย้ำทำลดความสำคัญของจุดมุ่งหมายในการกระทำลง โดยย้ายความสนใจไปที่การกระทำในระดับอิริยาบถที่เล็กน้อยที่สุดที่มีความเป็นไปไม่สมกับจุดมุ่งหมายยกตัวอย่างเช่น การทำความสะอาดแบบย้ำคิดย้ำทำ อาจจะไปมุ่งมั่นในลำดับ ทิศทาง และจำนวนการเช็ด เพื่อที่จะทำความสะอาดคือ จุดมุ่งหมายกลายเป็นเรื่องสำคัญน้อยกว่าการกระทำที่ใช้เพื่อให้ถึงจุดมุ่งหมายซึ่งก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมบุคคลจึงยังคงใช้พิธีการทางไสยศาสตร์แม้จะไม่มีประสิทธิผล คือเพราะว่า จุดมุ่งหมายกลายเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญไปแล้ว[21]

เป็นประสบการณ์ตามอัตวิสัยหรือเป็นนิสัย

มีนักวิชาการที่พยายามทำความเข้าใจความคิดทางไสยศาสตร์จากมุมมองที่เป็นอัตวิสัย โดยการศึกษาทางประสบการณ์และทางปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology)มีท่านหนึ่งเสนอว่า นักไสยศาสตร์มีความรู้สึกที่นักวิจัยเรียกว่า "magical consciousness" (จิตทรงมนต์) หรือ "magical experience" (ประสบการณ์ทรงมนต์)ซึ่งเกิดจาก "ความรู้ความเข้าใจถึงความเชื่อมโยงกันของสิ่งทั้งปวงในโลก ผ่านความรู้สึกทางประสาทสัมผัสที่ไม่ซับซ้อนแต่ว่าละเอียดอ่อน"[22]

ส่วนแบบจำลองทางปรากฏการณ์วิทยาอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ "การทำตามนิสัยไม่ใช่ความคิด" (habit is unthinking)นักวิชาการคนหนึ่งเชื่อว่า ผู้เล่นไสยศาสตร์ไม่ได้พยายามที่จะคิดถึงคำอธิบายการกระทำของตน มากไปกว่าบุคคลธรรมดา ๆ จะพยายามทำความเข้าใจถึงการทำงานของยาแก้ปวดที่ตนเองทาน[23] คือ เมื่อบุคคลทั่วไปทานยาแก้ปวด บุคคลนั้นจะไม่รู้ว่ายานั้นมีปฏิกิริยาทางเคมีอย่างไรแต่จะทานโดยถือเอาว่า การทานยานั้นจะมีผลและโดยคล้าย ๆ กัน ผู้เล่นไสยศาสตร์เป็นจำนวนมาก จะไม่รู้สึกว่ามีความจำเป็นเพื่อที่จะเข้าใจคำอธิบายในเรื่องนั้น ๆ

เป็นการอธิบายธรรมชาติที่แตกต่างกัน

มีนักวิชาการที่เสนอว่า วัฒนธรรมที่เน้นความคิดทางวิทยาศาสตร์และที่เน้นความคิดทางไสยศาสตร์ แตกต่างกันโดยการใช้คำอธิบายที่ไม่เหมือนกันเกี่ยวกับปรากฏการณ์ในโลก คือจริง ๆ แล้ว วัฒนธรรมทั้งสองจะมีการใช้สามัญสำนึกเหมือนกันในการตั้งทฤษฎีอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่ว่า จะมีการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือทางไสยศาสตร์เพื่อตรวจสอบเหตุผลของทฤษฎี ในวัฒนธรรมที่ใช้วิทยาศาสตร์ เราจะหันหน้าไปพึ่งผู้ชำนาญทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องนั้น ๆ ส่วนในวัฒนธรรมที่ใช้ความคิดทางไสยศาสตร์ เราก็จะหันหน้าไปพึ่งนักไสยศาสตร์ในทำนองเดียวกัน นักวิชาการท่านนี้เสนอว่า วัฒนธรรมทั้งสองมีการใช้ตรรกะและสามัญสำนึกที่เหมือนกัน แต่มีวิธีการตรวจสอบว่าอะไรเป็นจริงอะไรไม่เป็นจริงที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งอาจจะทำให้วัฒนธรรมทั้งสองต่างมองกันและกันว่า มีความคิดที่ไม่สมเหตุผล นักวิชาการอธิบายว่า "หลักการของคนทั่วไปที่ยอมรับแบบจำลอง (ของความจริงตามธรรมชาติ) จากนักวิทยาศาสตร์ บ่อยครั้งไม่แตกต่างจากเด็กชาวแอฟริกายอมรับแบบจำลองจากผู้ใหญ่"[24]

โดยคล้าย ๆ กัน นักวิชาการอีกท่านหนึ่งพบว่า คนเผ่า Aguaruna ในประเทศเปรูมองไสยศาสตร์ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของเทคโนโลยีไม่ใช่เป็นอะไรที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติกว่าเครื่องมืออย่างอื่น ๆ เขาพบว่า คนเผ่านี้ใช้ไสยศาสตร์คล้ายวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เช่น พวกเขาจะโยนทิ้งก้อนหินที่ถือว่าขลัง หลังจากสังเกตว่าไม่ได้ให้อิทธิผลตามที่ต้องการซึ่งเป็นการยืนยันว่า ความคิดทางไสยศาสตร์อาจจะเป็นวิธีการอธิบายที่แตกต่างกันเท่านั้น[25]

ทฤษฎีเหล่านี้ มักจะทำไสยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และความเชื่อทางศาสนา ให้กลายเป็นสิ่งที่มีกำหนดขอบเขตคลุมเครือ โดยยืนยันว่า มีความคล้ายคลึงกันระหว่างวิธีการปฏิบัติทางไสยศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์ และทางความเชื่อศาสนา[26]

ใกล้เคียง

ความคิดแทรกซ้อน ความคิดเชิงไสยศาสตร์ ความคลั่งทิวลิป ความคิดเห็นทางศาสนาของไอแซค นิวตัน ความคลาดสี ความคุ้มกันแก่พระมหากษัตริย์ ความคิด ความคิด (เพลงอภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข) ความคลาดทางดาราศาสตร์ ความคุ้มกันทางทูต

แหล่งที่มา

WikiPedia: ความคิดเชิงไสยศาสตร์ http://psychologytoday.com/articles/pto-20080225-0... http://skepdic.com/magicalthinking.html //www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/1473331 http://www.csicop.org/SI/show/magical_thinking_in_... //doi.org/10.1016%2F0010-0285(92)90015-T //doi.org/10.1016%2Fj.pedn.2011.11.006 //doi.org/10.1016%2Fs0891-5245(06)80008-8 //doi.org/10.1037%2F0022-3514.67.1.48 //doi.org/10.1080%2F15289168.2011.600137 //doi.org/10.1086%2F201974