คุรุอรชุน (
อังกฤษ: Guru Arjan
[3][4];
ปัญจาบ: ਗੁਰੂ ਅਰਜੁਨ) หรือในบางเอกสารทับศัพท์อิงภาษาอังกฤษว่า
คุรุอาร์จัน เป็นคุรุศาสดาองค์ที่ 5 ของ
ศาสนาซิกข์ ท่านได้รวบรวมบันทึกของซิกข์ขึ้นเป็นเอกสารลายลักษณ์อักษรและจัดเป็นหมวดหมู่ขึ้นครั้งแรก โดยเรียกเอกสารชุดที่ท่านรวบรวมเขีบนขึ้นนั้นว่า คัมภีร์
อดิ กรันตะ (Adi Granth) ซึ่งต่อมาได้ถูกต่อยอดเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาซิกข์ "มหาคัมภีร์
คุรุกรันตสาหิบ" (Guru Granth Sahib)ท่านเกิดในเมืองโคอินทวาล (Goindval) ใน
แคว้นปัญจาบ ท่านเป็นบุตรคนสุดท้องของ
คุรุรามดาส (ซึ่งในขณะนั้นยังใช้ชื่อว่า ภาอี เชฐา; Bhai Jetha) กับ มทา ภานี (Mata Bhani) ธิดาของ
คุรุอมรทาส[5] อาจกล่าวได้ว่าท่านเป็นคุรุศาสดาองค์แรกที่เป็นซิกข์แต่กำเนิด ต่างจากองค์ก่อน ๆ ที่เปลี่ยนศาสนามาจาก
ศาสนาฮินดูเป็น
ซิกข์ในภายหลัง
[6] ท่านคุรุอรชุนดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำศาสนาและจิตวิญญาณของชาวซิกข์ร่วม 25 ปี นอกจากนี้ท่านยังสืบทอดการก่อสร้างวิหารต่อจาก
คุรุรามดาสผู้ขุดสระน้ำอมฤตและสร้างเมือง
อมฤตสาร์ โดยท่านได้ก่อสร้างดะบาสาหิบจนสมบูรณ์ ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็น
หริมันทิรสาหิบ แห่ง
อมฤตสาร์[7][8][9] และท่านคุรุอรชุนยังได้ประมวลเพลงสวดภาวนาของคุรุศาสดาองค์ก่อนหน้าและคำสอนต่าง ๆ เป็นคัมภีร์อดิ กรันตะ และอัญเชิญประดิษฐานใน
หริมันทิรสาหิบ[7]ท่านคุรุอรชุนยังพัฒนาระบบ "
มสันท์" (Masand) ซึ่ง
คุรุรามดาสได้วางรากฐานไว้ขึ้นเสียใหม่ โดยเสนอระบบการบริจาคเงินของซิกข์ให้บริจาคทรัพย์สิน สินค้า หรือการบริการเป็นจิตอาสา ให้ได้ 1 ใน 10 ของที่ตนมีถวายแด่องค์กรของซิกข์ หากไม่พร้อมที่จะบริจาคจำนวนเท่านั้นก็มิได้เป็นปัญหาอะไร ให้บริจาคเท่าที่ตนให้ได้และไม่ทรมานตนเอง นอกจากการสร้างกองทุน "
ทัศวันธ์" (Dasvand) ที่รับบริจาคแล้ว ท่านคุรุยังริเริ่มระบบการศึกษาศาสนาซิกข์อย่างเป็นระบบขึ้นในมสันต์ เพื่อเผยแผ่ศาสนาไปยังคนรุ่นใหม่ที่สนใจใน
ภูมิภาคปัญจาบในสมัยของท่านนั้น กองทุนทาสวันต์ถือได้ว่ามั่งคั่งเป็นอย่างมาก สามารถนำไปสร้างศาสนสถาน (
คุรุทวารา)จำนวนมาก และ "ลังเกอร์" หรือ "ลังกัร" (Lankar) ที่คนไทยเรียกกันว่า
โรงครัวพระศาสดา ซึ่งเป็นโรงครัวอาหารแจกจ่ายโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกเช่นกัน
[10]ท่านคุรุอรชุนถูกจับโดยพระราชกระแสของ
จักรพรรดิชะฮันคีร์ แห่ง
จักรวรรดิโมกุล และถูกร้องขอให้เปลี่ยนศาสนาเป็น
อิสลาม[11][12] ซึ่งท่านยืนยันปฏิเสธ จนสุดท้ายถูกทรมานจนถึงแก่ชีวิตในปี ค.ศ. 1606
[11][13] นักประวัติศาสตร์ยังเป็นที่ถกเถียงว่าท่านคุรุเสียชีวิตจากการทรมานอย่างหนักหรือจากการถูกสั่งประหารชีวิตด้วยการทำให้จมน้ำหรือกดน้ำ
[11][14] การสละชีพเพื่อความเชื่อ (matyrdom) ของท่านนั้นถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์ซิกข์
[11][15] ปัจจุบันบริเวณที่เชื่อกันว่าเป็นที่สำเร็จโทษของท่าน ได้สร้างเป็นคุรุทวาราชื่อว่า
คุรุทวาราเดราสาหิบ (Gurdwara Dera Sahib) ปัจจุบันตั้งอยู่เยื้องกับ
มัสยิดบาดชาฮี ในเมือง
ละฮอร์ ประเทศปากีสถาน