เกียรติประวัติ ของ จอร์จ_วอชิงตัน

เฮนรี ลี สมาชิกสภานิติบัญญัติสหรัฐอเมริกา และ โรเบิร์ต อี. ลี สหายร่วมสงครามปฏิวัติและเป็นบิดาสงครามประชาชน ได้กล่าวคำยกย่องสรรเสริญวอชิงตันที่รู้จักกันดี ดังนี้

สำหรับชาวอเมริกัน เขาคือที่หนึ่งในยามสงคราม ที่หนึ่งในการปกป้องสันติภาพ และที่หนึ่งในหัวใจเพื่อนร่วมชาติ เป็นคนที่มีความกตัญญู ยุติธรรม มีมนุษยธรรม สามารถควบคุมอารมณ์ได้ และมีความจริงใจ การแต่งกายของเขาน่ายกย่องและดูเด่น เขาอบรมสั่งสอนพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมให้กับบุคคลรอบข้าง เขายืนหยัดที่จะเป็นแบบอย่างที่ถูกต้อง บทบาทของเขาที่มีความบริสุทธิ์ได้ปรากฏเด่นชัดต่อสาธารณชน เช่น เป็นบุคคลที่คนในชาติเศร้าโศกเสียใจ[8]

คำกล่าวของลีได้ตั้งเป็นแบบอย่างมาตรฐาน กิตติศัพท์ที่เปี่ยมล้นของวอชิงตันเป็นสิ่งที่ประทับใจในความทรงจำของชาวอเมริกัน วอชิงตันจัดให้รัฐบาลแห่งชาติชุดก่อนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งประธานาธิบดี

ในปี ค.ศ. 1778 วอชิงตันถูกขนานนามว่าเป็น "บิดาผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา"[55]

ในช่วงฉลองครบรอบ 200 ปีของประเทศสหรัฐ วอชิงตันได้รับแต่งตั้งเป็นเกียรติยศให้เป็นระดับนายพลเอก (General) ของกองทัพบกสหรัฐ โดยสภาคู่มีมติที่ Public Law 94-479 ในวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1976 และเป็นคำสั่งออกมาจากกองทัพบกเลขที่ 31-3 วันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1978 โดยมีผลแต่งตั้งอย่างเป็นทางการย้อนหลังในวันที่ 4 กรกฎาคม 1976[12] อันเป็นวันชาติของสหรัฐฯ เพื่อให้วอชิงตันดำรงตำแหน่งสูงสุดทางการทหารในประวัติศาสตร์สหรัฐ

อนุสาวรีย์และที่ระลึก

อนุสรณ์สถานวอชิงตัน ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

ปัจจุบันนี้ ใบหน้าและรูปภาพของวอชิงตันถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ต่างๆของสหรัฐอเมริกา เช่น ธงชาติ ตราประทับของสหรัฐอเมริกา แม้กระทั่งการแสดงความเคารพต่อวอชิงตันที่เห็นชัดที่สุดคือ มีรูปใบหน้าของเขาปรากฏอยู่บนธนบัตรฉบับละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และ เหรียญควอเตอร์ ใบหน้าของวอชิงตัน, โธมัส เจฟเฟอร์สัน, ธีโอดอร์ รูสเวลต์ และ อับราฮัม ลิงคอล์น ถูกนำไปแกะสลักที่เมานต์รัชมอร์ อนุสาวรีย์วอชิงตัน หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ชาวอเมริกันรู้จักมากที่สุดได้ถูกสร้างขึ้น The George Washington Masonic National Memorial ในอเล็กซานเดรีย, เวอร์จิเนีย สร้างขึ้นด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Masonic Fraternity[56]

หลายสิ่งหลายอย่างได้นำชื่อของวอชิงตันไปตั้ง ชื่อของวอชิงตันถูกนำไปตั้งเป็นชื่อเมืองหลวงของสหรัฐอเมริกา นั่นคือ วอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเป็น 1 ใน 2 เมืองหลวงของโลกที่ใช้ชื่อของประธานาธิบดีสหรัฐฯ (อีกเมืองหนึ่งคือ มอนโรเวีย เมืองหลวงของประเทศไลบีเรีย) รัฐวอชิงตัน เป็นเพียงรัฐเดียวที่ใช้ชื่อนี้หลังจากตั้งประเทศ (แมริแลนด์, เวอร์จิเนีย, เซาท์แคโรไลนา, นอร์ทแคโรไลนา และจอร์เจีย เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมพระนามพระราชวงศ์อังกฤษ) มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน และ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เซนต์หลุยส์

การถือทาส

ตลอดระยะเวลาในช่วงชีวิตของวอชิงตันมีการค้าขายทาสอย่างต่อเนื่อง วอชิงตันได้รับมรดกทาส 10 คน หลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1743 ขณะที่มีอายุเพียง 11 ขวบ ในปีที่เขาแต่งงานกับมาร์ธา คัสทิสนั้น เขามีทาสอย่างน้อย 36 คน เขาใช้ทรัพย์สินของมาร์ธาไปชื่อที่ดินและสวน และซื้อทาสมาเพิ่มอีกจำนวนมาก เขาต้องจ่ายภาษีทาส 135 คน และซื้อทาสครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1772 แม้ว่าเขาจะได้รับทาสมาเพิ่มจากการชดใช้หนี้ของลูกหนี้ก็ตาม[57]

ก่อนที่สงครามปฏิวัติอเมริกาจะเกิดขึ้น วอชิงตันแสดงความรู้สึกเกี่ยวกับข้อกำหนดว่าด้วยเรื่องทาสที่ไม่มีคุณธรรม แต่ในปี ค.ศ. 1786 เขาเขียนจดหมายไปถึง โรเบิร์ต มอริส ข้อความว่า "ไม่มีใครที่หวังความจริงใจมากกว่าที่ข้าพเจ้าทำ ที่จะมองถึงแผนการยกเลิกทาส" ในปี 1788[58] วอชิงตันเขียนจดหมายไปถึงผู้จัดการส่วนตัวของเขาที่เมานต์เวอร์นอนว่า เขาหวังที่จะยกเลิกการค้าชาวนิโกร การปรับปรุงครั้งยิ่งใหญ่เกี่ยวกับประชากรทาสในเมานต์เวอร์นอนที่ไม่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ วอชิงตันไม่สามารถขายทาสที่ได้รับมาจากมรดกอย่างถูกกฎหมายหมายได้ เพราะว่าทาสเหล่านี้ได้แต่งงานระหว่างตระกูลทาสกับเจ้าของทาสของพวกเขา และเขาก็ไม่สามารถขายทาสได้โดยปราศจากการทำลายครอบครัว[59]

ในช่วงที่วอชิงตันดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่นั้น ในปี ค.ศ. 1789 เขาซื้อทาสไปที่นิวยอร์กซิตี้ เพื่อเอาไว้ใช้งานในบ้านของประธานาธิบดีหลังแรก มี 7 คนคือ ออนนีย์ จัดจ์, มอลล์, จิลเลส, ปารีส, อัสติน, คริสโตเฟอร์ ชีลส์ และ วิลเลียม ลี หลังจากที่ย้ายเมืองหลวงไปยังฟิลาเดลเฟีย ในปี 1790 เขาซื้อทาสอีก 9 คนไปใช้งานที่บ้านของประธานาธิบดี ที่ฟิลาเดลเฟีย ออนนีย์ จัดจ์, มอลล์, จิลเลส, ปารีส, อัสติน, คริสโตเฟอร์ ชีลส์, เฮอร์คูล, ริชมอนด์ และ โจ (ริชาร์ดสัน) [60] ออนนีย์ จัดจ์ และ เฮอร์คูล ได้พยายามหลบหนีเป็นอิสระ แต่ถูก ริชมอนด์ และ คริสโตเฟอร์ ชีลส์ ขัดขวางเอาไว้

รัฐเพนซิลเวเนีย ได้เริ่มต้นการยกเลิกทาสในปี ค.ศ. 1790 และห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นเจ้าของทาสภายในรัฐนี้เกิน 6 เดือน ถ้าหากไม่ปฏิบัติตาม กฎหมายยกเลิกทาส (Gradual Abolition Law) จะให้อำนาจกับทาสเหล่านี้สามารถตั้งตัวเป็นอิสระได้ทันที[61] วอชิงตันแย้งว่าการที่เขามาอยู่ที่เพนซิลเวเนียในครั้งนี้เป็นผลที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่เขามานั่งตำแหน่งรัฐบาลกลางของเพนซิลเวเนียเพียงคนเดียว และไม่ควรที่จะอนุญาตให้กับตัวเขาเอง จากคำแนะนำของ เอ็ดมุนด์ แรนดอล์ฟ อัยการสูงสุดของเขา เสนอแนะว่า เขาควรสับเปลี่ยนหวุนเวียนทาสในบ้านของประธานาธิบดีอย่างเป็นระเบียบทั้งในและนอกรัฐ เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้สร้างบ้านต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 6 เดือน การสับเปลี่ยนนี้ถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายของทางรัฐเพนซิลเวเนีย แต่การปฏิบัติของประธานาธิบดีครั้งนี้ก็ไม่มีใครออกมาคัดค้านแต่อย่างใด

กฎหมายไล่ล่าทาสที่หลบหนี ในปี ค.ศ. 1793 (Fugitive Slave Act of 1793) [62] กำหนดให้มีการค้าขายทาสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยเจ้าของทาสสามารถเรียกคืนได้ ซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา มาตรที่ 4 ส่วนที่ 2 ผ่านรัฐสภาและลงนามประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยวอชิงตัน กฎหมายฉบับนี้กำหนดไว้ว่า ผู้ที่เป็นทาสที่ต้องสงสัยว่ามีพฤติกรรมจะหลบหนี จะถูกจับโดยไม่มีการประกันและจะถูกนำตัวส่งให้ผู้เป็นเจ้าของทาส ซึ่งสามารถอ้างความเป็นเจ้าของได้เพียงด้วยการสาบานว่าเป็นเจ้าของทาสจริง คนผิวดำที่ต้องสงสัยว่าเป็นทาสหลบหนีก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะขอให้ศาลพิจารณาการสอบสวน

วอชิงตันเป็นเพียงบุคคลที่มีชื่อเสียง เป็นเจ้าของทาส เป็นบิดาผู้ก่อตั้งประเทศผู้ซึ่งปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระในภายหลัง การปฏิบัติของเขาถูกชักจูงโดยผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขาเองคือ มาร์กีส์ เดอ ลาฟาแยตต์ (Marquis de Lafayette) วอชิงตันไม่ได้ปล่อยทาสของเขาให้เป็นอิสระในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตาม วอชิงตันตั้งใจที่จะปล่อยทาสของเขาในวันที่เขาถึงแก่อสัญกรรม ในวันที่เขาถึงแก่อสัญกรรม มีทาส 317 คนที่เมานต์เวอร์นอน แบ่งออกเป็น 123 คนเป็นทาสของวอชิงตัน 154 คนเป็นทาสที่ได้มาจากมรดกตกทอด และอีก 40 คนเป็นทาสที่ยืมมาจากเพื่อนบ้าน[63]

มันเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันว่าวอชิงตันไม่ได้พูดเรื่องการต่อต้านการค้าทาสในที่สาธารณะ เพราะว่าเขาไม่ปรารถนาที่จะสร้างความแตกแยกในการเมืองใหม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่อนไหวและแบ่งแยกทางความคิด[64] แม้ว่าวอชิงตันจะคัดค้านกฎหมายไล่ล่าทาสที่หลบหนี เขามีสิทธิ์ในการยับยั้ง ซึ่งส่งผลให้กฎหมายฉบับนี้เป็นโมฆะได้ (การออกเสียงของสมาชิกวุฒิสภาไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ แต่ทางรัฐสภาผ่านเป็นกฎหมาย ด้วยคะแนน 47 ต่อ 8)[65]

แหล่งที่มา

WikiPedia: จอร์จ_วอชิงตัน http://books.google.ca/books?id=_xISAAAAYAAJ&pg=PA... http://marriage.about.com/od/presidentialmarriages... http://www.american-presidents.com/george-washingt... http://www.earlyamerica.com/review/2005_winter_spr... http://www.freemasons-freemasonry.com/tabbert1.htm... http://books.google.com/books http://books.google.com/books?id=5Q81AAAAIAAJ&prin... http://books.google.com/books?id=5Q81AAAAIAAJ&prin... http://books.google.com/books?id=RXgg4cbWhsUC&pg=P... http://books.google.com/books?id=dBQOAAAAIAAJ&pg=R...