เมนูนำทาง
จุดผลิตน้ำมันสูงสุด อุปทานบทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด กรุณาช่วยปรับปรุงบทความนี้ โดยเพิ่มการอ้างอิงแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือ เนื้อความที่ไม่มีแหล่งที่มาอาจถูกคัดค้านหรือลบออก (2014-04) |
ในปี ค.ศ. 1956 ดร. ฮับเบิร์ตได้จำกัดการพยากรณ์จุดผลิตน้ำมันสูงสุด โดยวิธีการผลิตที่มีใช้ในขณะนั้น[13] แต่ว่า โดยปี ค.ศ. 1962 การวิเคราะห์ของเขาได้รวมพัฒนาการทางการสำรวจและการผลิตในอนาคตด้วย[39] แต่ว่างานวิเคราะห์ทั้งหมดของเขา ไม่รวมน้ำมันที่ผลิตจากหินน้ำมัน หรือจากทรายน้ำมัน
น้ำมันแบ่งออกเป็นแบบเบาและแบบหนัก แบบหนักหมายถึงน้ำมันที่เหนียวไม่ไหลได้ง่าย ๆ แบบเบาเป็นน้ำมันที่สามารถไหลขึ้นมาสู่พื้นโดยธรรมชาติ หรือสามารถขุดเจาะได้โดยใช้เครื่องสูบน้ำมัน (pumpjack)ซึ่งสามารถใช้สูบเอาน้ำมันหนักออกจากพื้นได้ด้วยและสามารถขุดเจาะเอาได้ จากทั้งในพื้นดินและในทะเล[40]
| ||
– ทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency)[43] |
ตามรายงานตลาดน้ำมันของ IEA เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2011 ปริมาณการผลิตน้ำมันของโลก ได้ทำสถิติใหม่ที่ 10,731 ล้านลิตรต่อวัน โดยเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 และจากปริมาณนี้ ที่มาจากประเทศกลุ่มโอเปกเป็นเพียงแค่ 3,658 ล้านลิตรต่อวัน คือ 34.1%[44]
| ||
– โฆษกบริษัทน้ำมันเอ็กซอนโมบิล ธันวาคม ค.ศ. 2005[45] |
| ||
– ประธานบริษัทเก่าคนหนึ่งของบริษัทเชลล์ - เดือนตุลาคม ค.ศ. 2008[46] |
ส่วนจุดค้นพบน้ำมันสูงสุดเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1965[47] ที่ 6,558,226 ล้านลิตร (55,000 ล้านบาร์เรล) ต่อปี[48] ตามสมาคมเพื่อการศึกษาจุดผลิตสูงสุดของน้ำมันและแก๊ส (ASPO) อัตราการค้นพบแหล่งน้ำมันได้ตกลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่นั้นมามีการค้นพบแหล่งน้ำมันน้อยกว่า 1,192,405 ล้านลิตร (10,000 ล้านบาร์เรล) ต่อปี ในแต่ละปีระหว่างปี ค.ศ. 2002-2007[49] แต่ตามบทความของรอยเตอร์ส อัตราการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่ ๆ ค่อนข้างที่จะสม่ำเสมอที่ 15,000-20,000 ล้านบาร์เรลต่อปี[50]
นักวิจัยคนหนึ่งที่ EIA ชี้ว่า หลังจากคลื่นลูกแรกของการค้นพบแหล่งใหม่ ๆ ในเขต ๆ หนึ่ง น้ำมันและแก๊สธรรมชาติสำรองที่มีเพิ่มขึ้น จะไม่ใช่มาจากแหล่งใหม่อื่นอีกที่พบ แต่จะมาจากการค้นพบน้ำมันและแก๊สเพิ่มขึ้นจากแหล่งเดิม[51]
น้ำมันสำรองแบบสามัญ (ที่ไม่ใช่มาจากแหล่งนอกสามัญ) ทั้งหมด แบ่งเป็นน้ำมันดิบที่มีความมั่นใจทางเทคนิค 90-95% ว่าสามารถขุดได้ (โดยการเจาะบ่อโดยใช้วิธีการปฐมภูมิ วิธีการทุติยภูมิ วิธีการปรับปรุง [improved] วิธีการเพิ่มผล [enhanced] หรือวิธีการตติยภูมิ), น้ำมันที่มีความน่าจะเป็น 50% ว่าจะขุดได้ในอนาคต,และน้ำมันที่มีโอกาส 5-10% ว่าจะขุดได้ในอนาคต ซึ่งมีการหมายเรียกว่า 1P/Proven (90-95%), 2P/Probable (50%), และ 3P/Possible (5-10%)[52] และยังไม่รวมเชื้อเพลิงเหลวที่สกัดมาจากหิน ทราย หรือแก๊ส(ดังที่กล่าวแล้วในหัวข้อ แหล่งน้ำมันนอกสามัญ)[53]
การคำนวณแหล่งสำรองแบบ 2P พยากรณ์ว่ามีน้ำมันระหว่าง 1,150,000-1,350,000 ล้านบาร์เรล แต่นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า เพราะให้ข้อมูลผิด เพราะไม่ให้ข้อมูล และเพราะการคำนวณที่บิดเบือน แหล่งสำรองแบบ 2P น่าจะอยู่ใกล้ ๆ 850,000-900,000 ล้านบาร์เรลมากกว่า[7][11] Energy Watch Group (กลุ่มจับตามองเรื่องเกี่ยวกับพลังงาน) กล่าวว่า แหล่งสำรองที่พบ ถึงจุดสูงสุดเมื่อปี ค.ศ. 1980 เป็นจุดที่การผลิตน้ำมัน มากกว่าการค้นพบแหล่งน้ำมันเป็นครั้งแรก และน้ำมันสำรองที่เพิ่มขึ้นหลังจากนั้นเป็นเรื่องไม่ชัดเจน และสรุปในปี ค.ศ. 2007 ว่า"การผลิตน้ำมันของโลกน่าจะผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว แต่เรายังไม่สามารถมั่นใจได้เต็มร้อย"[7]
ในปี ค.ศ. 2005 บทความในหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า เทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถขุดเจาะน้ำมันประมาณ 40% จากบ่อโดยมากและอ้างรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย และผู้ชำนาญในอุตสาหกรรมน้ำมันว่า เทคโนโลยีในอนาคตจะสามารถขุดเจาะน้ำมันได้มากกว่านั้น[54]
ในประเทศผู้ผลิตสำคัญหลายประเทศ น้ำมันสำรองที่อ้างว่ามี ไม่ได้รับการตรวจสอบจากบุคคลภายนอกแต่ว่า น้ำมันที่สามารถขุดเจาะได้ง่าย ส่วนมากได้ค้นพบแล้ว[45] ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 ได้บันดาลใจ ให้หาน้ำมันในเขตที่การขุดเจาะจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าเช่นในบ่อที่ลึกมาก บ่อที่มีอุณหภูมิสูง และเขตภูมิภาคที่มีสิ่งแวดล้อมที่อ่อนไหวหรือในที่ต้องใช้เทคโนโลยีระดับสูงเพื่อขุดเจาะอัตราการค้นพบที่ลดลงต่อการสำรวจหาแต่ละครั้ง ทำให้เครื่องเจาะพื้นขาดแคลน เพิ่มราคาของเหล็กกล้า และเพิ่มค่าใช้จ่ายโดยองค์รวม เพราะการสำรวจซับซ้อนยิ่งขึ้น[55][56]
| ||
– อดีตรองประธานของบริษัทน้ำมัน Aramco ในปาฐกถากล่าวที่งานประชุมน้ำมันและเงินตราในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007[8] |
อดีตรองประธานของบริษัทน้ำมัน Aramco ประเมินว่า น้ำมันสำรองปริมาณ 1,200,000 ล้านบาร์เรลที่บอกว่าพิสูจน์ได้ ประมาณ 300,000 ล้านบาร์เรล (25%) ควรจะจัดใหม่ว่าเป็นทรัพยากรที่เป็นเพียงการคาดคะเน[8]
กราฟแสดงน้ำมันสำรองของประเทศกลุ่มโอเปก ที่เพิ่มปริมาณโดยที่ไม่พบแหล่งใหม่ ๆ และก็ไม่หมดสิ้นไปแม้ว่าจะผลิตต่อ ๆ กันทุกปีอีกด้วยปัญหายากอย่างหนึ่งในการพยากรณ์เวลา ที่การผลิตน้ำมันจะถึงจุดสูงสุดก็คือ ความไม่โปร่งใสเกี่ยวกับน้ำมันสำรองที่อ้างว่า "พิสูจน์ได้" (proven)ตัวบ่งชี้ที่น่ากังวลใจ เกี่ยวกับการสูญสิ้นน้ำมันสำรองส่วนที่พิสูจน์ได้ ได้เริ่มปรากฏในปีที่ผ่าน ๆ มา[57][58] ตัวอย่างก็คือ เกิดเรื่องอื้อฉาวในปี ค.ศ. 2004 เกี่ยวกับการหายไปเฉย ๆ ของน้ำมันสำรองถึง 20% ที่อ้างโดยบริษัทเชลล์[59]
โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว บริษัทน้ำมันด้วย ประเทศผู้ผลิตด้วย และประเทศผู้บริโภคด้วย จะเป็นผู้แสดงว่า มีน้ำมันสำรองอยู่เท่าไรแต่ทั้งสามพวก ล้วนมีเหตุผลที่จะแสดงปริมาณที่เกินความจริง คือ บริษัทน้ำมันอาจจะต้องการเพิ่มมูลค่าบริษัทของตนประเทศผู้ผลิตอาจจะได้รับการยกย่องที่สูงกว่าในความสัมพันธ์กับประเทศอื่นและรัฐบาลของประเทศบริโภค อาจจะต้องการที่จะแสดงความมั่นคงและความเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ กับประชาชนของตน
มีข้อมูลไม่ลงรอยกันหลัก ๆ หลายอย่างในตัวเลขที่ประเทศกลุ่มโอเปกรายงานเองนอกจากความเป็นไปได้ที่จะกล่าวเกินความจริง (เมื่อไม่มีการค้นพบใหม่ ๆ) มีประเทศกว่า 70 ประเทศ ที่ไม่ลดปริมาณน้ำมันสำรองที่กล่าวเพราะเหตุผลทางการเมือง แม้ว่าจะขุดเจาะน้ำมันอยู่ทุกปีพวกนักวิเคราะห์เสนอว่า สมาชิกกลุ่มโอเปกมีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่จะกล่าวเกินความจริงเพราะว่าระบบโควตาของโอเปก อนุญาตประเทศที่มีน้ำมันสำรองมากกว่า ให้ผลิตน้ำมันมากกว่า[54]
ยกตัวอย่างเช่น นิตยสาร Petroleum Intelligence Weekly (ข่าวกรองปิโตรเลียมรายสัปดาห์) เดือนมกราคม ค.ศ. 2006 รายงานว่า ประเทศคูเวตมีน้ำมันสำรองเพียงแค่ 48,000 ล้านบาร์เรลโดยมีเพียงแค่ 24,000 ล้านบาร์เรลเท่านั้นที่พิสูจน์ได้เป็นรายงานที่มาจากเอกสารลับที่ได้รั่วไหลเมื่อปี ค.ศ. 2001 ซึ่งแม้แต่รัฐบาลคูเวตเอง ก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธอย่างเป็นทางการ[60] เป็นตัวเลขที่รวมน้ำมันที่ผลิตออกมาแล้วตั้งแต่ปี 2001 ซึ่งเป็นประมาณ 5,000 ล้านบาร์เรลต่อปี[27] แต่ไม่รวมตัวเลขที่แก้ไขเพิ่ม หรือการค้นพบใหม่ ๆ หลังจากนั้นแต่รัฐบาลคูเวตกลับแถลงทุก ๆ ปีว่า มีน้ำมันสำรองอีกประมาณ 100,000 ล้านบาร์เรล[60]นอกจากนั้นแล้ว น้ำมันที่ถูกเผาทิ้งไปปริมาณ 1,500 ล้านบาร์เรลในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก[61] ก็ยังไม่ลบออกจากตัวเลขที่เป็นทางการอีกด้วย
มีนักข่าวสืบสวนบางท่านอ้างว่า บริษัทน้ำมันมีแรงจูงใจ ที่จะทำให้น้ำมันมีเหมือนน้อยกว่าความจริง เพื่อที่จะโก่งราคาน้ำมัน[62] แต่มุมมองนี้ก็มีนักข่าวทางนิเวศวิทยาที่ไม่เห็นด้วย[63] และก็มีนักวิเคราะห์ท่านอื่น ๆ อีกที่อ้างว่า ประเทศผู้ผลิตจะบอกค่าน้ำมันของตนต่ำเกินไปเพื่อจะโก่งราคา[64]
แต่ว่าในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2009 เจ้าหน้าที่ระดับสูงผู้หนึ่งที่ IEA อ้างว่า สหรัฐอเมริกาสนับสนุนให้ IEA เปลี่ยนอัตราการสูญสิ้นของน้ำมัน และข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันสำรอง เพื่อจะกดราคา[65] เช่นในปี ค.ศ. 2005 IEA พยากรณ์ว่า อัตราการผลิตในปี ค.ศ. 2030 จะถึง 120 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่ต่อจากนั้นก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงจนเหลือ 105 ล้านบาร์เรลต่อวันแต่ว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงผู้นั้นกล่าวว่า คนในวงในของอุตสาหกรรมมีมติร่วมกันว่า แม้ปริมาณ 90 ล้านบาร์เรลต่อวัน ก็ไม่สามารถที่จะเป็นได้แล้วแม้ว่า จะมีคนนอกองค์กรที่ได้เคยตั้งความสงสัยกับตัวเลขของ IEA ในอดีต แต่นี่เป็นครั้งแรก ที่แม้แต่คนในองค์กร ก็ตั้งความสงสัยกับตัวเลขเหล่านั้นเช่นกัน[65] งานวิเคราะห์การพยากรณ์ของ IEA ในปี ค.ศ. 2008 ตั้งความสงสัยเกี่ยวกับข้อสมมุติต่าง ๆ ของ IEA แล้วอ้างว่า การผลิตในปี ค.ศ. 2030 น่าจะใกล้ความจริงมากกว่าที่ 75 ล้านบาร์เรลต่อวัน(รวมน้ำมันดิบที่ 55 ล้านบาร์เรลต่อวัน และน้ำมันจากแหล่งนอกสามัญและจากแก๊สธรรมชาติที่ 20 ล้านบาร์เรลต่อวัน)[9]
ส่วนค่าประเมินน้ำมันที่จะขุดออกมาได้โดยที่สุด (EUR) ขององค์กรสำรวจธรณีวิทยาของสหรัฐอเมริกา (USGS) ที่ค่า 2,300,000 ล้านบาร์เรล ถูกวิจารณ์ว่า มีการสมมุติอย่างไม่ตรงกับความจริงว่า แนวโน้มการค้นพบแหล่งใหม่ ๆ ในอีก 20 ปีข้างหน้า จะเป็นเหมือนกับ 40 ปีที่ผ่าน ๆ มาคือ ความมั่นใจที่ 95% ของค่าประเมิน EUR มีข้อสมมุติว่า ระดับการค้นพบแหล่งใหม่ ๆ จะเสถียร ทั้ง ๆ ที่การค้นพบได้ลดระดับมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1960และก็ยังลดระดับลงอย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปี ให้หลังจากที่องค์กร USGS ใช้ข้อสมมุตินั้นนอกจากนั้นแล้ว รายงานในปี 2000 ยังถูกวิจารณ์อีกด้วยว่า ใช้วิธีการที่ผิดพลาดอย่างอื่น ๆ และมีการสมมุติอัตราการผลิต ที่ไม่สอดคล้องกับระดับน้ำมันสำรองที่คาดหมาย[7]
ถ้าแหล่งน้ำมันสามัญเริ่มเข้าถึงได้ยาก จะสามารถทดแทนได้โดยการผลิตเชื้อเพลิงเหลวจากทรายน้ำมัน จากน้ำมันที่ข้นมาก จากแก๊สธรรมชาติ จากถ่านหิน จากเทคโนโลยีเชื้อเพลิงชีวภาพ และจากหินน้ำมัน[66]รายงาน International Energy Outlook (ท่าทีพลังงานระหว่างประเทศ) ของ IEA เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 ได้แทนคำว่า น้ำมัน ด้วยคำว่า เชื้อเพลิงเหลว ในกราฟที่แสดงการใช้พลังงานของโลก[67][68]ในปี ค.ศ. 2009 เชื้อเพลิงชีวภาพรวมอยู่ในส่วนของเชื้อเพลิงเหลว ไม่ได้อยู่ในส่วนของพลังงานทดแทน[69]
แหล่งพลังงานที่ไม่สามัญ เช่น น้ำมันดิบที่ข้นมาก ทรายน้ำมัน และหินน้ำมัน จะไม่นับรวมอยู่ในน้ำมันสำรอง[ต้องการอ้างอิง] แต่เพราะว่า กฎที่เปลี่ยนไปขององค์กรตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (U.S. Securities and Exchange Commission)[70] บริษัทน้ำมันในปัจจุบันสามารถลงบัญชีทรัพยากรเหล่านั้นว่า เป็นแหล่งน้ำมันสำรองที่พิสูจน์ได้ หลังจากที่สร้างเหมืองผิวดิน หรือโรงทำความร้อน ที่ใช้เพื่อขุดเจาะแหล่งพลังงานเหล่านี้นอกจากต้องใช้แรงงาน พลังงาน และทรัพยากรมากในการผลิต ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายในการผลิตสูงขึ้นแล้ว ยังปล่อยแก๊สเรือนกระจกต่ออัตราการผลิตมากถึง 3 เท่า "จากบ่อไปถึงถังน้ำมันรถ" หรือ 10-45% มากกว่า "จากบ่อจนถึงรถวิ่ง" ซึ่งรวมคาร์บอนที่เกิดจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงนั้นด้วย[71][72]
แม้ว่าจะใช้พลังงานและทรัพยากรมาก และมีผลต่อสิ่งแวดล้อมสูง แต่ก็มีแหล่งน้ำมันไม่สามัญ ที่กำลังรับการพิจารณาเพื่อขุดเจาะเพื่อการผลิตใหญ่ รวมทั้ง น้ำมันที่ข้นเป็นพิเศษในประเทศเวเนซุเอลา[73] น้ำมันทรายในประเทศแคนาดา[74] และหินน้ำมันของแม่น้ำกรีนในรัฐโคโลราโด ยูทาห์ ไวโอมิง ในสหรัฐอเมริกา[75][76] บริษัทพลังงานเช่น Syncrude และ Suncor ได้สกัดน้ำมันจากยางมะตอยมาเป็นทศวรรษ ๆ แล้ว แต่ว่า การผลิตเริ่มเพิ่มขึ้นตั้งแต่มีพัฒนาการของเทคโนโลยี Steam Assisted Gravity Drainage (ที่ใช้ไอน้ำฉีดละลายน้ำมันในบ่อหนึ่ง ให้ไหลลงไปในอีกบ่อหนึ่ง) และเทคโนโลยีการขุดเจาะอื่น ๆ เพิ่มขึ้น[77][78]นักธรณีวิทยาของ USGS คนหนึ่งได้ประเมินว่า "รวม ๆ กันแล้ว ทรัพยากรเหล่านี้ในซีกโลกตะวันตก (โลกด้านตะวันออกของเส้นแอนติเมริเดียน จนถึงเส้นเมริเดียนแรก) ประมาณเท่ากับน้ำมันดิบสำรอง ที่ได้ค้นพบแล้วของตะวันออกกลาง"[79] เจ้าหน้าที่ที่คุ้นเคยกับทรัพยากรเหล่านี้เชื่อว่า น้ำมันจากแหล่งไม่สามัญของโลก มีปริมาณหลายเท่าของแหล่งสามัญ และจะเป็นทรัพยากรที่ให้ผลกำไรมหาศาลกับบริษัทน้ำมัน สืบเนื่องจากราคาที่สูงขึ้นในศตวรรษนี้[80] ในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2009 USGS ได้แก้ไขค่าประเมินเฉลี่ย ของน้ำมันที่สามารถสกัดได้จากทรายน้ำมันจากประเทศเวเนซุเอลา ไปเป็น 513,000 ล้านบาร์เรล โดยมีโอกาส 90% ที่จะอยู่ในระหว่าง 380,000-652,000 ล้านบาร์เรล จึงเรียกเขตนี้ได้ว่า "เป็นกองสั่งสมน้ำมันที่สามารถนำออกมาใช้ได้ ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก"[81]
แหล่งน้ำมันนอกสามัญ มีปริมาณ 70% ของแหล่งน้ำมันที่มีทั้งหมด[82]แม้ว่าจะมีน้ำมันมหาศาลอยู่ในแหล่งที่ไม่สามัญ แมตทิว ซิมมอนส์ อ้างว่า ข้อจำกัดต่าง ๆ ในการผลิต จะทำให้ไม่สามารถใช้ทดแทนน้ำมันดิบจากแหล่งสามัญคือกล่าวโดยเฉพาะไว้ว่า "โปรเจ็กต์เหล่านี้ล้วนแต่ใช้พลังงานมาก ที่ไม่สามารถจะผลิตในปริมาณสูงได้" เพื่อจะทดแทนการสูญเสียอย่างสำคัญจากแหล่งอื่น ๆ[83] ส่วนงานศึกษาอีกงานหนึ่งอ้างว่า แม้แต่ในข้อสมมุติที่มองในแง่ดีสุด ๆ "ทรายน้ำมันของแคนาดา จะไม่สามารถป้องกันจุดผลิตน้ำมันสูงสุดได้"แม้ว่า การผลิตอาจจะถึงระดับ 5 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยปี ค.ศ. 2030 ถ้าเริ่มโปรแกรมพัฒนาอย่างเร่งด่วน[84]
นอกจากนั้นแล้ว น้ำมันที่สกัดจากทรัพยากรเหล่านี้ มักจะมีสิ่งเจือปน เช่น กำมะถัน และโลหะหนัก ที่ต้องใช้พลังงานมากที่จะเอาออก และอาจจะเหลือเป็นบ่อหางแร่ (tailings) คือเป็นกากตะกอนไฮโดรคาร์บอนในบางกรณี[71][85] ซึ่งก็เป็นจริงเช่นกันด้วย สำหรับแหล่งน้ำมันสำรองที่ยังไม่ได้ขุดเจาะแหล่งต่าง ๆ ที่มีน้ำมันที่หนัก ข้น และเจือปนไปด้วยกำมะถันและโลหะ จนกระทั่งว่าใช้ไม่ได้[86] แต่ว่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 ทำให้แหล่งเหล่านี้ดูน่าสนใจเพิ่มขึ้น[54] งานศึกษาโดยบริษัทปรึกษาน้ำมัน Wood Mackenzie บอกเป็นนัยว่า ภายใน 15 ปี น้ำมันส่วนเพิ่มทั้งหมดในโลก จะมาจากแหล่งไม่สามัญ[87]
ในปัจจุบัน มีบริษัทสองบริษัทคือ SASOL และบริษัทเชล์ล ที่มีเทคโนโลยีน้ำมันสังเคราะห์ ที่สามารถผลิตเพียงพอเพื่อการค้าได้ธุรกิจหลักของ SASOL ก็คือการเปลี่ยนถ่านหินและแก๊สธรรมชาติเป็นน้ำมัน ซึ่งมีรายได้ 4,400 ล้านเหรียญสหรัฐในปี ค.ศ. 2009ส่วนบริษัทเชล์ลได้ใช้กระบวนการเหล่านี้ เพื่อแปรรูปแก๊สที่ใช้ไม่ได้ (ปกติจะเผาทิ้งที่บ่อหรือที่โรงกลั่นน้ำมัน) ให้กลายเป็นน้ำมันสังเคราะห์บทความปี ค.ศ. 2003 ในนิตยสาร Discover อ้างว่า เทคนิค thermal depolymerization สามารถใช้ผลิตน้ำมันได้โดยไม่จำกัด จากขยะ น้ำเสีย และของเสียทางเกษตรกรรมโดยมีค่าใช้จ่ายที่ 15 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล[88] แต่ว่า บทความในปี ค.ศ. 2006 ต่อมา ได้ปรับค่าใช้จ่ายไปที่ $80 ต่อบาร์เรล เพราะว่า วัตถุดิบที่ในตอนแรกคิดว่า เป็นของเสียอันตราย กลับเป็นของมีมูลค่า[89]
ส่วนข่าวที่รายงานในปี ค.ศ. 2007 ของ Los Alamos National Laboratory (แล็บประจำชาติของสหรัฐอเมริกา) เสนอว่า ไฮโดรเจน (ซึ่งอาจจะผลิตได้โดยใช้ความร้อนจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เพื่อแยกน้ำออกเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจน) ร่วมกับคาร์บอนไดออกไซด์ (ที่แยกออกและเก็บไว้โดยระบบต่าง ๆ)สามารถใช้ผลิตเมทานอล (CH3OH) แล้วแปรรูปเป็นน้ำมันแต่เพื่อที่จะคุ้มทุน ราคาน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันในสหรัฐอเมริกา จะต้องมีราคา $4.60 ต่อแกลลอนก่อน (ราคาเฉลี่ยที่ $2.66 ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2558[90])แต่ว่า การลงทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานนั้นไม่แน่นอน โดยมากเพราะว่า ค่าใช้จ่ายเพื่อแยกและเก็บคาร์บอนไดออกไซด์นั้น ยังไม่แน่นอน[91]ปัญหาอีกอย่างหนึ่งก็คือ การแยกเก็บคาร์บอนและการแยกน้ำ ทั้งสองล้วนแต่ต้องใช้พลังงาน
จุดที่การผลิตน้ำมันในโลกสูงสุด เป็นนิยามของคำว่า จุดผลิตน้ำมันสูงสุดผู้ที่เชื่อเรื่องจุดผลิตน้ำมันสูงสุดเชื่อว่า สมรรถภาพในการผลิตจะเป็นจุดจำกัดของอุปทานและดังนั้นเมื่อการผลิตลดลง ก็จะเป็นจุดติดขัดแก่อุปสงค์และอุปทานแต่ว่า คำพยากรณ์ที่แสดงว่าจุดนี้ใกล้จะเกิดขึ้น ก็ยังไม่เคยถูกต้อง และก็ยังไม่รู้ว่า การผลิตน้ำมันที่จะลดลงในอนาคต จะมีสาเหตุจากอุปสงค์หรืออุปทาน
ปริมาณน้ำมันที่ค้นพบน้ำมันใหม่ ๆ ทั่วโลก มีจำนวนน้อยกว่าจำนวนที่ผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980[7] ตามแหล่งอ้างอิงต่าง ๆ ในปี ค.ศ. 2006-2007 การผลิตทั่วโลกอยู่ใกล้จุดสูงสุดหรือผ่านมาแล้ว[6][7][8][10] เพราะว่าประชากรของโลกเติบโตเร็วกว่าการผลิตน้ำมันดังนั้น ปริมาณผลิตน้ำมันต่อประชากรจึงได้ถึงจุดสูงสุดในปี ค.ศ. 1979[34]
การลงทุนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในแหล่งน้ำมันที่เข้าถึงได้ยาก เป็นตัวชี้ว่า บริษัทน้ำมันเชื่อว่า น้ำมันที่เข้าถึงได้ง่าย ๆ ได้หมดลงแล้ว[45] ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าจะเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะกระตุ้นการผลิตน้ำมัน แต่ว่า บุคคลในวงในเดี๋ยวนี้เชื่อว่า แม้ว่าจะมีราคาที่สูงขึ้น การผลิตน้ำมันก็ยังมีโอกาสน้อย ที่จะเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างสำคัญ มากกว่าในระดับที่ปี ค.ศ. 2010 (ที่ 85.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน[16])เหตุผลต่าง ๆ ที่อ้างก็คือ มีข้อจำกัดทางธรณีวิทยา และปัจจัยจำกัดเหนือดินอื่น ๆ เช่น ความสามารถและความมุ่งมั่น ที่จะขุดเจาะเอาน้ำมันและนี่จะทำให้เกิดผลเป็นความคงที่ในระดับการผลิตน้ำมัน เป็นชั่วระยะหนึ่งก่อนที่จะลดระดับลง[92]
ในปี ค.ศ. 2008 การวิเคราะห์ของวารสาร Journal of Energy Security (วารสารความมั่นคงทางพลังงาน) เกี่ยวกับพลังงานที่เป็นผลคืนมา ในการขุดเจาะหาน้ำมันในสหรัฐอเมริกา สรุปว่า มีโอกาสน้อยมากที่จะเพิ่มกำลังการผลิตทั้งแก๊สธรรมชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันคือเมื่อดูผลการผลิตที่ได้ เทียบกับความพยายามในการขุดเจาะ งานวิเคราะห์พบว่า ไม่มีการเพิ่มผลผลิตที่เป็นผลจากการเพิ่มความพยายามนี่เป็นเพราะความสัมพันธ์เชิงปริมาณระหว่างผลได้ที่ลดระดับลงเรื่อย ๆ (diminishing return) เทียบกับการเพิ่มความพยายามคือ เมื่อความพยายามเพิ่มขึ้น พลังงานที่ได้จากแท่นขุดเจาะน้ำมันแต่ละแท่น จะลดลงตามกฎยกกำลัง ซึ่งลดลงรวดเร็วมากงานศึกษาสรุปว่า แม้การเพิ่มความพยายามในการขุดเจาะอย่างยิ่งยวด ก็มีโอกาสน้อยมากที่จะเพิ่มผลผลิตของน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ในเขตผลิตน้ำมันที่เจริญเต็มที่แล้ว เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา[93]แต่ปรากฏว่า ตั้งแต่งานวิเคราะห์นี้ได้ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2008 การผลิตน้ำมันในสหรัฐได้เพิ่มขึ้น 30% และการผลิตแก๊สธรรมชาติเพิ่มขึ้น 19% เทียบกับปี ค.ศ. 2012[94]
ตามรายงานในปี ค.ศ. 2007 ของทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) น้ำมันที่มีขายทั้งหมดในโลก (ไม่รวมเชื้อเพลิงชีวภาพ น้ำมันจากแหล่งไม่สามัญ และการใช้น้ำมันจากที่เก็บน้ำมันสำรอง) เฉลี่ยแล้วมีประมาณ 85.24 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี ค.ศ. 2006 ซึ่งเพิ่มขึ้น 760,000 บาร์เรลต่อวัน (0.9%) จากปี ค.ศ. 2005[95] ส่วนการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยปีต่อปีระหว่างปี ค.ศ. 1987-2005 ก็คือ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน (1.7%)[95] ในปี ค.ศ. 2008 IEA เพิ่มการลดระดับการผลิตน้ำมันจากแหล่งสามัญ หลังจากถึงจุดสูงสุดแล้ว จากปีละ 3.7% ไปเป็น 6.7% เพราะมีการใช้วิธีการลงบัญชีที่ดีกว่า และเพราะการใช้ข้อมูลที่ได้จากงานศึกษาแหล่งน้ำมันแต่ละแหล่ง ๆ ทั่วโลก ที่เดิมเป็นเพียงการคาดคะเนเท่านั้น[96]
ในแหล่งผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก 21 แห่ง 9 แห่งได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และการผลิตอยู่ในช่วงที่กำลังตกลง[97] ในปี ค.ศ. 2006 รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสของบริษัทน้ำมัน Saudi Aramco (ของซาอุดีอาระเบีย) ท่านหนึ่งประเมินว่า แหล่งน้ำมันของบริษัททั้งหมดกำลังลดลงที่อัตรา 5%-12% ต่อปี[98] คำกล่าวนี้ได้ใช้เป็นข้ออ้างว่า แหล่งน้ำมัน Ghawar ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นแหล่งผลิตน้ำมันปริมาณถึง 50% ของประเทศซาอุดีอาระเบียใน 50 ปีที่ผ่านมา จะเริ่มลดการผลิตลงอีกไม่นาน[54] ส่วนแหล่งน้ำมันใหญ่ที่สุดที่สองของโลกคือ Burgan Field ในประเทศคูเวต เริ่มลดการผลิตลงเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2005 แล้ว[99]
ตามงานศึกษาแหล่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุด 811 แห่งในปี ค.ศ. 2008 ของบริษัทให้คำปรึกษา Cambridge Energy Research Associates (CERA) อัตราการลดการผลิตโดยเฉลี่ยของแหล่งน้ำมันอยู่ที่ 4.5% ต่อปีแต่ IEA กล่าวในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ว่า งานวิเคราะห์แหล่งน้ำมัน 800 แห่งที่ผ่านจุดสูงสุดในการผลิตมาแล้ว มีอัตราลดการผลิตที่ 6.7% ต่อปี และจะเพิ่มขึ้นเป็น 8.6% ต่อปีในปี ค.ศ. 2030[100] แต่ก็ยังมีโปรเจ็กต์ที่คาดว่า จะเริ่มการผลิตภายในทศวรรษหน้าที่หวังว่า จะช่วยทดแทนการลดการผลิตที่กล่าวมานี้เช่น รายงานของ CERA พยากรณ์การผลิตน้ำมันในปี ค.ศ. 2017 ที่ปริมาณกว่า 100 ล้านบาร์เรลต่อวัน[101]
เจ้าหน้าที่ของ ASPO คือ Kjell Aleklett เห็นด้วยกับอัตราลดการผลิตที่รายงานโดย CERA แต่คิดว่า อัตราการผลิตน้ำมันจากแหล่งใหม่ ๆ ของ CERA คือ 100% ของโปรเจ็กต์ใหม่ทั้งหมดที่กำลังดำเนินการ โดยมี 30% มีความล่าช้า บวกกับมีแหล่งใหม่ ๆ แต่ขนาดเล็ก และการขยายแหล่งที่มีอยู่ ว่า มองในแง่ดีมากเกินไป[102]
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2006 ประเทศเม็กซิโกประกาศว่า ปริมาณที่ผลิตจากแหล่งน้ำมันยักษ์ Cantarell Field เริ่มจะลดลง[103] ในปี ค.ศ. 2000 บริษัทน้ำมันของเม็กซิโก PEMEX ได้สร้างโรงงานผลิตไนโตรเจนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อใช้ฉีดเข้าไปในแหล่งน้ำมัน เป็นความพยายามที่จะรักษาระดับการผลิตไว้[104] แต่ว่าโดยปี ค.ศ. 2006 ผลผลิตก็เริ่มลดลงที่อัตราร้อยละ 13 ต่อปี[105]
การผลิตน้ำมันดิบในรัฐอะแลสกาได้ลดลงถึง 70% ตั้งแต่ถึงจุดยอดในปี ค.ศ. 1988ในปี ค.ศ. 2000 ประเทศกลุ่มโอเปกได้ปฏิญาณที่จะรักษาระดับการผลิต เพื่อจะรักษาราคาน้ำมันให้อยู่ระหว่าง $22-28 ต่อบาร์เรล แต่ว่านี่ปรากฏว่าเป็นไปไม่ได้อย่างไรก็ดี ในรายงานประจำปี ค.ศ. 2007 โอเปกพยากรณ์ว่า องค์กรจะสามารถรักษาระดับการผลิต เพื่อสร้างความเสถียรให้ราคาน้ำมันระหว่าง $50-60 ต่อบาร์เรล จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 2030[106] วันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 เมื่อน้ำมันมีราคาสูงกว่า $98 ต่อบาร์เรล สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดัลอะซิซ อาล สะอูด แห่งประเทศซาอุดีอาระเบีย ผู้ได้ทรงสนับสนุนให้รักษาความเสถียรของราคาน้ำมันมาเนิ่นนานแล้ว ได้ทรงประกาศว่า ซาอุดีอาระเบียจะไม่เพิ่มระดับการผลิตอีกเพื่อรักษาราคาน้ำมัน[107] แม้ซาอุดีอาระเบียจะเป็นประเทศผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุด แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาความเสถียรของราคาน้ำมันโดยการผลิตเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงปรากฏว่า ไม่มีประเทศไหนหรือองค์กรใด ที่มีสมรรถภาพการผลิตที่ยังไม่ได้ใช้ ซึ่งสามารถลดราคาน้ำมันซึ่งอาจจะหมายความ บรรดาผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุดที่ระดับการผลิตยังไม่ได้ผ่านจุดยอด กำลังผลิตเต็มพิกัด หรือใกล้จะเต็มพิกัดอยู่แล้ว[54]
มีผู้ที่ชี้ว่า บ่อน้ำมันน้ำลึก Jack 2 ซึ่งเป็นบ่อทดสอบในอ่าวเม็กซิโก (ประกาศโดยบริษัทในวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 2006)[108] เป็นหลักฐานว่า จุดผลิตน้ำมันสูงสุดของโลก ยังไม่ใช่เรื่องที่จวนตัวตามการประเมินแหล่งหนึ่ง แหล่งนี้สามารถให้น้ำมันเป็นส่วนผลิต 11% ของสหรัฐอเมริกาภายใน 7 ปี[109] แต่ว่า แม้จะมีการค้นพบใหม่ ๆ ตามที่คาดหวัง หลังจากที่การผลิตน้ำมันถึงจุดสูงสุดแล้ว[110] แหล่งใหม่ ๆ เหล่านี้ จะยากขึ้นที่ค้นพบและขุดเจาะยกตัวอย่างเช่น แหล่งน้ำมัน Jack 2 อยู่ใต้พื้นทะเล 6.1 กม. ซึ่งอยู่ใต้ผิวทะเลอีก 2.1 กม. ดังในจึงต้องใช้ท่อส่งยาว 8.5 กม.นอกจากนั้นแล้ว ระดับน้ำมันประเมินแบบสูงสุดที่ 15,000 ล้านบาร์เรล ก็ใช้ได้แค่ไม่ถึงสองปี ในอัตราการบริโภคของสหรัฐในปัจจุบัน[111] การผลิตเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 2014 และคาดว่าจะเพิ่มระดับขึ้นเป็น 94,000 บาร์เรลต่อวันสำหรับน้ำมันดิบ และ 595 ล้านลิตรต่อวัน สำหรับแก๊สธรรมชาติ[112]
องค์กรต่าง ๆ เช่นรัฐบาลหรือกลุ่มธุรกิจผูกขาด สามารถลดระดับอุปทานของน้ำมันในตลาดโลก โดยการยึดเป็นของชาติ การลดระดับการผลิต การจำกัดสัมปทาน การเพิ่มภาษี เป็นต้น นอกจากนั้นแล้ว การคว่ำบาตรของสหประชาชาติ คอร์รัปชั่น และสงคราม อาจจะลดระดับน้ำมันได้อีกด้วย
ปัจจัยอย่างหนึ่งที่มีผลต่อระดับอุปทานของน้ำมันก็คือ การยึดเป็นของชาติโดยประเทศที่ผลิตน้ำมันแล้วไม่ส่งออกบรรณาธิการของบริษัทสารสนเทศพลังงานท่านหนึ่งได้ชี้ว่า ค่าประเมินน้ำมันจริง ๆ ก็หลากหลายอยู่แล้ว แต่ว่าในปัจจุบัน การเมืองได้กลายมาเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับอุปทานของน้ำมัน คือ"ประเทศบางประเทศ เริ่มกลายเป็นแหล่งน้ำมันที่ไม่อยู่ในวิสัย (เช่น) บริษัทน้ำมันที่ดำเนินการอยู่ในประเทศเวเนซุเอลา เริ่มมีสถานการณ์ที่ลำบากขึ้น เพราะเริ่มมีการยึดทรัพยากรนั้นเป็นของชาติ ประเทศเหล่านี้ปัจจุบันไม่เต็มใจ ที่จะให้คนอื่นใช้น้ำมันของตน"[113]
ตามบริษัทให้คำปรึกษา PFC Energy มีแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในโลกประมาณ 7% เท่านั้น ที่อยู่ในประเทศที่ให้โอกาสกับบริษัทน้ำมัน เช่นเอ็กซอนโมบิล อย่างเต็มที่ส่วนอีก 65% อยู่ในกำมือของบริษัทที่มีรัฐเป็นเจ้าของเช่น Saudi Aramco และส่วนที่เหลืออยู่ในประเทศ เช่น รัสเซียและเวเนซุเอลา ที่บริษัทยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือเข้าถึงได้ยากงานศึกษาของ PFC แสดงว่า ปัจจัยทางการเมืองเป็นตัวจำกัดการเพิ่มผลผลิตในประเทศเม็กซิโก เวเนซุเอลา อิหร่าน อิรัก คูเวต และรัสเซียนอกจากนั้นแล้ว ซาอุดีอาระเบียยังจำกัดการเพิ่มผลผลิต ที่ทำเอง ไม่เหมือนกับประเทศอื่น ๆ[114] เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงประเทศที่ให้ขุดเจาะน้ำมัน บริษัทเอ็กซอนโมบิล จึงไม่ลงทุนหาน้ำมันเท่ากับที่ทำในช่วงปี ค.ศ. 1981[115]
กลุ่มประเทศโอเปก เป็นการร่วมมือกันของประเทศผลิตน้ำมัน 12 ประเทศ รวมทั้งประเทศแอลจีเรีย แองโกลา เอกวาดอร์ อิหร่าน อิรัก คูเวต ลิเบีย ไนจีเรีย กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเวเนซุเอลา มีจุดประสงค์เพื่อควบคุมอุปทานของน้ำมันอิทธิพลของโอเปกได้เพิ่มมากขึ้นเมื่อประเทศต่าง ๆ ยึดน้ำมันเป็นทรัพยากรของชาติ ลดทอนอิทธิพลของบริษัทน้ำมัน 7 บริษัทที่เคยควบคุมอุปทานของน้ำมันมากถึง 85% ของโลก แล้วตั้งบริษัทประจำชาติของตนเองโอเปกพยายามกดดันราคา โดยจำกัดการผลิตโดยกำหนดโควตาการผลิต ให้แก่ประเทศสมาชิกดังนั้น สมาชิกทั้ง 12 ประเทศได้ตกลงที่จะรักษาราคาน้ำมันให้สูง โดยผลิตน้อยกว่าที่ปกติจะผลิตแต่ว่า เพราะไม่มีวิธีตรวจสอบว่า สมาชิกผลิตตามโควตาหรือไม่ ดังนั้น แต่ละประเทศล้วนแต่มีแรงจูงใจ ที่จะโกงโควตาของตน[116]
สหรัฐขายอาวุธและช่วยปกป้องระบอบการปกครองของประเทศซาอุดีอาระเบีย ก็เพื่อรักษาการส่งต่อน้ำมัน และเพื่อให้ได้นโยบายที่เป็นใจจากโอเปก นักสังคมศาสตร์ชาวอเมริกันผู้ต่อต้านสงครามอิรักท่านหนึ่งได้กล่าวว่า จุดประสงค์ของสงครามอิรักครั้งที่สองก็คือ เพื่อทำลายอำนาจของประเทศกลุ่มโอเปก และเพื่อเปลี่ยนการควบคุมน้ำมันไปให้แก่บริษัทชาวตะวันตก[117]
ส่วนนักเขียนผู้เป็นคนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ผู้หนึ่งกล่าวว่า โอเปกได้ฝึกลูกค้าให้เชื่อว่า น้ำมันมีจำกัดกว่าความเป็นจริงแล้วยกการเตือนภัยที่ไม่จริง และการร่วมหัวกันในอดีต เป็นหลักฐาน[64] และเขาก็เชื่อด้วยว่า นักวิเคราะห์เรื่องจุดผลิตน้ำมันสูงสุด ร่วมหัวกับโอเปกและบริษัทน้ำมัน เพื่อสร้าง "เรื่องกุที่ตื่นเต้นเกี่ยวกับจุดผลิตน้ำมัน" เพื่อโก่งราคาน้ำมันและผลกำไรแต่ว่า ต่อจากนั้น ผู้ก่อตั้งองค์กร ASPO ก็โต้แย้งคำเหล่านั้น หลังจากการอภิปรายผ่านโทรทัศน์ผ่านสายเคเบิล[118]
เมนูนำทาง
จุดผลิตน้ำมันสูงสุด อุปทานใกล้เคียง
จุดผลิตน้ำมันสูงสุด จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก จุดผ่านแดนถาวรระนอง จุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม จุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด จุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก จุดผ่านแดนถาวรบ้านเขาดิน จุดผ่านแดนถาวรเชียงของ จุดผ่านแดนถาวรบ้านริมเมยแหล่งที่มา
WikiPedia: จุดผลิตน้ำมันสูงสุด ftp://eia.doe.gov/pub/oil_gas/natural_gas/feature_... http://www.cis.org.au/media-information/opinion-pi... http://www.energy.gov.ab.ca/OilSands/pdfs/RPT_Chop... http://www.capp.ca/canadaIndustry/oil/Pages/defaul... http://www.macleans.ca/business/economy/article.js... http://www.mjtimes.sk.ca/Canada---World/Business/2... http://knowledge.allianz.com/en/globalissues/safet... http://www.ameinfo.com/90848.html http://www.arabianbusiness.com/index.php?option=co... http://aspo-usa.com/index.php?option=com_content&t...