ความเปลี่ยนแปลงในระหว่างวัยเด็กและวัยรุ่น ของ ทฤษฎีความผูกพัน

แบบจำลองใช้งานภายในที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างความผูกพัน จะพัฒนาขึ้นในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่นโดยจะสัมพันธ์กับภาวะจิตใจที่พัฒนาขึ้นตามความผูกพันโดยทั่วไป และแสดงว่าความผูกพันจะทำงานเช่นไรภายในปฏิสัมพันธ์ของความสัมพันธ์โดยอาศัยประสบการณ์ในวัยเด็กและวัยรุ่นการสร้างแบบจำลองภายในพิจารณาว่า นำไปสู่ความผูกพันที่เสถียรกว่าในบุคคลที่ได้พัฒนาแบบจำลองเช่นนี้ เทียบกับบุคคลที่อาศัยความรู้สึกในใจเพียงอย่างเดียวเมื่อสร้างความผูกพันใหม่ ๆอายุ พัฒนาการทางการรู้คิด และประสบการณ์ทางสังคมจะเพิ่มการพัฒนาและความซับซ้อนของแบบจำลองภายในโดยพฤติกรรมความผูกพันจะลดลักษณะบางอย่างที่ปรากฏในวัยทารก-เด็ก แล้วเพิ่มลักษณะอื่น ๆ ตามอายุเช่น วัยก่อนอนุบาลจะมีการเจรจาและต่อรอง[81]ยกตัวอย่างเช่น เด็ก 4 ขวบจะไม่ทุกข์เพราะความพรากถ้าเด็กและคนดูแลได้เจรจาแผนร่วมกันในการจากกันแล้วมาพบกันอีก[82]

เพื่อนกลายเป็นเรื่องสำคัญในช่วงวัยเด็กตอนกลางและมีอิทธิพลที่ไม่เหมือนกับของพ่อแม่

โดยอุดมคติแล้ว ทักษะทางสังคมเหล่านี้จะรวมเข้ากับแบบจำลองภายใน แล้วสามารถใช้กับเด็กอื่น ๆ และต่อไปกับเพื่อนเมื่อเป็นผู้ใหญ่เมื่อเด็กเข้าโรงเรียนเมื่ออายุประมาณ 6 ขวบ โดยมากจะเริ่มมีความสัมพันธ์แบบเป็นหุ้นส่วนที่ปรับเป้าหมายได้กับพ่อแม่ ซึ่งหุ้นส่วนแต่ละคนจะยอมประนีประนอมเปลี่ยนเป้าหมายเพื่อรักษาความพอใจของทั้งสองฝ่าย[81]และโดยวัยเด็กช่วงกลาง จุดหมายของระบบพฤติกรรมผูกพัน จะเปลี่ยนจากการต้องอยู่ใกล้ ๆ ไปเป็นการเข้าถึงคนที่ผูกพันได้โดยทั่วไปแล้ว เด็กจะพอใจกับการจากกันที่นานกว่า ถ้าสามารถติดต่อกันได้ แม้กระทั่งมาเจอกันอีกถ้าจำเป็นพฤติกรรมผูกพันแบบเกาะติดและตามจะลดลงและจะพึ่งตนเองได้มากขึ้นโดยวัยเด็กช่วงกลาง (อายุ 7-11 ขวบ) อาจจะเปลี่ยนเป็นการควบคุมเสาหลักร่วมกัน ที่คนดูแลและเด็กต่อรองวิธีการคุยกันและการควบคุมดูแล เมื่อเด็กพัฒนามีอิสระมากขึ้น[81]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ทฤษฎีความผูกพัน http://web.ebscohost.com/ehost/detail?vid=3&hid=7&... http://www.psychology.sunysb.edu/attachment/index.... http://www.psychology.sunysb.edu/attachment/online... http://www.psychology.sunysb.edu/attachment/online... http://www.garfield.library.upenn.edu/classics1986... //lccn.loc.gov/00266879 //lccn.loc.gov/2005019272 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2690512 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3041266 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3861901