กำเนิดในโลกตะวันตก ของ ประชาน

Cognition เป็นคำที่กลับไปถึงคริสต์ทศวรรษที่ 15 โดยหมายถึง "ความคิดและความสำนึก" (thinking and awareness)[10]แม้จะเป็นเรื่องที่ได้ความสนใจตั้งแต่ก่อน 1,800 ปีก่อนเริ่มตั้งแต่อาริสโตเติล ผู้สนใจในการทำงานของจิตใจและอิทธิพลของมันต่อประสบการณ์ชีวิตอาริสโตเติลได้เล็งความสนใจไปในด้านความจำ การรับรู้ (perception) และจินตภาพโดยเน้นความสำคัญว่า การศึกษาจะต้องมีมูลฐานจากหลักฐานเชิงประสบการณ์ คือข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากสังเกตการณ์และการทดลองที่ทำอย่างรอบคอบ[11]

หลังจากนั้นเป็นศตวรรษ ๆ เมื่อจิตวิทยาได้กลายเป็นสาขาที่กำลังเจริญรุ่งเรืองในยุโรปและอเมริกานักวิทยาศาสตร์ชาวยุโรปหลายท่านรวมทั้งวิลเฮล์ม วันด์ท, เฮอร์แมนน์ เอ็บบิงก์เฮาส์, แมรี่ คอลกินส์, และวิลเลียม เจมส์ จึงได้ฝากผลงานไว้ในสาขานี้

บิดาของจิตวิทยาชาวเยอรมัน ศ. ดร. วิลเฮล์ม วันด์ท ได้เน้นวิธีการที่เขาเรียกว่า การพินิจภายใน (introspection) ซึ่งหมายถึงการตรวจสอบความรู้สึกของตัวเองในบุคคลที่บุคคลจะต้องระมัดระวังอธิบายความรู้สึกของตัวเองอย่างเป็นกลาง ๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้สมควรพิจารณาว่าเป็นข้อมูลวิทยาศาสตร์[12][13]แม้ผลงานของ ดร. วันด์ทจะไม่ใช่น้อยแต่นักจิตวิทยาปัจจุบันก็มักเห็นว่าวิธีการนี้เป็นอัตวิสัยมาก และดังนั้น จึงเลือกใช้วิธีการทดลองที่เป็นปรวิสัยมากกว่าเพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับกระบวนการทางประชานของมนุษย์

ส่วนนักจิตวิทยาชาวเยอรมัน ดร. เฮอร์แมนน์ เอ็บบิงก์เฮาส์ ได้ทำการศึกษาโดยหลักในเรื่องหน้าที่และความจุของความจำดร. เอ็บบิงก์เฮาส์ได้พัฒนาการทดลองของตัวเอง คือสร้างคำมีพยางค์กว่า 2,000 พยางค์ ซึ่งไม่ใช่คำที่ใช้จริง ๆ แล้วตรวจสอบสมรรถภาพของตัวเองในการเรียนรู้คำหล่านั้นเขาตั้งใจเลือกคำที่ไม่ใช่คำจริง ๆ เพื่อควบคุมอิทธิพลทางประสบการณ์ที่มีอยู่แล้วว่า คำหนึ่ง ๆ หมายความว่าอะไร ซึ่งทำให้ระลึกถึงคำได้ง่ายกว่า[12][14]เขาตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับตัวแปรต่าง ๆ ที่มีผลต่อสมรรถภาพในการเรียนรู้และระลึกถึงคำที่เขาสร้างขึ้นตัวแปรอย่างหนึ่งที่สรุปก็คือ ระยะเวลาระหว่างการให้ดูรายการคำกับการระลึกถึงคำนั้นเขาเป็นบุคคลแรกที่บันทึกและวาด "เส้นโค้งการเรียนรู้" และ "เส้นโค้งการลืม"[15]งานของเขามีอิทธิพลอย่างสูงต่อการศึกษาเรื่องตำแหน่งในลำดับและผลของมันต่อความจำ ดังที่จะกล่าวต่อไป

นักจิตวิทยาทรงอิทธิพลชาวอเมริกัน ดร. แมรี่ คอลกินส์ เล็งความสนใจไปที่ความจุความจำของมนุษย์ทฤษฎีสามัญอย่างหนึ่งที่เรียกว่าปรากฏการณ์ความใหม่ (recency effect) สามารถสาวไปยังงานศึกษาที่เธอได้ทำ[16]เป็นปรากฏการณ์ที่บุคคลสามารถระลึกถึงรายการสุดท้าย ๆ ที่ให้ดูตามลำดับได้อย่างแม่นยำ (ดังจะกล่าวต่อไป)ทฤษฎีของเธอสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับข้อสรุปและการทดลองเกี่ยวกับความจำของ ดร. เอ็บบิงก์เฮาส์[17]

ส่วนนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ศ. ดร. นพ. วิลเลียม เจมส์ เป็นบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งตามประวัติประชานศาสตร์เขาไม่ชอบใจวิธีการพินิจภายในของ ดร. วันด์ท และการใช้สิ่งเร้าเป็นคำที่ไม่ใช่คำของ ดร. เอ็บบิงก์เฮาส์ เขาจึงได้เล็งความสนใจไปที่ประสบการณ์เรียนรู้ในชีวิตประจำวันของมนุษย์และความสำคัญของมันในการศึกษาเรื่องประชานผลงานหลักของเขาก็คือตำรา หลักจิตวิทยา (Principles of Psychology) ที่ตรวจสอบเรื่องเบื้องต้นหลายด้านของประชานศาสตร์รวมทั้งการรับรู้ (perception) ความจำ การหาเหตุผล และการใส่ใจ เป็นต้น[17]

เมื่อใจสร้างนัยทั่วไปเช่นแนวคิดเรื่อง "ต้นไม้" มันจะดึงความคล้ายคลึงกันมาจากตัวอย่างมากมาย ทำเป็นแนวคิดง่าย ๆ ที่ช่วยให้สามารถคิดในระดับที่สูงขึ้นคือเป็นนามธรรมได้

แหล่งที่มา

WikiPedia: ประชาน http://psychology.about.com/od/profilesofmajorthin... http://www.elsevier.com/wps/find/journaldescriptio... http://web.mac.com/kstanovich/iWeb/Site/YUP_Review... http://www.oxforddictionaries.com/definition/engli... http://www.physorg.com/news194023346.html http://www.scientificamerican.com/article.cfm?id=t... http://news.softpedia.com/news/The-Limits-of-Human... //www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/10540805 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/11436742 http://www.cognitie.nl/