เมนูนำทาง
ประวัติศาสตร์มาเลเซีย รัฐยะโฮร์และอิทธิพลของชาวยุโรปการเสียเมืองมะละกาให้แก่โปรตุเกสทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองและเปิดโอกาสให้ชาวยุโรปเข้ามามีอำนาจและอิทธิพลในภูมิภาค หลังจากที่สุลต่านมาฮ์มุดชาฮ์เสียชีวิตที่เมืองกัมปาร์ใน ค.ศ. 1528 บุตรชายคนที่สองของสุลต่านมาฮ์มุดชาฮ์คือมูซัฟฟาร์ (Muzaffar) เดินทางไปตั้งตนเป็นสุลต่านขึ้นที่เปรัก เป็นสุลต่านคนแรกของรัฐสุลต่านเปรัก (Perak sultanate) และบุตรชายคนที่สามเดินทางไปตั้งตนเป็นสุลต่านขึ้นที่เมืองยะโฮร์ลามา (Johor Lama) เป็นสุลต่านอลาอุดดินรีอายะต์ชาฮ์ที่ 2 (Alauddin Riayat Shah II) สุลต่านคนแรกของรัฐสุลต่านยะโฮร์ (Johor sultanate) รัฐสุลต่านยะโฮร์สามารถดำรงรักษาดินแดนส่วนใหญ่ของรัฐมะละกาเอาไว้ได้ทั้งสองฝั่งของช่องแคบมะละกา และสืบทอดความเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและการปกครองประเพณีวัฒนธรรมมาจากมะละกา อย่างไรก็ตามสมัยของรัฐสุลต่านยะโฮร์เป็นสมัยที่ขาดเสถียรภาพทางการเมืองจากภายคุกคามต่างชาติทำให้สุลต่านแห่งยะโฮร์ย้ายเมืองหลวงเป็นจำนวนมากกว่าสิบแห่งซึ่งแต่ละแห่งเป็นศูนย์กลางการปกครองของยะโฮร์เพียงชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อชาวมลายูเสื่อมอำนาจลงในภูมิภาคทำให้รัฐสุลต่านอาเจะฮ์ (Aceh sultanate) ของชนชาติอาเจะฮ์ซึ่งอยู่ตอนเหนือของเกาะสุมาตราเรืองอำนาจขึ้น ใน ค.ศ. 1564 สุลต่านอลาอุดดินอัลกาฮาร์ (Alauddin al-Qahar) แห่งอาเจะฮ์ยกทัพเข้าบุกยึดเผาทำลายเมืองยะโฮร์ลามาและจับตัวสุลต่านอลาอุดดินรีอายะต์ชาฮ์แห่งยะโฮร์ไปประหารชีวิตที่เมืองอาเจะฮ์ ในสมัยต่อมาของสุลต่านอาลียัลลาอับดุลยาลีลชาฮ์ (Ali Jalla Abdul Jalil Shah) ฟืนฟูเมืองยะโฮร์ลามาขึ้นอีกครั้ง แต่ทัพเรือโปรตุเกสบุกเผาทำลายเมืองยะโฮร์ลามาอีกใน ค.ศ. 1587 สุลต่านอาลียัลลาฯจึงย้ายเมืองหลวงไปยังบาตูเซอวาร์ (Batu Sewar) สุลต่านอาลียัลลาฯมีบุตรชายสองคน คนโตขึ้นสืบทอดตำแหน่งสุลต่านชื่อว่าสุลต่านอัลลาอุดดินรีอายะต์ชาฮ์ที่ 3 (Alauddin Riayat Shah III) แห่งยะโฮร์ บุตรชายคนรองชื่อว่ารายาบงซู (Raja Bongsu) ในสมัยของสุลต่านอัลลาอุดดินฯที่สาม อำนาจการปกครองที่แท้จริงอยู่ที่รายาบงซูผู้เป็นน้องชาย รายาบงซูสร้างความสัมพันธกับฮอลันดาโดยการส่งคณะทูตไปยังประเทศเนเธอร์แลนด์ใน ค.ศ. 1603 และทำสนธิสัญญาทางการค้าและการทหารกับนายคอร์เนลิส มาเตเลียฟ เดอ ยอร์จ (Cornelis Matelief de Jorge) ข้าหลวงใหญ่ของฮอลันดาในภูมิภาคอินเดียตะวันออกใน ค.ศ. 1606 โดยที่ยะโฮร์ให้ความช่วยเหลือทางทหารและเป็นที่พักพิงแก่ทัพเรือฮอลันดาในการต่อสู้กับโปรตุเกส เพื่อเป็นการคานอำนาจกับกับโปรตุเกสและอาเจะฮ์ในภูมิภาค
ในสมัยของสุลต่านอิซกันดาร์มุดา (Iskandar Muda) แห่งรัฐอาเจะฮ์ อาเจะฮ์แผ่ขยายอิทธิพลเข้ามายังแหลมมลายูสงครามระหว่างรัฐยะโฮร์ รัฐอาเจะฮ์ และโปรตุเกสที่เมืองมะละกา เรียกว่า สงครามสามฝ่าย (Triangular War) แม้ว่ารัฐยะโฮร์จะได้รับการสนับสนุนจากฮอลันดาแต่ก็ต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากรัฐอาเจะฮ์อย่างหนัก ใน ค.ศ. 1613 สุลต่านอิซกันดาร์มุดา (Iskandar Muda) แห่งอาเจะฮ์ยกทัพเข้ายึดเมืองบาตูเซอวาร์จับตัวรายาบงซูกลับไปและทำให้สุลต่านอลาอุดดินฯที่สามแห่งยะโฮร์ต้องหลบหนีเสียชีวิต ใน ค.ศ. 1615 สุลต่านอิซกันดาร์มุดาแห่งอาเจะฮ์นำตัวรายาบงซูกลับมาตั้งขึ้นเป็นสุลต่านอับดุลเลาะฮ์มะอายะต์ชาฮ์ (Abdullah Ma’ayat Shah) แห่งยะโฮร์ และปีเดียวกันสุลต่านอิซกันดาร์มุดายกทัพเข้ายึดรัฐปะหังปลดสุลต่านวงศ์เดิมออกจากตำแหน่งและตั้งรายาบูยัง (Raja Bujang) บุตรชายของสุลต่านอลาอุดดินฯที่สามขึ้นเป็นสุลต่านแห่งปะหังแทน ใน ค.ศ. 1619 สุลต่านอิซกันดาร์มุดาบุกยึดเมืองไทรบุรี ใน ค.ศ. 1623 สุลต่านอับดุลเลาะฮ์มะอายะต์ฯเสียชีวิต รายาบูยังแห่งปะหังจึงขึ้นเป็นสุลต่านอับดุลยาลีลชาฮ์ (Abdul Jalil Shah) แห่งยะโฮร์ต่อมา รัฐยะโฮร์และปะหังจึงผนวกรวมเข้าด้วยกันเป็นรัฐเดียว สุลต่านอับดุลยาลีลชาฮ์ตั้งเมืองหลวงที่เกาะตัมเบอลัน (Tambelan Islands) ซึ่งอยู่ใกล้กับเกาะบอร์เนียวแห่งอันห่างไกลเพื่อหลีกเลี่ยงอำนาจของรัฐอะเจะฮ์ ต่อมาเมื่อฮอลันดาสามารถปราบปรามรัฐอะเจะฮ์ได้ อิทธิพลของรัฐอาเจะฮ์ในภูมิภาคมลายูจึงเสื่อมลง
ทัพเรือของโปรตุเกสและทัพเรือฮอลันดาประลองยุทธกันใน ค.ศ. 1641 สุลต่านอับดุลยาลีลชาฮ์ส่งแม่ทัพเรือลักษมณาตุนอับดุลยามีล (Tun Abdul Jamil) เข้านำทัพเรือมลายูร่วมกับทัพเรือของฮอลันดาเข้าบุกยึดเมืองมะละกามาจากโปรตุเกสได้สำเร็จทำให้อิทธิพลของโปรตุเกสสิ้นสุดลง ฝ่ายยะโฮร์ยินยอมให้ฮอลันดาเข้าปกครองเมืองมะละกาต่อจากโปรตุเกสภายใต้เงื่อนไขว่าฮอลันดาจะได้ไม่แสวงหาขยายดินแดนเพิ่มเติมในแหลมมลายู เมื่ออำนาจของอาเจะฮ์และโปรตุเกสสิ้นไปแล้วสุลต่านอับดุลยาลีลชาฮ์จึงย้ายเมืองหลวงกลับมายังเมืองบาตูเซอวาร์ ขณะนั้นบนเกาะสุมาตรารัฐสุลต่านยัมบี (Jambi Sultanate) กำลังเรืองอำนาจขึ้น สุลต่านอับดุลยาลีลฯต้องการสานสัมพันธ์กับรัฐยัมบีจึงให้คำสัญญาว่าให้ยัมตวนมุดา (Yamtuan Muda) หรือทายาทสมรสกับบุตรสาวของสุลต่านแห่งยัมบี แต่ต่อมาสุลต่านอับดุลยาลีลฯผิดคำสัญญาให้ยัมตวนมุดาสมรสกับบุตรสาวของแม่ทัพเรือตุนอับดุลยามีลแทน นำไปสู่งสงครามยะโฮร์-ยัมบี (Johor-Jambi War) ใน ค.ศ. 1673 ทัพเรือยัมบีเข้าบุกยึดทำลายเมืองบาตูเซอวาร์สุลต่านอับดุลยามีลฯหลบหนีไปเมืองปะหังและเสียชีวิต ยัมตวนมุดาจึงขึ้นเป็นสุลต่านอิบราฮิมชาฮ์ (Ibrahim Shah) สุลต่านอิบราฮิมชาฮ์ว่าจ้างทหารรับจ้างชาวบูกิส (Bugis) มาจากทางตอนใต้ของเกาะสุลาเวสีมาเพื่อสู้รบกับทัพของรัฐยัมบีจนได้รับชัยชนะใน ค.ศ. 1679 หลังจากสิ้นสุดสงครามยะโฮร์-ยัมบีแล้วบรรดาทหารรับจ้าวชาวบูกิสไม่กลับถิ่นฐานของพวกตนแต่มาตั้งรกรากอยู่ที่แคว้นเซอลาโงร์
สุลต่านอิบราฮิมชาฮ์ถูกวางยาพิษเสียชีวิตใน ค.ศ. 1685 บุตรชายขึ้นเป็นสุลต่านต่อมาชื่อว่าสุลต่านมาฮ์มุดที่สอง (Mahmud II) สุลต่านมาฮ์มุดมีพฤติกรรมวิปลาสและโหดเหี้ยม ขุนนางชื่อว่าเมอกะต์ศรีราม (Megat Sri Rama) จึงทำการลอบสังหารสุลต่านมาฮ์มุดใน ค.ศ. 1699 บรรดาขุนนางยกเสนาบดีเบินดาฮาราตุนอับดุลยาลีล (Tun Abdul Jalil) ขึ้นเป็นสุลต่านอับดุลยาลิลชาฮ์ (Abdul Jalil Shah) ทำให้วงศ์มะละกา (Melaka dynasty) ซึ่งปกครองรัฐยะโฮร์มาเป็นเวลาประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบปีสิ้นสุดลง วงศ์เบินดาฮารา (Bendahara dynasty) ขึ้นครองรัฐสุลต่านยะโฮร์ต่อมา อย่างไรก็ตามมีชายผู้หนึ่งจากเมืองซีอะก์ (Siak) บนเกาะสุมาตราชื่อว่ารายาเกอซิล (Raja Kecil) อ้างตนเป็นบุตรชายของสุลต่านมาฮ์มุดซึ่งถูกลอบสังหารไปนั้น รายาเกอซิลได้รับการสนับสนุนจากชาวมินังกาเบา (Minangkabau) ซึ่งอพยพจากเกาะสุมาตรามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ดินแดนบริเวณรัฐเนอเกอรีเซิมบีลันในปัจจุบัน รายาเกอซิลนำทัพมินังกาเบาเข้าชิงตำแหน่งสุลต่านจากสุลต่านอับดุลยาลีลฯใน ค.ศ. 1718 ปลดสุลต่านอับดุลยาลีลฯออกจากตำแหน่ง อดีตสุลต่านอับดุลยาลีลฯหลบหนีไปยังเมืองปะหังเพื่อสะสมกำลังทหาร สุลต่านรายาเกอซิลส่งคนไปลอบสังหารอดตสุลต่านอับดุลยาลีลฯใน ค.ศ. 1721 และจับตัวบุตรชายของอับดุลยาลีลฯคือสุลัยมานกลับมา ปีต่อมา ค.ศ. 1712 ดาเอ็งปารานี (Daeng Parani) ผู้นำของชนชาติบูกิสยกทัพของชาวบูกิสเข้ายึดอำนาจปลดสุลต่านรายาเกอซิลออกจากตำแหน่งสุลต่าน และยกตำแหน่งสุลต่านให้แก่สุลัยมาน เป็นสุลต่านสุลัยมานบัดรุลอลัมชาฮ์ (Suleiman Badrul Alam Shah) วงศ์เบินดาฮาราจึงกลับมาปกครองยะโฮร์อีกครั้ง ฝ่ายรายาเกอซิลหลบหนีกลับไปยังเมืองซีอะก์และตั้งตนขึ้นเป็นสุลต่านที่เมืองซีอะก์ ก่อตั้งรัฐสุลต่านซีอะก์ศรีอินทรปุระ (Sultanate of Siak Sri Indrapura) แยกดินแดนบนเกาะสุมาตราทั้งหมดของรัฐยะโฮร์ออกไปเป็นอิสระ
เนื่องจากชาวบูกิสซึ่งมีผู้นำคือดาเอ็งปารานีมีบทบาทช่วยเหลือสุลต่านสุลัยมานฯในการยึดอำนาจจากรายาเกอซิล สุลต่านสุลัยมานฯจึงมอบรางวัลและอำนาจให้แก่ชาวบูกิสอย่างมาก สุลต่านสุลัยมานฯแต่งตั้งให้น้องชายของดาเอ็งปารานีเชื่อว่าดาเอ็งเมอเรอวะฮ์ (Daeng Merewah) ให้ดำรงตำแหน่งเป็นยัมตวนมุดาหรือผู้สำเร็จราชการแทนสุลต่าน ทำให้ชาวบูกิสเรืองอำนาจขึ้นมีบทบาทในการปกครองและการเมืองของรัฐยะโฮร์ ในสมัยของวงศ์เบินดาฮาราสุลต่านแห่งยะโฮร์เป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น อำนาจการปกครองที่แท้จริงอยู่ที่ยัมตวนมุดาซึ่งเป็นตำแหน่งที่ครอบครองโดยชาวบูกิสและสืบตำแหน่งทางสายเลือด ใน ค.ศ. 1743 ยัมตวนมุดาดาเอ็งเชอละก์ (Daeng Chelak) ให้บุตรชายของตนคือรายาลูมู (Raja Lumu) เข้าปกครองแคว้นเซอลาโงร์ซึ่งมีชาวบูกิสอาศัยอยู่จำนวนมาก ต่อมารายาลูมูเข้าช่วยเหลือสุลต่านแห่งเปรักในการชิงอำนาจภายใน สุลต่านแห่งเปรักจึงตั้งให้รายาลูมูเป็นสุลต่านซาเลอฮุดดิน (Sallehuddin) แห่งเซอลาโงร์ เป็นปฐมสุลต่านแห่งรัฐสุลต่านเซอลาโงร์ (Sultanate of Selangor) สุลต่านมาฮ์มุดชาฮ์ที่ 3 (Mahmud Shah III) แห่งยะโฮร์พยายามลดอำนาจของบูกิสด้วยความช่วยเหลือของฮอลันดาโดยการตกลงสัญญาทางการทหารกับฮอลันดาใน ค.ศ. 1784 เมื่อได้รับการสนับสนุนจากฮอลันดาสุลต่านมาฮ์มุดชาฮ์จึงประกาศปลดชาวบูกิสออกจากตำแหน่งยัมตวนมุดาและขับชาวบูกิสออกจากรัฐยะโฮร์ อิทธิพลของชาวบูกิสที่ปกครองยะโฮร์เป็นเวลานานทำให้อำนาจของสุลต่านเสื่อมลงและขุนนางท้องถิ่นต่างแยกตัวเป็นอิสระ เสนาบดีเบินดาฮารามีอำนาจขึ้นที่เมืองปะหัง ในขณะที่ขุนนางตำมะหงงปกครองสิงคโปร์
หลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองใน ค.ศ. 1767 ทำให้รัฐสุลต่านมลายูทางตอนเหนือได้แก่ไทรบุรี กลันตัน และตรังกานูเป็นอิสระจากอิทธิพลของสยามเป็นการชั่วคราว ใน ค.ศ. 1786 นายฟรานซิส ไลต์ (Francis Light) ชาวอังกฤษเข้าพบสุลต่านอับดุลเลาะฮ์มุกการัมชาฮ์ (Abdullah Mukkaram Shah) แห่งไทรบุรี เพื่อเจรจาขอดินแดนเกาะปีนังหรือเกาะหมากให้แก่อังกฤษ โดยที่นายฟรานซิสไลต์ให้การตอบแทนแก่สุลต่านแห่งไทรบุรีด้วยสัญญาทางทหารว่าหากไทรบุรีถูกทัพสยามเข้ารุกรานอังกฤษจะให้การช่วยเหลือ สุลต่านอับดุลเลาะฮ์มุกการัมฯแห่งไทรบุรีจึงยินยอมยกเกาะปีนังให้แก่อังกฤษ นายฟรานซิสไลต์ตั้งชื่อเกาะปีนังว่า "เกาะเจ้าชายแห่งเวลส์" (Prince of Wales) และตั้งเมืองขึ้นใหม่บนเกาะเจ้าชายแห่งเวลส์ชื่อว่าเมืองจอร์จทาวน์ (Georgetown) ตั้งชื่อตามพระนามของพระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักรซึ่งในขณะนั้นดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ แต่ในปีเดียวกันนั้นเองกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงยกทัพเข้ายึดเมืองปัตตานี[6] ทำให้สุลต่านอับดุลเลาะฮ์มุกการัมฯเกรงกลัวอิทธิพลของสยามจึงร้องขอความคุ้มครองทางทหารจากอังกฤษ แต่เนื่องจากนายฟรานซิสไลต์กระทำเจรจากับรัฐไทรบุรีการโดยพลการและไม่ได้ขอความเห็นชอบจากบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (British East India Company) ที่เมืองกัลกัตตา ทำให้นายฟรานซิสไม่สามารถมอบกำลังทหารให้แก่สุลต่านไทรบุรีได้ สุลต่านอับดุลเลาะฮ์มุกการัมฯมีความโกรธเคืองว่าอังกฤษไม่ทำตามสัญญาจึงยกทัพเข้ายึดเกาะปีนังคืนแต่พ่ายแพ้แก่กองเรือของอังกฤษ นำไปสู่การเจรจาสงบศึกโดยไทรบุรีจำยอมยกดินแดนเพิ่มเติมบนแผ่นดินไทรบุรีเรียกว่าเซอเบอรังเปไร (Seberang Perai) ให้แก่อังกฤษ ซึ่งฟรานซิสไลต์ตั้งชื่อดินแดนใหม่นี้ว่าโพรวินซ์เวลซ์เลย์ (Province Wellesley) หรือจังหวัดเวลซ์เลย์ เมื่อไม่ได้รับความคุ้มครองจากอังกฤษรัฐไทรบุรีจึงกลับมาอยู่ในอิทธิพลของสยามอีกครั้งในสมัยรัตนโกสินทร์เฉกเช่นเดียวกับกลันตันและตรังกานู เกาะเจ้าชายแห่งเวลส์และโพรวินซ์เวลซ์เลย์เป็นดินแดนอาณานิคมแห่งแรกของอังกฤษในแหลมมลายูและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ใน ค.ศ. 1820 สุลต่านอาหมัดทัจอุดดินฮาลิมชาฮ์ที่ 2 (Ahmad Tajuddin Alim Shah II) แห่งไทรบุรี หรือเอกสารไทยเรียกว่า "ตวนกูปะแงหรัน" (Tunku Pangeran) หยุดส่งบุหงามาศให้แก่กรุงเทพและแข็งเมืองเป็นอิสระ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงมีพระราชโอการให้เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ยกทัพเรือจากเมืองท่าสงขลาและสตูล[7]เข้าบุกโจมตียึดเมืองอาโลร์เซอตาร์ (Alor Setar) เมืองหลวงของไทรบุรีได้สำเร็จใน ค.ศ. 1821 สุลต่านอาหมัดทัจอุดดินฯหลบหนีไปเกาะปีนังอยู่กับอังกฤษ รัฐไทรบุรีถูกผนวกรวมเข้ากับนครศรีธรรมราชปกครองโดยตรงทำให้ไทรบุรีไม่มีสุลต่านปกครองเป็นเวลาประมาณยี่สิบปี พระยาอภัยธิเบศร์ (แสง) บุตรชายของเจ้าพระยานครฯเป็นพระยาไทรบุรี จนกระทั่งเกิดกบฏหวันหมาดหลีใน ค.ศ. 1830 ทัพเรือสลัดมลายูสามารถเข้ายึดเมืองอาโลร์เซอตาร์คืนจากสยามได้ พระยาอภัยธิเบศร์ต้องถอยออกจากเมือง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระราชโองการโปรดฯให้พระยาราชพิพัฒน์รัตนราชโกษา (ทัต บุนนาค) ยกทัพเข้าสมทบกับทัพของเจ้าพระยานครฯในการปราบกบฏไทรบุรี ทัพสยามสามารถเข้ายึดเมืองอาโลร์เซอตาร์และปราบทัพเรือสลัดได้สำเร็จ ฝ่ายสยามจึงจัดระเบียบการปกครองไทรบุรีเสียใหม่ใน ค.ศ. 1843 โดยการแบ่งไทรบุรีออกเป็นสี่ส่วนได้แก่ กูบังปาซู สตูล ปะลิส และไทรบุรีเดิม
สุลต่านมาฮ์มุดชาฮ์ที่สามแห่งยะโฮร์มีบุตรชายสองคน บุตรชายคนโตชื่อว่าเต็งกูฮุสเซ็น (Tengku Hussein) และบุตรชายคนรองชื่อว่าอับดุลราะฮ์มาน (Abdul Rahman) ใน ค.ศ. 1812 ขณะที่เต็งกูฮุสเซ็นกำลังพำนักอยู่ที่เมืองปะหังนั้น สุลต่านมาฮ์มุดชาฮ์เสียชีวิต ตามประเพณีของมลายูผู้ดำรงตำแหน่งสุลต่านคนต่อไปต้องเข้าร่วมงานศพของสุลต่านคนก่อนหน้าจึงจะสามารถสืบทอดตำแหน่งสุลต่านต่อไปได้ ยัมตวนมุดาชาวบูกิสชื่อว่ารายายาอะฟาร์ (Raja Ja’afar) ฉวยโอกาสนี้ปิดบังข่าวการเสียชีวิตของสุลต่านมาฮ์มุดชาฮ์ไม่ให้เต็งกูฮุสเซ็นทราบ เต็งกูฮุสเซ็นจึงไม่ได้เข้าร่วมงานศพของสุลต่านมาฮ์มุดชาฮ์ รายายาอะฟาร์จึงยกตำแหน่งสุลต่านให้แก่อับดุลราะฮ์มานบุตรชายคนรองของสุลต่านมาฮ์มุดชาฮ์ขึ้นเป็นสุลต่านอับดุลราะฮ์มันมูอัซซัมชาฮ์ (Abdul Rahman Muazzam Shah) เพื่อเป็นหุ่นเชิดของตนในการที่จะฟื้นฟูอำนาจของชาวบูกิสขึ้นมาอีกครั้ง ฝ่ายเต็งกูฮุสเซ็นทราบข่าวการยึดอำนาจจึงพำนักอยู่ที่เมืองปะหังต่อไปเพื่อหลีกเลี่ยงภัยทางการเมือง นายสแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ (Stamford Ruffles) ชาวอังกฤษมีความเห็นว่าอังกฤษควรจะมีฐานที่มั่นทางการค้าและการทหารในภูมิภาคแหลมมลายู จึงเดินทางมาเข้าพบกับตำมะหงงอับดุลราะฮ์มาน (Abdul Rahman) ซึ่งปกครองเกาะสิงคโปร์ในขณะนั้นและเป็นผู้ให้การสนับสนุนแก่เต็งกูฮุสเซ็น สแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ ยื่นข้อเสนอที่จะสนับสนุนเต็งกูฮุสเซ็นขึ้นเป็นสุลต่าน ตำมะหงงอับดุลราะฮ์มานจึงเดินทางไปเชิญเต็งกูฮุสเซ็นมายังเกาะสิงคโปร์ และสแตมฟอร์ดแรฟเฟิลส์จึงประกาศให้เต็งกูฮุสเซ็นขึ้นเป็นสุลต่านฮุสเซ็นชาฮ์ (Hussein Shah) ที่สิงคโปร์ ซึ่งนายแรฟเฟิลส์ได้รับการตอบแทนด้วยการที่อังกฤษเข้ามาตั้งรกรากอาณานิคมบนเกาะสิงคโปร์
ฝ่ายฮอลันดาไม่พอใจที่อังกฤษเข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในของรัฐยะโฮร์จึงให้การสนับสนุนแก่สุลต่านอับดุลราะฮ์มาน ใน ค.ศ. 1822 ฮอลันดาประกาศให้สุลต่านอับดุลราะฮ์มานเป็นสุลต่านโดยชอบธรรมถูกต้องตามประเพณีที่เกาะลิงกาในทะเล เกิดเป็นรัฐสุลต่านริเอา-ลิงกา (Sultanate of Riau-Lingga) ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างอังกฤษและฮอลันดาในภูมิภาคมลายูนำไปสู่สนธิสัญญาอังกฤษ-ฮอลันดาปี ค.ศ. 1824 (Anglo-Dutch Treaty of 1824) แบ่งเขตอิทธิพลระหว่างอังกฤษและฮอลันดา โดยที่ฮอลันดาสละยกดินแดนทุกส่วนในแหลมลายูรวมทั้งเมืองมะละกาให้แก่อังกฤษ ในขณะที่ฮอลันดายังคงมีอิทธิพลเหนือหมู่เกาะริเอาและเกาะลิงกา สนธิสัญญาฉบับนี้ทำให้รัฐยะโฮร์ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนได้แก่ ส่วนของแหลมลายูซึ่งปกครองโดยสุลต่านฮุสเซ็นชาฮ์ภายใต้อิทธิพลของอังกฤษกลายเป็นดินแดนของประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน และส่วนหมู่เกาะรีเอาและเกาะลิงกาปกครองโดยสุลต่านอับดุลเราะฮ์มานภายใต้อิทธิพลของฮอลันดา กลายเป็นดินแดนของประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน
เมนูนำทาง
ประวัติศาสตร์มาเลเซีย รัฐยะโฮร์และอิทธิพลของชาวยุโรปใกล้เคียง
ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสนาพุทธ ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์จีน ประวัติศาสตร์โลก ประวัติศาสตร์สหรัฐ ประวัติศาสตร์สเปน ประวัติศาสตร์เยอรมนี ประวัติการบินไทยแหล่งที่มา
WikiPedia: ประวัติศาสตร์มาเลเซีย http://www.treasury.go.th/pv_chainat/ewt_news.php?... https://kwekudee-tripdownmemorylane.blogspot.com/2... https://www.silpa-mag.com/history/article_1765 https://themalayadventurer.wordpress.com/2014/05/0... https://en.wikisource.org/wiki/Malay_Annals/Chapte...