พายุโซนร้อนบอละเวน
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุดีเปรสชันเขตร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 30 ธันวาคม 2560 – 4 มกราคม 2561 |
---|
ความรุนแรง | 65 กม./ชม. (40 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 1002 mbar (hPa; 29.59 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: อากาโตน
- วันที่ 30 ธันวาคม 2560 หย่อมความกดอากาศต่ำทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันทางตะวันออกเฉียงเหนือของปาเลา[9]
- วันที่ 1 มกราคม 2561 โดยภาพรวมแล้วระบบเคลื่อนที่ไปทางแนวตะวันตก ต่อมา PAGASA ได้เริ่มออกคำแนะนำและให้ชื่อท้องถิ่นว่า อากาโตน (Agaton)[10] และต่อมาทั้ง JMA และ JTWC ก็ได้ออกคำแนะนำเช่นกัน โดยพายุได้รับรหัสเรียกขานจาก JTWC ว่า 01W[11]
- วันที่ 3 มกราคม ระบบได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน โดย JMA ได้ให้ชื่อกับพายุว่า บอละเวน (Bolaven) ทำให้มันกลายเป็นพายุหมุนเขตร้อนลูกแรกที่ได้รับชื่อของฤดูกาล อย่างไรก็ตาม อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา บอละเวนอ่อนกำลังลงอย่วงรวดเร็ว[12]
- วันที่ 4 มกราคม JMA ยุติการติดตามพายุบอละเวนในขณะที่มันอยู่ทางตะวันออกของเวียดนาม
ผลกระทบของพายุบอละเวน (อากาตอน) อยู่ในระดับปานกลางแต่ไม่ได้มีนัยสำคัญเท่ากับพายุสองลูกก่อนหน้าอย่างไคตั๊กและเทมบิง โดยมีผู้โดยสารต้องติดค้างอยู่ที่ท่าเรือวิซายัสประมาณ 2,000 คน[13] โดยในวันที่ 22 มกราคม มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากพายุจำนวนสามคน ขณะที่พายุสร้างความเสียหายอยู่ที่ 554.7 ล้านเปโซฟิลิปปินส์ (11.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 348 ล้านบาท)[14]
พายุโซนร้อนซันปา
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 8 – 16 กุมภาพันธ์ |
---|
ความรุนแรง | 65 กม./ชม. (40 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 1000 mbar (hPa; 29.53 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: บาชัง
- วันที่ 8 กุมภาพันธ์ หย่อมความกดอากาศต่ำก่อตัวขึ้นทางเหนือของเกาะชุก
- วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ระบบพัฒนาขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อ ซันปา (Sanba) จากกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น จากนั้นไม่นาน ซันปา ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่รับชอบของฟิลิปปินส์และได้รับชื่อ บาชัง (Basyang) จากสำนักงานบริหารบรรยากาศ ธรณีฟิสิกส์ และดาราศาสตร์แห่งฟิลิปปินส์[15]
- วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ซันปา ได้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งที่เขตเทศบาลคอร์เทสในประเทศฟิลิปปินส์[16] เป็นสาเหตุให้มันอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน
- วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พายุดีเปรสชันอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำที่หลงเหลือ และได้พัดขึ้นฝั่งอีกครั้งที่จังหวัดตีโมกซูรีเกา[17]
ประชาชนประมาณ 17,000 คนได้รับผลกระทบจากพายุลูกนี้ และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 14 คน มีความเสียหายประมาณ 167.955 ล้านเปโซฟิลิปปินส์ (3.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[18]
พายุไต้ฝุ่นเจอลาวัต
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 4 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 24 มีนาคม – 1 เมษายน |
---|
ความรุนแรง | 195 กม./ชม. (120 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 915 mbar (hPa; 27.02 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: กาโลย
- วันที่ 24 มีนาคม พายุดีเปรสชันก่อตัวขึ้นทางใต้ของหมู่เกาะมาเรียนา[19] และศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้กำหนดหมายเลขกับระบบว่า 03W[20]
- วันที่ 25 มีนาคม ความรุนแรงของระบบทวีขึ้นเป็นพายุโซนร้อนและได้รับชื่อจากกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นว่า เจอลาวัต (Jelawat)[21] เนื่องจากลมเฉือนตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรง ระบบพายุหมุนจึงยังคงจัดการองค์ประกอบของตัวเองได้ไม่ดีนัก อีกทั้งยังมีการหมุนเวียนที่ไม่เป็นระบบใกล้กับการไหลเวียนในระดับต่ำ[22]
- วันที่ 28 มีนาคม ปัจจัยแวดล้อมค่อย ๆ เอื้อต่อการพัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดเจอลาวัตสามารถทวีกำลังแรงได้อย่างต่อเนื่องและสามารถกลายเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรงได้ในเวลา 18:00 UTC[23]
- วันที่ 29 มีนาคม ตาของพายุเริ่มปรากฏขึ้นภายในไอน้ำอย่างหนาแน่นจากแกนกลางของพายุ (Central dense overcast) เป็นสาเหตุให้กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นจัดระดับพายุเป็นพายุไต้ฝุ่นในเวลา 00:00 UTC[24]
- วันที่ 30 มีนาคม การทวีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็วได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 36 ชั่วโมง เมื่อตาพายุปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว และเจอลาวัตได้บลลุความรุนแรงสูงสุดในช่วงเช้าของวัน โดยมีลมพัดต่อเนื่องในสิบนาทีที่ 195 กม./ชม. และความกดอากาศที่ศูนย์กลางที่ 915 hPa[25] ในขณะเดียวกันศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ระบุว่ามีลมพัดต่อเนื่องในหนึ่งนาทีที่ 240 กม./ชม. โดยเป็นพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 4[26]
- วันที่ 31 มีนาคม ในทันทีหลังจากที่พายุบรรลุความรุนแรงสูงสุด เจอลาวัตอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากลมเฉือนและอากาศแห้งที่เพิ่มขึ้น และความรุนแรงได้ลดลงจนต่ำกว่าระดับพายุไต้ฝุ่นในช่วงสายของวัน
- วันที่ 1 เมษายน เจอลาวัตเคลื่อนที่เบี่ยงจากเส้นทางขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ จากนั้นจึงเลี้ยวไปทางตะวันออก และสลายตัวไปในที่สุด
พายุได้ก่อความเสียหายเล็กน้อยกับปาเลา หมู่เกาะแคโรไลน์ และหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา
พายุโซนร้อนเอวิเนียร์
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 2 – 9 มิถุนายน |
---|
ความรุนแรง | 75 กม./ชม. (45 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 998 mbar (hPa; 29.47 inHg) |
---|
- วันที่ 2 มิถุนายน หย่อมความกดอากาศต่ำก่อตัวขึ้นและพัฒนาขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันเหนือทะเลจีนใต้[27][28] หลังจากนั้นศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมก็ได้ออกข้อมูลเกี่ยวกับระบบ และใช้รหัสเรียกขานว่า 05W[29] และระบบมีทิศทางเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกและค่อยโค้งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
- วันที่ 6 มิถุนายน ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ยกระดับความรุนแรงของพายุเป็นพายุโซนร้อน[30] อีกสามชั่วโมงต่อมา กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ใช้ชื่อกับพายุว่า เอวิเนียร์ (Ewiniar)[31] หลังจากนั้นไม่นานเอวิเนียร์ได้พัดขึ้นฝั่งที่จีนตอนใต้
- วันที่ 7 มิถุนายน เอวิเนียร์ยังคงพลังของมันได้อยู่ขณะที่มันอยู่บนแผ่นดิน จนกระทั่งศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ออกการเฝ้าระวังสุดท้ายในช่วงปลายของวัน[32]
- วันที่ 9 มิถุนายน อย่างไรก็ตาม กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นยังคงติดตามเส้นทางเดินของพายุมาจนถึงวันนี้ จนเมื่อเอวิเนียร์อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน และสลายตัวไปเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ[33]
- วันที่ 13 มิถุนายน อย่างไรก็ตาม ซากของเอวิเนียร์ได้เคลื่อนตัวลงไปในทะเลและยังคงกำลังต่อเนื่องอยู่พักหนึ่ง จนสลายตัวไปหมดในวันนี้
มีผู้เสียชีวิตรวมจำนวน 13 คน ขณะที่มีความเสียหายที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินหลักของประเทศจีนนับได้ประมาณ 5.19 พันล้านหยวน (812 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[34]
พายุโซนร้อนกำลังแรงมาลิกซี
พายุโซนร้อนกำลังแรง (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 3 – 11 มิถุนายน |
---|
ความรุนแรง | 110 กม./ชม. (70 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 970 mbar (hPa; 28.64 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: โดเมง
- วันที่ 3 มิถุนายน หย่อมความกดอากาศต่ำก่อตัวขึ้นและทวีกำลังขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันทางตะวันตกเฉียงเหนือของปาเลา[35]
- วันที่ 4 มิถุนายน ระบบได้รับชื่อจาก PAGASA ว่า โดเมง (Domeng) ในขณะที่ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ออกการแจ้งเตือนการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อนกับระบบ[36][37] หลังจากที่ระบบรวมตัวกันเป็นหนึ่งได้แล้ว กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นจึงได้ปรับให้ระบบเป็นพายุโซนร้อน และใช้ชื่อว่า มาลิกซี (Maliksi)[35] อย่างไรก็ตาม ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมยังไม่ได้ติดตามเส้นทางเดินพายุ
- วันที่ 8 มิถุนายน ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ติดตามพายุในเวลา 03.00 UTC และให้รหัสเรียกขานว่า 06W[38] ระบบพายุเคลื่อนตัวไปทางเหนือ มาลิกซียังคงทวีกำลังแรงอย่างต่อเนื่อง
- วันที่ 10 มิถุนายน มาลิกซีมีกำลังแรงสูงสุดโดยมีลมที่ศูนย์กลาง 110 กม./ชม. ซึ่งมีความรุนแรงเป็นพายุไต้ฝุ่นขั้นแรก และมีความกดอากาศต่ำที่สุดที่ 970 hPa[35][39] ในลักษณะการดำเนินงาน กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นยังคงจัดมาลิกซีเป็นพายุไต้ฝุ่นในช่วงสั้น ๆ แต่ได้ลดระดับลงเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง ก่อนที่จะมีการวิเคราะห์ออกมา[40]
- วันที่ 11 มิถุนายน หลังจากนั้น มาลิกซีได้เริ่มอ่อนกำลังลงและเริ่มเปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน ทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย จนทั้งสองหน่วยงานได้หยุดการเตือนภัยลงในทันทีกับระบบ และศูนย์กลางของระบบเริ่มที่จะปรากฏเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน[35][41]
- วันที่ 13 มิถุนายน กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นยังคงติดตามเส้นทางเดินซากของมาลิกซีจนถึงเวลา 00.00 UTC[35]
แม้จะไม่ได้พัดขึ้นฝั่งในฟิลิปปินส์ แต่มาลิกซีได้กระตุ้นใน PAGASA ต้องประกาศเริ่มต้นฤดูฝนอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 มิถุนายน 2561 มีประชาชน 2 คนเสียชีวิตจากฝนตกหนักจากลมมรสุมที่ถูกเร่งโดยมาลิกซี ในฟิลิปปินส์[42]
พายุโซนร้อน 07W
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 13 – 15 มิถุนายน |
---|
ความรุนแรง | 65 กม./ชม. (40 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 1 นาที) 993 mbar (hPa; 29.32 inHg) |
---|
- วันที่ 12 มิถุนายน หย่อมความกดอากาศต่ำก่อตัวขึ้นทางตะวันตกเฉียงใต้ของไต้หวัน ภายในแนวปะทะอากาศเหมยหยู และศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วม ได้ระบุว่าระบบเป็นพายุดีเปรสชันกึ่งเขตร้อน[43]
- วันที่ 13 มิถุนายน เวลา 21.00 UTC ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ออกคำแนะนำแรกกับระบบ และให้รหัสเรียกขานว่า 07W และจัดระดับเป็นพายุดีเปรสชัน[44] แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีลมเฉือนปานกลางถึงรุนแรง แต่ระบบยังตั้งอยู่เหนือบริเวณที่มีอุณหภูมิน้ำทะเลอบอุ่นสัมพัทธ์กับการพาความร้อน และกระตุ้นให้ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมปรับ 07W เป็นพายุโซนร้อน[45]
- วันที่ 14 มิถุนายน ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมออกคำแนะนำฉบับที่สี่ซึ่งเป็นฉบับสุดท้าย ในเวลา 15.00 UTC เมื่อระบบได้เปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อนอย่างรวดเร็ว และสูญเสียโครงสร้างไปอย่างรวดเร็ว[46]
- วันที่ 15 มิถุนายน 07W กลายเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อนอย่างสมบูรณ์ทางใต้ของเกาะหลักของประเทศญี่ปุ่นในเวลา 06.00 UTC โดยซากของระบบยังถูกติดตามไปจนถึงวันที่ 25 มิถุนายน เมื่อมันเข้าใกล้ชายฝั่งของบริติชโคลัมเบีย[43]
พายุโซนร้อนแคมี
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 13 – 16 มิถุนายน |
---|
ความรุนแรง | 85 กม./ชม. (50 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 990 mbar (hPa; 29.23 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: เอสเตร์
- วันที่ 13 มิถุนายน พายุดีเปรสชันก่อตัวเหนือทะเลจีนใต้ จากร่องความกดอากาศต่ำของพายุโซนร้อน 07W
- วันที่ 14 มิถุนายน PAGASA ประกาศว่าระบบได้เคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่รับผิดชอบของฟิลิปปินส์ จึงได้ใช้ชื่อ เอสเตร์ (Ester) กับระบบ ในเวลาเที่ยงคืนพายุดีเปรสชันเอสเตร์ (08W) ได้พัดขึ้นฝั่ง และหลังจากที่พายุทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน พายุจึงได้ชื่อว่า แคมี (Gaemi) จากกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น
- วันที่ 16 มิถุนายน แคมีกลายเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน
- วันที่ 19 มิถุนายน NDRRMC (สภาบริหารและลดความเสี่ยงภัยพิบัติแห่งชาติของฟิลิปปินส์) ได้รายงานว่า มีผู้เสียชีวิต 3 รายจากฝนมรสุม ที่ถูกกระตุ้นโดยพายุแคมี[47]
พายุไต้ฝุ่นพระพิรุณ
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 1 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 28 มิถุนายน – 4 กรกฎาคม |
---|
ความรุนแรง | 120 กม./ชม. (75 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 960 mbar (hPa; 28.35 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: โฟลรีตา
- วันที่ 28 มิถุนายน หย่อมความกดอากาศต่ำที่อยู่ทางตะวันตกของเกาะโอกิโนโทริชิมะ ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชัน
- วันที่ 29 มิถุนายน PAGASA ได้เริ่มออกคำแนะนำกับระบบ และให้ชื่อว่า โฟลรีตา (Florita) อีก 6 ชั่วโมงต่อมา พายุดีเปรสชันได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นจึงใช้ชื่อสากลว่า พระพิรุณ (Prapiroon)
- วันที่ 30 มิถุนายน พระพิรุณทวีกำลังแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไปตามระดับของพายุโซนร้อน
- วันที่ 2 กรกฎาคม พระพิรุณทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่น ขณะที่มันอยู่ใกล้กับประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
- วันที่ 3 กรกฎาคม พายุไต้ฝุ่นพระพิรุณทวีกำลังแรงที่สุด และพัดขึ้นฝั่งประเทศญี่ปุ่น หลังจากพัดขึ้นฝั่งแล้ว พระพิรุณได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน
- วันที่ 4 กรกฎาคม พระพิรุณอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ
ในครั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ติดตามเส้นทางเดินของพายุไปจนถึงวันที่ 10 กรกฎาคม จนกระทั่งพายุสลายตัวไปอย่างสมบูรณ์[48][49]
ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2561 มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์พายุหมุนเขตร้อนเพียง 1 ราย ซึ่งเป็นชาวเกาหลีใต้[50]
พายุไต้ฝุ่นมาเรีย
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 3 – 12 กรกฎาคม |
---|
ความรุนแรง | 195 กม./ชม. (120 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 915 mbar (hPa; 27.02 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: การ์โด
- วันที่ 3 กรกฎาคม พายุดีเปรสชันก่อตัวขึ้น
- วันที่ 4 กรกฎาคม ระบบพายุทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อว่า มาเรีย (Maria)
- วันที่ 5 กรกฎาคม มาเรียทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง ในขณะที่ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมจัดให้มาเรียเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 1 ซึ่งเป็นผลมาจากการทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
- วันที่ 6 กรกฎาคม พายุไต้ฝุ่นมาเรียกลายเป็นพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่น และกลายเป็นพายุระดับ 5 ลูกแรกในแอ่ง นับตั้งแต่พายุไต้ฝุ่นนกเต็น เมื่อฤดู 2559 ไม่นานหลังจากนั้น มาเรียประสบกับภาวะวัฏจักรการแทนที่กำแพงตา ทำให้มันอ่อนกำลังลงมีสถานะต่ำกว่าพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่น
- วันที่ 8 กรกฎาคม วัฏจักรการแทนที่กำแพงตาของมาเรียเสร็จสมบูรณ์ และได้กลับเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 5 อีกครั้ง
พายุโซนร้อนเซินติญ
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 15 – 24 กรกฎาคม |
---|
ความรุนแรง | 75 กม./ชม. (45 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 994 mbar (hPa; 29.35 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: เฮนรี
- วันที่ 15 กรกฎาคม หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงได้ทวีกำลังขึ้นเป็นพายุดีเปรสชัน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมะนิลา ฟิลิปปินส์[51] ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมให้รหัสเรียกขานว่า 11W ในขณะที่ PAGASA ให้ชื่อว่า เฮนรี (Henry) โดยระบบมีทิศทางเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว
- วันที่ 17 กรกฎาคม ในที่สุดพายุดีเปรสชันได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อจากกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นว่า เซินติญ (Son-Tinh) โดยตัวพายุมีโครงสร้างการหมุนเวียนที่ดีขึ้น[52] ถึงแม้ว่าหลังจากนั้น เซินติญจะอ่อนกำลังลงเล็กน้อยเมื่อเคลื่อนผ่านใกล้เกาะไหหนาน และประสบกับปัญหาลมเฉือนกำลังปานกลาง[53]
- วันที่ 18 กรกฎาคม อย่างไรก็ตาม เซินเติญทวีกำลังแรงขึ้นเล็กน้อยเหนืออ่าวตังเกี๋ย เนื่องจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่อบอุ่น ก่อนที่มันจะพัดขึ้นฝั่งภาคเหนือของเวียดนาม[54]
- วันที่ 19 กรกฎาคม ทั้งสองหน่วยงานต่างออกการเตือนภัยเป็นฉบับสุดท้ายกับพายุเซินติญ เนื่องจากระบบพายุได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ และฝังตัวเข้ากับมรสุม[55]
อย่างไรก็ตาม ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมยังติดตามเส้นทางของเศษที่เหลือจากพายุต่ออีกสองวัน ก่อนที่มันจะสลายตัวไปอย่างสมบูรณ์[56]
พายุโซนร้อนกำลังแรงอ็อมปึล
พายุโซนร้อนกำลังแรง (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 17 – 24 กรกฎาคม |
---|
ความรุนแรง | 95 กม./ชม. (60 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 985 mbar (hPa; 29.09 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: อินได
- วันที่ 17 กรกฎาคม พายุดีเปรสชันกำลังอ่อนก่อตัวขึ้นเหนือทะเลฟิลิปปิน พร้อมกับการหมุนเวียนอย่างรวดเร็วและระบบตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสม ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมจึงเริ่มติดตามระบบพายุ และให้รหัสเรียกว่า 12W[57]
- วันที่ 18 กรกฎาคม PAGASA ได้เริ่มติดตามพายุนี้ และใช้ชื่อท้องถิ่นกับพายุว่า อินได (Inday) ต่อมาเวลา 12.00 UTC ระบบพายุได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อว่า อ็อมปึล (Ampil)[58] โดยขณะที่อ็อมปึลมีทิศทางการเคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ โครงสร้างของระบบได้เริ่มขยายตัวขึ้นพร้อมกับการหมุนเวียนอย่างรวดเร็วที่พัดอย่างต่อเนื่อง[59]
- วันที่ 19 กรกฎาคม แม้ว่าความร้อนในมหาสมุทรจะไม่เอื้ออำนวยต่อตัวพายุก็ตาม แต่อ็อมปึลก็ยังคงอยู่เหนือบริเวณที่มีอุณหภูมิน้ำทะเลที่อบอุ่นสัมพัทธ์ และยังมีการหมุนเวียนที่รวดเร็วมากขึ้นด้วย[60] ดังนั้น อ็อมปึลจึงถูกจัดเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง โดยมีระบบการหมุนเวียนที่ดีขึ้น ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมประเมินว่าอ็อมปึลมีลมพัดแรงสุดใน 1 นาทีที่ศูนย์กลางถึง 95 กม./ชม.[61] อ็อมปึลทวีกำลังแรงที่สุดที่ความกดอากาศต่ำสุด 985 hPa และยังคงความรุนแรงในระดับนั้นอีกหลายวัน
- วันที่ 21 กรกฎาคม ศูนย์กลางของพายุเริ่มยืดตัวออก และระบบพายุเริ่มอ่อนกำลังลงเล็กน้อย[62]
- วันที่ 22 กรกฎาคม กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ปรับลดความรุนแรงของอ็อมปึลกลับไปเป็นพายุโซนร้อน ในขณะที่ระบบพัดขึ้นฝั่งประเทศจีน และการหมุนเวียนเริ่มไม่เพียงพอ[63]
- วันที่ 23 กรกฎาคม อ็อมปึลอ่อนกำลังลงอีกเป็นพายุดีเปรสชัน และทั้งสองหน่วยงานได้ออกการเฝ้าระวังฉบับสุดท้ายกับพายุ[64]
- วันที่ 24 กรกฎาคม กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นยังคงติดตามเส้นทางเดินของพายุต่อ จนกระทั่งพายุอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำในเวลา 18.00 UTC
ในมณฑลชานตงมีฝนตกลงมาอย่างหนัก วัดปริมาณน้ำฝนสะสมได้ที่ 237 มม. (9.3 นิ้ว) ในเทศบาลนครเทียนจิน ทำให้เกิดน้ำท่วมขึ้น มีน้ำท่วมขังอยู่ในพื้นที่เกษตรกรรมถึง 316 ตารางกิโลเมตร (31,600 เฮกเตอร์) มีผู้ได้รับผลกระทบกว่า 260,000 คน มีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งคนในประเทศจีน และมีความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมถึง 1.19 พันล้านหยวน (5.6 พันล้านบาท หรือ 175.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[65]
พายุโซนร้อนกำลังแรงอู๋คง
พายุโซนร้อนกำลังแรง (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 1 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 22 – 26 กรกฎาคม |
---|
ความรุนแรง | 95 กม./ชม. (60 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 990 mbar (hPa; 29.23 inHg) |
---|
- วันที่ 21 กรกฎาคม ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมเริ่มออกคำแนะนำให้กับพายุดีเปรสชัน 14W ที่ก่อตัวขึ้นมาห่างจากเกาะมินามิโทริชิมะไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 603 กม.[66]
- วันที่ 22 กรกฎาคม กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้เริ่มติดตามเส้นทางเดินของพายุ ต่อมาศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ปรับ 14W เป็นพายุโซนร้อน แม้ว่าในความเป็นจริงการหมุนเวียนของพายุนั้นถูกพัด เนื่องจากระบบตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม โดยมีลมเฉือนแนวตะวันตกเฉียงใต้อยู่[67]
- วันที่ 23 กรกฎาคม 14W เริ่มมีการจัดระบบและเริ่มมีการหมุนเวียนรวดเร็วขึ้น[68] ต่อมาในเวลา 12.00 UTC กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นปรับให้พายุเป็นพายุโซนร้อน และใช้ชื่อว่า อู๋คง (Wukong) โดยพายุมีทิศทางเคลื่อนตัวขึ้นไปทางเหนือ
- วันที่ 25 กรกฎาคม อู๋คงค่อย ๆ ทวีกำลังแรงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่มันเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสม โดยมีลมเฉือนน้อยกว่า และในที่สุดกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นก็ได้ปรับให้อู๋คงเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง ต่อมาศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ปรับให้อู๋คงเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 1 หลังจากที่ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นถึงตาของพายุขนาด 30 ไมล์ทะเลที่มีลักษณะยุ่งเหยิง[69]
- วันที่ 26 กรกฎาคม ทั้งสองหน่วยงานออกคำแนะนำสุดท้ายให้กับพายุอู่คง ในขณะที่มันเปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อนอย่างรวดเร็ว[70]
- วันที่ 27 กรกฎาคม เศษนอกเขตร้อนที่หลงเหลือของอู๋คงถูกติดตามไปจนกระทั่งมันไปอยู่ที่นอกชายฝั่งของรัสเซียตะวันออกไกล[71]
พายุไต้ฝุ่นชงดารี
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 2 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 23 กรกฎาคม – 4 สิงหาคม |
---|
ความรุนแรง | 140 กม./ชม. (85 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 965 mbar (hPa; 28.5 inHg) |
---|
พายุไต้ฝุ่นชงดารีเป็นพายุหมุนเขตร้อนที่มีกำลัง มีช่วงอายุยาวนานและมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ อิทธิพลของพายุส่งผลกระทบต่อประเทศญี่ปุ่นและภาคตะวันออกของประเทศจีน ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงต้นสิงหาคม ชงดารีเป็นพายุที่ได้รับชื่อเป็นอันดับที่สิบสองของฤดูกาลเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ชงดารีทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่นลำดับที่สี่ในวันที่ 26 กรกฎาคม ตัวพายุได้รับอิทธิพลจากลิ่มความกดอากาศสูงกึ่งเขตร้อน (Subtropical ridge) และความกดอากาศต่ำระดับบน ทำให้ชงดารีมีทิศทางการเคลื่อนตัวเป็นลักษณะทวนเข็มนาฬิกา และทวีกำลังแรงจนถึงความรุนแรงสูงสุดของมัน จากนั้นจึงเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งประเทศญี่ปุ่น ที่คาบสมุทรคี ในจังหวัดมิเอะ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม
พายุไต้ฝุ่นชานชาน
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 2 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 2 – 10 สิงหาคม |
---|
ความรุนแรง | 130 กม./ชม. (80 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 970 mbar (hPa; 28.64 inHg) |
---|
- วันที่ 2 สิงหาคม พายุดีเปรสชันก่อตัวขึ้นทางตะวันออกเฉียงเหนือเฉเหนือของกวม ต่อมาในเวลา 21.00 UTC ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้เริ่มติดตามเส้นทางเดินของพายุ และให้รหัสเรียกว่า 17W[72]
- วันที่ 3 สิงหาคม 17W ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นใช้ชื่อกับพายุว่า ชานชาน (Shanshan)[73] ตัวพายุตั้งอยู่ในบริเวณที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสม ในขณะที่ระบบพายุกำลังรวมตัว[74] ดังนั้น ชานชานจึงทวีกำลังแรงขึ้นได้อีกเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง
- วันที่ 4 สิงหาคม ทั้งกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นและศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วม ต่างปรับให้ชานชานเป็นพายุไต้ฝุ่น หลังจากที่การหมุนเวียนอย่างรวดเร็วถูกพบว่าได้โอบล้อมเข้าสู่ศูนย์กลางของการพัฒนา การวิเคราะห์ของกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นระบุว่าตัวพายุมีความเร็วลมพัดสูงสุดใน 10 นาทีที่ 130 กม./ชม. และความกดอากาศต่ำสุดที่ 970 hPa และคงสถานะอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาหลายวัน
- วันที่ 6 สิงหาคม ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วม ระบุว่าชานชานเริ่มอ่อนกำลังลงเล็กน้อย หลังจากที่มีกำลังแรงอยู่ในระยะหนึ่ง เมื่อตาของพายุเริ่มมีลักษณะขรุขระและเริ่มหายไปเล็กน้อย
- วันที่ 7 สิงหาคม อย่างไรก็ตาม ชานชานได้กลับมาทวีกำลังแรงอีกครั้งหนึ่งและมีความรุนแรงถึงพายุไต้ฝุ่นระดับ 2 โดยมีลมพัดแรงใน 1 นาทีที่ 165 กม./ชม. ขณะที่อยู่ใกล้กับชายฝั่งด้านตะวันออกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น จากนั้นเป็นต้นมา ชานชานเริ่มเปลี่ยนเส้นทางเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออกอย่างรวดเร็ว และอ่อนกำลังลง
- วันที่ 9 สิงหาคม ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ออกคำแนะนำเป็นฉบับสุดท้าย
- วันที่ 10 สิงหาคม กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นติดตามเส้นทางเดินของพายุ จนกระทั่งระบบได้เปลี่ยนเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อนในเวลา 06.00 UTC
พายุโซนร้อนยางิ
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 6 – 15 สิงหาคม |
---|
ความรุนแรง | 75 กม./ชม. (45 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 990 mbar (hPa; 29.23 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: การ์ดิง
- วันที่ 1 สิงหาคม หย่อมความกดอากาศต่ำพัดอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะอิโอะ จิมะ[75]
- วันที่ 6 สิงหาคม หลังจากที่ผ่านมาเป็นเวลาห้าวัน ในที่สุดระบบก็ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชัน โดยการตรวจของกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น และศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมก็ได้ติดตามด้วยในเวลาต่อมา[76] นอกจากนี้ PAGASA ยังเริ่มออกแถลงการณ์ถึงระบบพายุ และให้ชื่อท้องถิ่นว่า การ์ดิง (Karding) ส่วนตัวพายุยังคงกำลังเป็นเพียงพายุดีเปรสชัน เนื่องจากลมเฉือนตะวันออกกำลังปานกลางถึงกำลังแรง มีจะมีการหมุนเวียนอยู่รอบ ๆ ระบบก็ตาม[77]
- วันที่ 8 สิงหาคม ภาพจากดาวเทียม METOP-A ASCAT แสดงให้เห็นว่าระบบมีกำลังลมถึง 35 นอต ด้วยเหตุนี้ ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมจึงปรับให้มันเป็นพายุโซนร้อน[78] พร้อมกันนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นก็ยังปรับให้มันเป็นพายุโซนร้อนเช่นกัน และใช้ชื่อว่า ยางิ (Yagi)
- วันที่ 9 สิงหาคม ยางิมีทิศทางเคลื่อนตัวโค้งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ในขณะที่ตัวพายุก็ยังต้องสู้กับลมเฉือนอยู่อย่างต่อเนื่อง และพยายามที่จะทวีกำลังแรงขึ้น
- วันที่ 11 สิงหาคม เวลา 12.00 UTC กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นพิเคราะห์ว่ายางิบรรลุความรุนแรงสูงสุด โดยมีความเร็วลมพัดต่อเนื่อง 10 นาทีที่ 75 กม./ชม. และมีความกดอากาศต่ำที่สุด 990 hPa ส่วนศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมประกาศว่ายางิบรรลุความเร็วลมที่ 85 กม./ชม. ในเวลาเดียวกัน หลังจากที่พายุรวมตัวกันได้และมีโครงสร้างที่ดีขึ้นแล้ว[79]
- วันที่ 12 สิงหาคม ยางิขึ้นฝั่งที่เขตเวินหลิงในเมืองไท้โจวของมณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ในเวลาประมาณ 23.35 น. ตามเวลาท้องถิ่น[80] ต่อมาศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ออกคำแนะนำเป็นฉบับสุดท้าย[81]
- วันที่ 13 สิงหาคม แต่ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมยังคงติดตามเส้นทางเดินพายุไปจนมันอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน[82] กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นก็ทำเช่นเดียวกันในเวลา 06.00 UTC
- วันที่ 15 สิงหาคม แต่กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นยังคงติดตามเส้นทางเดินของพายุจนมันกลายเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน
แม้ว่ายางิจะไม่ได้พัดขึ้นฝั่งในประเทศฟิลิปปินส์ แต่ตัวพายุนั้นได้กระตุ้นให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น และก่อให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมอย่างรุนแรงในหลายเขตของฟิลิปปินส์ NDRRMC ประกาศว่ามีผู้เสียชีวิตสองคน มีความเสียหาย 996 ล้านเปโซฟิลิปปินส์ (595 ล้านบาท หรือ 18.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จนถึงวันที่ 26 สิงหาคม[83] ส่วนในภาคตะวันออกของประเทศจีน ยางิได้คร่าชีวิตคนจำนวนสามคน และสร้างความเสียหายมูลค่า 2.51 พันล้านหยวน (1.19 หมื่นล้านบาท หรือ 367 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[34]
พายุโซนร้อนเบบินคา
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 9 – 17 สิงหาคม |
---|
ความรุนแรง | 85 กม./ชม. (50 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 985 mbar (hPa; 29.09 inHg) |
---|
- วันที่ 9 สิงหาคม พายุดีเปรสชันก่อตัวขึ้นในทะเลจีนใต้ ในตอนแรกระบบยังคงไม่เคลื่อนที่
- วันที่ 12 สิงหาคม ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้เริ่มติดตามระบบ และให้รหัสเรียกว่า 20W[84]
- วันที่ 13 สิงหาคม กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นปรับให้พายุดีเปรสชันเป็นพายุโซนร้อน และใช้ชื่อว่า เบบินคา (Bebinca) อีกเก้าชั่วโมงต่อมา ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมก็ได้ปรับตาม เมื่อพบการหมุนเวียนอย่างรวดเร็วค่อย ๆ บานออกใกล้ศูนย์กลางที่กะทัดรัด[85] ทั้ง ๆ ที่การหมุนเวียนสอดคล้องกันกับอุณหภูมิน้ำทะเลที่อบอุ่น แต่เบบินคาก็ยังคงมีกำลังอ่อนอยู่เนื่องจากลมเฉือนที่มีกำลังแรง[86]
- วันที่ 16 สิงหาคม เบบินคา เริ่มเข้าสู่ช่วงที่ทวีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากศูนย์กลางของมันมียกตัวของไอน้ำอย่างหนาแน่นจากแกนกลางของพายุ (Central dense overcast)[87] และดังนั้น กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นจึงจัดให้เบบินคาเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง ส่วนศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ออกการวิเคราะห์ในอีกหลายชั่วโมงต่อมา โดยระบบบรรลุความรุนแรงสูงสุดโดยมีลมพัดแรงใน 1 นาทีต่อเนื่องที่ 110 กม./ชม.
- วันที่ 17 สิงหาคม เบบินคาพัดขึ้นฝั่ง ระบบอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว และทั้งสองหน่วยงานได้ออกคำแนะนำเป็นฉบับสุดท้าย และสลายตัวลงไปในวันเดียวกัน
เบบินคาทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมจำนวน 6 คน มีความเสียหายทางเศรษฐกิจในภาคใต้ของจีนที่ 2.31 พันล้านหยวน (1.09 หมื่นล้านบาท หรือ 333 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[34] มีความเสียหายทั้งหมดในเวียดนามรวม 7.86 แสนล้านด่อง (1.11 พันล้านบาท หรือ 33.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[88]
พายุโซนร้อนกำลังแรงหลี่ผี
พายุโซนร้อนกำลังแรง (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 1 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 11 – 15 สิงหาคม |
---|
ความรุนแรง | 95 กม./ชม. (60 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 994 mbar (hPa; 29.35 inHg) |
---|
- วันที่ 11 สิงหาคม พายุดีเปรสชันทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน หลี่ผี (Leepi)
- วันที่ 13 สิงหาคม พายุโซนร้อนหลี่ผีเริ่มคุกคามประเทศญี่ปุ่น
- วันที่ 14 สิงหาคม หลี่ผีทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง และมีสถานะเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 1 เป็นเวลาสั้น ๆ โดยศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วม
- วันที่ 15 สิงหาคม หลี่ผีขึ้นฝั่งที่เมืองฮีวงะ จังหวัดมิยาซากิ ประเทศญี่ปุ่น และสลายตัวลงไปในวันเดียวกัน เหลือเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อนที่ไม่เหลือพลังงานใด ๆ เลย และมุ่งหน้าไปทางแผ่นดินหลักของรัสเซีย[89]
- วันที่ 16 สิงหาคม หลี่ผีสลายตัวไป โดยตำแหน่งสุดท้ายที่ถูกติดตามคือทางตะวันออกของประเทศเกาหลีใต้ ในฐานะหย่อมความกดอากาศต่ำ
พายุโซนร้อนเฮกเตอร์
- วันที่ 13 สิงหาคม เวลา 18.00 UTC ทั้งกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นและศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วม ต่างประกาศว่าพายุโซนร้อนเฮกเตอร์จากแอ่งแปซิฟิกตะวันออก ได้เคลื่อนตัวข้ามเส้นแบ่งเขตวันสากลเข้าสู่แอ่งแปซิฟิกตะวันตกแล้ว[90] ที่จุดนี้ เฮกเตอร์ยังคงตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมอันเหมาะสม คือ มีเพียงลมเฉือนกำลังปานกลาง แม้ว่าการหมุนเวียนที่เร็วจะถูกจำกัดอยู่บริเวณใกล้ศูนย์กลางของพายุเท่านั้น[91]
- วันที่ 14 สิงหาคม เนื่องจากกระแสวนหมุนในชั้นโทรโพสเฟียร์ระดับบนที่อยู่ทางตะวันตกของเฮกเตอร์ ทำให้มันเริ่มสูญเสียความรุนแรงและเริ่มอ่อนกำลังลง[92] โดยศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ปรับลดเฮกเตอร์ลงเป็นพายุดีเปรสชัน หลังจากที่ระบบได้เคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่ที่มีลมเฉือนแนวตั้งที่พัดแรง[93]
- วันที่ 15 สิงหาคม ทั้งสองหน่วยงานต่างออกคำเตือนฉบับสุดท้ายของพายุเฮกเตอร์ โดยกล่าวว่า ศูนย์กลางเมฆระดับต่ำ (LLCC) ของเฮกเตอร์ได้เริ่มยืดขยายออก และตัวพายุนั้นก็ได้เปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนกึ่งเขตร้อนเรียบร้อยแล้ว[94]
- วันที่ 17 สิงหาคม อย่างไรก็ตาม กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นยังคงเฝ้าติดตามพายุจนถึงเวลา 00.00 UTC
พายุโซนร้อนรุมเบีย
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 14 – 19 สิงหาคม |
---|
ความรุนแรง | 85 กม./ชม. (50 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 985 mbar (hPa; 29.09 inHg) |
---|
- วันที่ 15 สิงหาคม พายุดีเปรสชันในทะเลจีนตะวันออกทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนและได้ชื่อว่า รุมเบีย (Rumbia)
- วันที่ 16 สิงหาคม รุมเบียบรรลุความรุนแรงสูงสุดเหนืออ่าวหางโจว
- วันที่ 17 สิงหาคม รุมเบียได้พัดขึ้นฝั่งที่เขตผู่ตง เซี่ยงไฮ้ ในเวลาประมาณ 04.05 น. ตามเวลาท้องถิ่น และกลายเป็นพายุโซนร้อนลูกที่สามของปีที่พัดเข้าเซี่ยงไฮ้ในปี 2561[95]
รุมเบียทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 22 คนในภาคตะวันออกของจีน และมีความเสียหายทางเศรษฐกิจ 9.2 พันล้านหยวน (4.34 หมื่นล้านบาท หรือ 1.34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)[96][97] ที่เขตโช่วกวงมีปริมาณน้ำฝน 174.7 มม. มีบ้านเรือน 10,000 หลังถูกทำลาย มีผู้เสียชีวิต 13 คน เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ผลิตผักและการเกษตรรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของจีนได้รับความเสียหายอย่างมาก โรงเรือน 200,000 โรงถูกทำลายลง ต้นน้ำของแม่น้ำหมี่มีปริมาณน้ำฝนถึง 241.6 มม. และเป็นสาเหตุให้มีน้ำท่วม ระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำสามอ่างสูงขึ้นในระดับอันตราย ทำให้เจ้าหน้าที่ปล่อยน้ำส่วนเกินออกเพื่อป้องกันไม่ให้อ่างเก็บน้ำพังทลายลง การเพิ่มขึ้นของปลายน้ำทำให้เกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรงในเมืองโช่วกวง เศษพายุหมุนนอกเขตร้อนของรุมเบียถูกติดตามเส้นทางไปถึงทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮกไกโดก่อนจะสลายตัวลงทางชายฝั่งของรัสเซียตะวันออกไกล[97]
พายุไต้ฝุ่นซูลิก
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 3 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 15 – 24 สิงหาคม |
---|
ความรุนแรง | 155 กม./ชม. (100 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 950 mbar (hPa; 28.05 inHg) |
---|
- วันที่ 15 สิงหาคม หย่อมความกดอากาศต่ำในทะเลฟิลิปปินจัดระบบตัวเป็นพายุดีเปรสชัน
- วันที่ 16 สิงหาคม ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ออกคำแนะนำกับระบบ และใช้รหัสว่า 22W ต่อมากรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นประกาศว่าระบบเป็นพายุโซนร้อนและให้ชื่อว่า ซูลิก (Soulik)
- วันที่ 17 สิงหาคม กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นปรับให้ซูลิกเป็นพายุไต้ฝุ่น มันจึงกลายเป็นพายุไต้ฝุ่นลูกที่หกของฤดูกาล ซูลิกทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุที่มีกำลังแรงอย่างรวดเร็ว
- วันที่ 18 สิงหาคม ซูลิกบรรลุความรุนแรงสูงสุดที่ความเร็วลม 165 กม./ชม. และยังคงความรุนแรงเท่านั้นต่อไปอีกหลายวัน
- วันที่ 22 สิงหาคม หลังจากที่เคลื่อนผ่ายหมู่เกาะรีวกีวแล้ว พายุได้ค่อย ๆ อ่อนกำลังลงเนื่องจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่ต่ำ
- วันที่ 23 สิงหาคม ซูลิกพัดขึ้นฝั่งที่อำเภอแฮนัม จังหวัดจอลลาใต้ ของประเทศเกาหลีใต้ ในเวลาประมาณ 23.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (14.00 UTC)[98]
ความเสียหายในจังหวัดเชจูอยู่ที่ประมาณ 5.22 พันล้านวอน (ประมาณ 151 ล้านบาท หรือ 4.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[99] มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนอยู่ที่ 550 ล้านหยวน (2.6 พันล้านบาท หรือ 79.9 ล้านบาท)[100] ส่วนอุทกภัยในเกาหลีเหนือซึ่งเกิดจากการกระตุ้นของพายุซูลิก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 86 คน[101]
พายุไต้ฝุ่นซีมารอน
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 3 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 16 – 24 สิงหาคม |
---|
ความรุนแรง | 155 กม./ชม. (100 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 950 mbar (hPa; 28.05 inHg) |
---|
- วันที่ 16 สิงหาคม พายุดีเปรสชันก่อตัวขึ้นใกล้กับหมู่เกาะมาร์แชลล์
- วันที่ 17 สิงหาคม พายุทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อว่า ซีมารอน (Cimaron)
- วันที่ 18 สิงหาคม ซีมารอนทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรงอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นพายุไต้ฝุ่นในที่สุด
พายุไต้ฝุ่นซีมารอนบรรลุความรุนแรงสูงสุดที่พายุไต้ฝุ่นระดับ 3
พายุไต้ฝุ่นซีมารอนอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันก่อนที่จะเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน และมุ่งหน้าไปทางแผ่นดินหลักของรัสเซีย เป็นเพียงแค่หย่อมความกดอากาศต่ำที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพายุอันรุนแรง พายุไต้ฝุ่นซีมารอนเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 3 ตามมาตราของศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วม และเป็นพายุลูกที่ 12 ที่พัดเข้าญี่ปุ่นในปี 2561 และตามด้วยพายุที่โดดเด่นอย่างพายุไต้ฝุ่นเชบีในเดือนถัดมา[102] โดยซีมารอนพัดขึ้นฝั่งที่เมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโงะ ในเวลาใกล้เที่ยงคืนตามเวลาท้องถิ่น[103]
พายุไต้ฝุ่นเชบี
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 27 สิงหาคม – 4 กันยายน |
---|
ความรุนแรง | 195 กม./ชม. (120 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 915 mbar (hPa; 27.02 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: ไมไม
- วันที่ 25 สิงหาคม หย่อมความกดอากาศต่ำก่อตัวชึ้นใกล้กับหมู่เกาะมาร์แชลล์
- วันที่ 27 สิงหาคม ระบบทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชัน โดยกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น การหมุนเวียนที่เร็วขึ้นอย่างต่อเนื่องนำพาให้ระบบทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ใช้ชื่อว่า เชบี (Jebi)
- วันที่ 29 สิงหาคม ระบบพายุได้อยู่ในภาวะการทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 ลูกที่ 3 ของฤดูกาล
- วันที่ 4 กันยายน เชบีที่อ่อนกำลังลง แต่ยังมีพลังอยู่มากได้พัดขึ้นฝั่งทางตอนใต้ของจังหวัดโทกูชิมะ ในเวลาประมาณ 12.00 น. ตามเวลาในประเทศญี่ปุ่น (10.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) ก่อนจะเคลื่อนตัวไปยังอ่าวโอซากะและขึ้นฝั่งอีกครั้งที่ใกล้ ๆ กับนครโกเบ จังหวัดเฮียวโงะที่เวลาประมาณ 14.00 น. ตามเวลาในประเทศญี่ปุ่น (12.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) ต่อมาพายุไต้ฝุ่นเชบีได้พัดไปปกคลุมเหนือจังหวัดเคียวโตะ และสร้างความหายนะอย่างมากขึ้นไปอีก ต่อมาพายุไต้ฝุ่นเชบีเคลื่อนตัวลงสู่ทะเลญี่ปุ่นในเวลาประมาณ 15.00 น. ตามเวลาในประเทศญี่ปุ่น (13.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) พร้อมกันนั้น แนวปะทะอากาศเย็นได้ก่อตัวขึ้นทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่าตัวพายุเชบีเริ่มมีการเปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อนแล้ว
- วันที่ 5 กันยายน หลังจากศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมออกคำเตือนเป็นฉบับสุดท้ายในเวลา 00.00 น. ตามเวลาในประเทศญี่ปุ่น แล้วพายุไต้ฝุ่นเชบีได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรงในเวลาประมาณ 03.00 น. ตามเวลาในประเทศญี่ปุ่น (01.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) ในขณะที่ระบบอยู่ใกล้กับคาบสมุทรชาโกตันของจังหวัดฮกไกโด พายุเชบีเปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อนอย่างสมบูรณ์ที่แถบชายฝั่งของดินแดนปรีมอร์สกี ประเทศรัสเซีย ในเวลาประมาณ 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นเขตวลาดิวอสต็อก (07.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) หลังจากนั้นพายุหมุนนอกเขตร้อนก็ได้เคลื่อนเข้าสู่แผ่นดินของรัสเซียที่ดินแดนฮาบารอฟสค์ และมีแนวโน้มอ่อนกำลังลงเรื่อย ๆ เนื่องจากเคลื่อนตัวอยู่ในบริเวณของแผ่นดิน โดยระบบพายุนอกเขตร้อนมีทิศทางเคลื่อนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือก่อน แล้วจึงเปลี่ยนทิศทางไปทางเหนือ
- วันที่ 7 กันยายน ตัวระบบสลายตัวทางตะวันออกเฉียงเหนือของเขตชนบทอายันในช่วงเช้าของวัน
พายุไต้ฝุ่นเชบีเป็นพายุไต้ฝุ่นที่ทรงพลัง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 17 คน (ณ วันที่ 11 กันยายน 2561) เชบีส่งผลกระทบกับหมู่เกาะมาเรียนา ไต้หวัน ญี่ปุ่น และรัสเซียตะวันออกไกลในประเทศญี่ปุ่น จังหวัดโอซากะได้รับผลกระทบอย่างเลวร้ายจากลมกระโชกที่มีความเร็วที่บันทึกได้ถึง 209 กม./ชม. ที่ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ และบันทึกได้ที่สถานีตรวจอากาศนครโอซากะ มีความเร็วลมถึง 171 กม./ชม. และบันทึกความกดอากาศต่ำที่สุดที่ระดับน้ำทะเลได้ 962 มิลลิบาร์ ถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่ที่บันทึกได้เมื่อปีฤดูกาล 2504 (โดยพายุไต้ฝุ่นแนนซี) และถือเป็นความกดอากาศต่ำที่สุดในอันดับที่ห้าที่บันทึกได้ น้ำขึ้นจากพายุสูง 3.29 เมตรก่อให้เกิดน้ำท่วมตามแนวชายฝั่งของอ่าวโอซากะ รวมทั้งท่าอากาศยานนานาชาติคันไซด้วย โดยบริเวณทางวิ่งของเครื่องบินถูกน้ำท่วมขัง และบริการบางอย่างของระบบเดินอากาศได้รับความเสียหายจากลมและน้ำ สัญลักษณ์ของเมืองโอซากาอย่างยูนิเวอร์แซลสตูดิโอส์เจแปนต้องปิดให้บริการในช่วงระหว่างที่พายุไต้ฝุ่นเคลื่อนผ่าน ที่จังหวัดวากายามะวัดความเร็วลมกระโชกสูงสุดได้ 207 กม./ชม. เช่นกัน ส่วนที่จังหวัดเคียวโตะ ศาลเจ้าหลายแห่งต้องปิดชั่วคราวในระหว่างที่พายุไต้ฝุ่นเคลื่อนตัวผ่าน สถานีรถไฟเกียวโตได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก เช่น กระจกที่ประดับอยู่เหนิอลานกลางอาคาร ที่ปกคลุมส่วนทางออก ร้านค้า และโรงแรม ได้ยุบตัวลง และบางส่วนได้หายไปเล็กน้อยในระดับเซนติเมตร
พายุไต้ฝุ่นเชบีเป็นพายุไต้ฝุ่นที่ทรงพลังที่สุดที่พัดเข้าประเทศญี่ปุ่น นับตั้งแต่พายุไต้ฝุ่นแยนซี เมื่อปี พ.ศ. 2536
พายุไต้ฝุ่นมังคุด
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 7 – 17 กันยายน |
---|
ความรุนแรง | 205 กม./ชม. (125 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 905 mbar (hPa; 26.72 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: โอมโปง
- วันที่ 7 กันยายน พายุดีเปรสชันก่อตัวใกล้กับหมู่เกาะมาร์แชลล์ กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นจึงเริ่มออกคำแนะนำกับระบบ ต่อมาในเวลา 10.00 น. (03.00 UTC) ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วม ได้เริ่มติดตามระบบ และให้รหัสว่า 26W ในช่วงปลายของวัน ระบบทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นจึงได้ใช้ชื่อว่า มังคุด (Mangkhut)
- วันที่ 11 กันยายน มังคุดทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่น และพัดขึ้นฝั่งที่หมู่เกาะโรตาในหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา
- วันที่ 12 กันยายน เวลาประมาณ 03.00 น. ตามเวลาในประเทศฟิลิปปินส์ พายุไต้ฝุ่นมังคุดได้เคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่รับผิดชอบของฟิลิปปินส์ในฐานะพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 และดังนั้น PAGASA จึงได้ใช้ชื่อ โอมโปง (Ompong) กับพายุ ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้บันทึกว่าพายุมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น และบรรลุความรุนแรงที่สุดของตัวมันในเวลา 18.00 UTC (01.00 น. วันที่ 13 กันยายน ตามเวลาในประเทศไทย) โดยมีลมพัดอย่างต่อเนื่องในหนึ่งนาทีเร็ว 285 กม./ชม.
- วันที่ 13 กันยายน รัฐบาลฟิลิปปินเริ่มออกคำสั่งให้อพยพประชาชนที่อยู่อาศัยในแนวที่พายุจะเคลื่อนผ่าน
- วันที่ 14 กันยายน พายุไต้ฝุ่นมังคุดพัดขึ้นฝั่งประเทศฟิลิปปินส์ มีลมพัดอย่างต่อเนื่องในหนึ่งนาทีเร็ว 266 กม./ชม. ขณะที่เคลื่อนผ่านไปบนแผ่นดินนั้น มังคุดได้อ่อนกำลังลงเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นอยู่ และต่อมาได้อ่อนกำลังลงอีก แต่ต่อมาพายุมังคุดได้ทวีกำลังแรงขึ้นอีกเล็กน้อยอย่างช้า ๆ และปรากฏให้เห็นถึงตาพายุขนาดใหญ่ โดยพายุมีทิศทางมุ่งหน้าไปทางฮ่องกง
- วันที่ 17 กันยายน เมื่อมังคุดพัดขึ้นฝั่งครั้งสุดท้าย มันได้อ่อนกำลังลงอีก และยังคงการหมุนเวียนอย่างรวดเร็วบนแผ่นดินอยู่ ก่อนจะอ่อนกำลังลงอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดพายุมังคุดสลายตัวไปเหนือมณฑลกวางซี ประเทศจีน
วันที่ 23 กันยายน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 134 คนเนื่องจากเหตุการณ์พายุมังคุด โดยในจำนวนนั้นอยู่ในฟิลิปปินส์ 127 คน[104][105] และอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ 6 คน[106] และในไต้หวันอีก 1 คน[107] วันที่ 5 ตุลาคม NDRRMC (สภาบริหารและลดความเสี่ยงภัยพิบัติแห่งชาติของฟิลิปปินส์) ประมาณว่าพายุไต้ฝุ่นมังคุดทำให้เกิดความเสียหายในฟิลิปปินส์ 3.39 หมื่นล้านเปโซฟิลิปปินส์ (2.09 หมื่นล้านบาท หรือ 627 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[108]
พายุโซนร้อนบารีจัต
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 8 – 13 กันยายน |
---|
ความรุนแรง | 75 กม./ชม. (45 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 998 mbar (hPa; 29.47 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: เนเนง
- วันที่ 8 กันยายน พายุดีเปรสชันเขตร้อนก่อตัวขึ้นใกล้กับจังหวัดบาตาเนส ประเทศฟิลิปปินส์ โดยได้รับชื่อท้องถิ่นว่า เนเนง (Neneng) พร้อมกับการเตือนสัญญาณเตือนพายุหมุนเขตร้อนระดับ 1 ในจังหวัดดังกล่าวด้วย
- วันที่ 9 กันยายน พายุเนเนงเคลื่อนตัวออกจากพื้นที่รับผิดชอบของฟิลิปปินส์ และทวีกำลังขึ้นเป็นพายุโซนร้อน โดยได้รับชื่อจากกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นว่า บารีจัต (Barijat)
- วันที่ 11 กันยายน พายุโซนร้อนบารีจัตเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกตามแนวนอนในทะเลจีนใต้
- วันที่ 13 กันยายน พายุโซนร้อนบารีจัตได้พัดขึ้นฝั่งที่คาบสมุทรเหลโจว ใกล้กับบริเวณที่พายุโซนร้อนเซินติญพัดขึ้นฝั่งเมื่อ 2 เดือนก่อน ก่อนจะพัดขึ้นฝั่งอีกครั้งที่ตอนเหนือของเวียดนามในวันเดียวกัน ต่อมาในช่วงเย็น พายุบารีจัตอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำส่วนที่เหลือ
- วันที่ 14 กันยายน ระบบได้สลายตัวไปในที่สุด
พายุโซนร้อนบารีจัตทำให้เกิดแผ่นดินถล่มกว่า 12 ครั้งในจังหวัดบาตาเนส ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินถล่มครั้งใหญ่และมหาอุทกภัย ในดินซึ่งอิ่มตัวจากอิทธิพลของพายุนี้และจากพายุมังคุด
พายุไต้ฝุ่นจ่ามี
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 20 กันยายน – 1 ตุลาคม |
---|
ความรุนแรง | 195 กม./ชม. (120 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 915 mbar (hPa; 27.02 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: ปาเอง
- วันที่ 19 กันยายน ห้องปฏิบัติการวิจัยกองทัพเรือสหรัฐเริ่มเฝ้าระวังหย่อมความกดอากาศต่ำขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นเหนือรัฐชุก สหพันธรัฐไมโครนีเซีย
- วันที่ 20 กันยายน ระบบมีทิศทางเคลื่อนตัวเลี้ยวไปทางทิศตะวันตก และทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อน ตามการตรวจของกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น ขณะที่ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ออกการแจ้งเตือนการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อน
- วันที่ 21 กันยายน พายุดีเปรสชันเขตร้อนจัดระบบตัวเองอยู่ในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสม และทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน ได้รับชื่อว่า จ่ามี (Trami)
- วันที่ 22 กันยายน จ่ามียังคงทวีกำลังแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง ก่อนที่จะทวีกำลังเป็นพายุไต้ฝุ่นในที่สุด
- วันที่ 23 กันยายน จ่ามียังคงอยู่ภายในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จึงได้ทวีกำลังแรงขึ้นอีก และเข้าสู่วัฏจักรการแทนที่กำแพงตา
- วันที่ 24 กันยายน ในช่วงเช้า จ่ามีทวีกำลังแรงขึ้นต่อหลังจากที่วัฎจักรการแทนที่กำแพงตาเสร็จสมบูรณ์แล้ว และมีกำลังเป็นพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นตามมาตราของศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วม
- วันที่ 25 กันยายน เวลา 01:00 น. จ่ามีทวีกำลังแรงขึ้นเป็นเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 5 (ตามมาตราของศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วม) ขณะที่มุ่งหน้าสู่จังหวัดโอกินาวะ ประเทศญี่ปุ่น แต่ต่อมา จ่ามีเริ่มเคลื่อนตัวช้าลง และเริ่มหยุดนิ่ง ก่อนจะเคลื่อนตัวอีกครั้งโดยไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเฉเหนือ ในช่วงเวลานี้ ได้เกิดวัฏจักรการแทนที่กำแพงตาขึ้นอีก แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลที่ลดลง และทำให้จ่ามีเริ่มอ่อนกำลัง แต่มันก็ยังสามารถคงสถานะพายุได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน
- วันที่ 30 กันยายน โครงสร้างของจ่ามีเริ่มเสื่อมลง และความเร็วลมของมันก็ลดลง โดยพายุไต้ฝุ่นได้พัดขึ้นฝั่งที่เมืองทานาเบะ จังหวัดวากายามะ ในเวลาประมาณ 20:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (18:00 น. ตามเวลาในประเทศไทย)[109] ในฐานะพายุไต้ฝุ่น
- วันที่ 1 ตุลาคม หลังจากขึ้นฝั่งแล้ว โครงสร้างของจ่ามีเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่จ่ามีส่งผลกระทบกับเกาะฮนชูแล้ว จ่ามีได้เปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อนที่ยังคงแรงลมระดับพายุไต้ฝุ่นโดยสมบูรณ์ และไปส่งผลกระทบกับหมู่เกาะคูริลต่อ จากนั้นจึงได้อ่อนกำลังลงโดยมีแรงลมในระดับพายุโซนร้อน จนลงเหลือเป็นเศษที่หลงเหลือนอกเขตร้อน (extratropical remnants) บริเวณทะเลเบริง ใกล้กับหมู่เกาะอะลูเชียน
ความเสียหายในจังหวัดชิซูโอกะอยู่ที่ 1 หมื่นล้านเยน (96.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[110]
พายุไต้ฝุ่นกองเร็ย
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 28 กันยายน – 6 ตุลาคม |
---|
ความรุนแรง | 215 กม./ชม. (130 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 900 mbar (hPa; 26.58 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: กวีนี
- วันที่ 25 กันยายน การแปรปรวนของลมในเขตร้อนก่อตัวขึ้นในพื้นทะเลใกล้กับเกาะโปนเปของสหพันธรัฐไมโครนีเซีย โดยศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้พิเคราะห์ในระบบเป็นพายุ ในนามของหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง (Invest) 94W ซึ่งมีโอกาสในการพัฒนาที่น้อย[111]
- วันที่ 27 กันยายน ระบบมีมิศทางเคลื่อนตัวไปทางตะวันตก และเริ่มจัดระบบเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อน โดยกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ริเริ่มให้คำแนะนำกับพายุ ขณะเดียวกันศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมก็ได้ออกประกาศการแจ้งเตือนการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อน
- วันที่ 28 กันยายน ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมให้รหัสเรียกกับระบบว่า 30W[112] ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ออกการแจ้งเตือนพายุลมแรงกับระบบ[113] พายุดีเปรสชันเขตร้อนยังคงทวีกำลังแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อจากกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นว่า กองเร็ย (Kong-rey)
- วันที่ 29 กันยายน ระบบยังคงเคลื่อนตัวไปทางตะวันตก และเข้าสู่พื้นที่ที่มีเงื่อนไขเหมาะสมกับการทวีกำลังแรง จนในที่สุดพายุกองเร็ยได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง
- วันที่ 30 กันยายน พายุกองเร็ยได้กลายเป็นพายุไต้ฝุ่นในเวลา 03:00 UTC (10:00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) และยังคงทวีกำลังแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- วันที่ 1 ตุลาคม กองเร็ยกลายเป็นพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 4 ในเวลา 18:00 UTC (01:00 น. ของวันที่ 2 ตุลาคม ตามเวลาในประเทศไทย)
- วันที่ 2 ตุลาคม กองเร็ยทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 ก่อนจะได้รับผลกระทบจากลมเฉือนแนวตั้ง, ความจุความร้อนมหาสมุทรต่ำ และการลดลงของอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเล
- วันที่ 3 ตุลาคม พายุไต้ฝุ่นกองเร็ยอ่อนกำลังลงเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 3 ขณะที่ตัวพายุเข้าสู่วัฏจักรการแทนที่กำแพงตา[114] ซึ่งลมเฉือนแนวตั้งที่เพิ่มขึ้นและอุณหภูมิน้ำทะเลที่ต่ำทำให้การทวีกำลังของกองเร็ยหยุดชะงักลง
- วันที่ 4 ตุลาคม พายุกองเร็ยอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน
- วันที่ 6 ตุลาคม พายุโซนร้อนกองเร็ยพัดขึ้นฝั่งที่เมืองทงย็อง จังหวัดคย็องซังใต้ในประเทศเกาหลีใต้[115] หลังจากนั้น กองเร็ยได้เปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน และส่งผลกระทบกับตอนใต้ของจังหวัดฮกไกโด ใกล้กับเมืองฮาโกดาเตะ
มีผู้เสียชีวิตจากพายุนี้ในช่วงเดือนตุลาคมจำนวน 3 คน โดยเป็นชาวเกาหลีใต้ 2 คน[116] แม้ว่าพายุกองเร็ยจะไม่ได้พัดขึ้นฝั่งโดยตรงบนเกาะคีวชูและเกาะชิโกกุ แต่แถบเมฆฝนด้านนอกได้ส่งผลกระทบกับสองเกาะดังกล่าว โดยในเกาะชิโกกุ วัดปริมาณน้ำฝนสะสมได้ถึง 300 มม. ในจังหวัดนางาซากิกว่า 12,000 ครัวเรือนต้องอยู่อาศัยโดยไร้ไฟฟ้า[117] ส่วนในจังหวัดฟูกูโอกะ มีรายงานผู้เสียชีวิตจากฝนตก[118] โดยมีความเสียหายภาคการเกษตรในจังหวัดโอกินาวะและจังหวัดมิยาซากิประมาณ 12.17 พันล้านเยน (106.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.5 พันล้านบาท)[119][120]
โดยที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพายุกองเร็ย แต่พายุเฮอร์ริเคนวาลากานั้นได้ทวีกำลังถึงพายุเฮอร์ริเคนระดับ 5 ในเวลาเดียวกันกับที่พายุกองเร็ยทวีกำลังถึงพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 ทำให้เหตุการณ์นี้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ที่มีพายุหมุนเขตร้อนที่มีความรุนแรงในระดับ 5 เกิดขึ้นโดยพร้อมกันในซีกโลกเหนือ[121]
พายุไต้ฝุ่นยวี่ถู่
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 21 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน |
---|
ความรุนแรง | 215 กม./ชม. (130 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 900 mbar (hPa; 26.58 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: โรซีตา
- วันที่ 21 ตุลาคม กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นเริ่มติดตามเส้นทางเดินของพายุดีเปรสชันที่ก่อตัวขึ้นทางตะวันออกของกวมและหมู่เกาะมาเรียนา พร้อมทั้งเริ่มออกคำแนะนำกับระบบ ต่อมาศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ออกรหัสเรียกกับระบบว่า 31W ต่อมาพายุลูกนี้ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อจากกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นว่า ยวี่ถู่ (Yutu)
- วันที่ 22 ตุลาคม เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม อันประกอบด้วย มีลมเฉือนต่ำ และอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูง เอื้ออำนวยให้พายุยวี่ถู่เกิดการทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีความรุนแรงถึงพายุโซนร้อนกำลังแรงและพายุไต้ฝุ่น ภายในไม่กี่ชั่วโมงนับจากนั้น
- วันที่ 23 ตุลาคม พายุยวี่ถู่ยังคงทวีกำลังแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว จนบรรลุความรุนแรงเป็นถึงพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5
- วันที่ 24 ตุลาคม พายุไต้ฝุ่นยวี่ถู่ยังคงทวีกำลังแรงขึ้นต่อไปอีก และแสดงออกให้เห็นถึงโครงสร้างการพาความร้อนที่ดีของตัวระบบ ขณะที่กำลังเคลื่อนตัวไปทางเกาะไซปัน ต่อมาพายุไต้ฝุ่นยวี่ถู่ได้พัดขึ้นฝั่งที่เกาะติเนียน ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของไซปัน และกลายเป็นพายุที่รุนแรงที่สุดที่มีผลกระทบต่อหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนาเท่าที่เคยบันทึกมา[122][123]
- วันที่ 25 ตุลาคม หลังจากพัดขึ้นฝั่งที่เกาะไซปันแล้ว พายุยวี่ถู่ได้เข้าสู่วัฏจักรการแทนที่กำแพงตา ซึ่งกระบวนการได้เสร็จสมบูรณ์ลงในวันรุ่งขึ้น ผลที่ได้ไม่ดีนัก ซึ่งตาของพายุดูรุ่งริ่งและมีเมฆเข้ามาปกคลุม
- วันที่ 27 ตุลาคม ตาพายุของพายุไต้ฝุ่นยวี่ถู่กลับมาปรากฏให้เห็นชัดได้อีกครั้ง และเมฆที่ก่อตัวในศูนย์กลางของพายุได้สลายไปจนหมด ทำให้ระบบทวีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาในช่วงปลายของวัน ได้ปรากฏเมฆในตาพายุอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในท้ายที่สุดทำให้การทวีกำลังของยวี่ถู่หยุดลง และเริ่มอ่อนกำลังลงเล็กน้อย
- วันที่ 28 ตุลาคม เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เมฆส่วนใหญ่ในศูนย์กลางของพายุยวี่ถู่หายไป แต่การทวีกำลังแรงของพายุนั้นไม่กลับคืนมา เนื่องจากมีลมเฉือนแนวตั้ง และอุณหภูมิน้ำทะเลที่เย็นลง ต่อมายวี่ถู่ได้อ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปริมาณความจุความร้อนที่พื้นผิวน้ำทะเลลดลงอย่างฮวบฮาบ และถูกโจมตีด้วยลมเฉือนตะวันตก ทำให้โครงสร้างการพาความร้อนไม่ดีต่อพายุ และกำแพงตาด้านในเริ่มจะสลายตัว จนความรุนแรงได้ลดลงในที่สุด
- วันที่ 30 ตุลาคม หลังจากที่พัดขึ้นฝั่งแล้ว การพาความร้อนส่วนใหญ่ของพายุยวี่ถู่หยุดการทำงาน และโครงสร้างโดยรวมของพายุเริ่มพังลงเนื่องจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่ลดลง อีกทั้งกระแสลมเฉือนตะวันตกยังเป็นเหตุให้พายุอ่อนกำลังลง โดยยวี่ถู่อ่อนกำลังลงไปเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง ลมเฉือนยังเป็นสาเหตุในยวี่ถู่อ่อนกำลังลงอีกเป็นพายุโซนร้อน แม้ว่าจะยังมีการไหลเวียนที่ชัดเจนอยู่ก็ตาม
ในวันที่ 25 ตุลาคม ที่เกาะไซปัน พายุไต้ฝุ่นยวี่ถู่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งคน เมื่อพายุยวี่ถู่ทำให้อาคารที่เธออยู่ภายในถล่มลง และยังให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวน 133 คน โดยสามรายนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส บนเกาะไซปันที่อยู่ใกล้กับเกาะติเนียนนั้น ลมแรงจากพายุยวี่ถู่ทำให้เสาไฟฟ้าหักโค่นกว่า 200 ต้น อาคารส่วนใหญ่ในตอนใต้ของไซปันโดนพัดหลังคาหายไปหรือโดนพัดจนหลังคาถล่มลง รวมถึงมีโรงเรียนมัธยมถล่มด้วย[124]
พายุโซนร้อนกำลังแรงอูซางิ
พายุโซนร้อนกำลังแรง (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 1 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 9 – 26 พฤศจิกายน |
---|
ความรุนแรง | 110 กม./ชม. (70 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 990 mbar (hPa; 29.23 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: ซามูเวล
- วันที่ 3 พฤศจิกายน ศูนย์เฮอร์ริเคนแปซิฟิกกลางได้เริ่มติดตามพื้นที่ของอากาศแปรปรวนที่ก่อตัวขึ้นในแอ่งแปซิฟิกกลาง[125]
- วันที่ 6 พฤศจิกายน พื้นที่ของอากาศแปรปรวนดังกล่าวเคลื่อนตัวออกนอกแอ่ง และเข้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกโดยไม่มีการพัฒนาตัวขึ้น[126]
- วันที่ 9 พฤศจิกายน กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้เริ่มติดตามพายุดีเปรสชันเขตร้อนในมหาสมุทรแปซิฟิก ต่อมาจึงสิ้นสุดการติดตามลงในช่วงปลายของวัน
- วันที่ 16 พฤศจิกายน กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นเริ่มติดตามหย่อมความกดอากาศที่ทวีกำลังขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนอีกครั้ง
- วันที่ 18 พฤศจิกายน PAGASA ใช้ชื่อท้องถิ่นกับพายุดีเปรสชันเขตร้อนว่า ซามูเวล (Samuel) พร้อมทั้งออกการเตือนภัยในเกาะมินดาเนาและวิซายัส
- วันที่ 20 พฤศจิกายน พายุดีเปรสชันเขตร้อนพัดขึ้นฝั่งในประเทศฟิลิปปินส์ทำให้มันอ่อนกำลังลงเล็กน้อยเนื่องจากเคลื่อนตัวผ่านหมู่เกาะ และเคลื่อนตัวลงสู่ทะเลจีนใต้จึงได้กลับมาทวีกำลังแรงอีกครั้ง
- วันที่ 22 พฤศจิกายน พายุดีเปรสชันเขตร้อนทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อว่า อูซางิ (Usagi)
- วันที่ 24 พฤศจิกายน ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ปรับความรุนแรงของพายุโซนร้อนเป็นพายุไต้ฝุ่น ต่อมาในเวลา 06:00 UTC กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นก็ได้ปรับความรุนแรงของพายุโซนร้อนกำลังแรงอูซางิเป็นพายุไต้ฝุ่น ต่อมาในเวลา 12:00 UTC กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ปรับลดความรุนแรงของอูซางิลงเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรงอีกครั้ง
- วันที่ 26 พฤศจิกายน อูซางิพัดขึ้นฝั่งทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม และอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อน
พายุอูซางิสร้างความเสียหายในประเทศฟิลิปปินส์ โดยทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งราย และภาคการเกษตรเสียหาย 52.2 ล้านเปโซฟิลิปปินส์ (9.94 แสนดอลลาร์สหรัฐ)[127][128] ส่วนในประเทศเวียดนาม พายุอูซางิพัดขึ้นฝั่งในบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ทำให้เกิดอุทกภัยในนครโฮจิมินห์ และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 3 ราย[129] สร้างความเสียหายกับประเทศเวียดนาม 3.47 แสนล้านด่ง (15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 471 ล้านบาท)[130]
พายุโซนร้อนโทราจี
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุดีเปรสชันเขตร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 17 – 18 พฤศจิกายน |
---|
ความรุนแรง | 65 กม./ชม. (40 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 1004 mbar (hPa; 29.65 inHg) |
---|
- วันที่ 17 พฤศจิกายน กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นเริ่มติดตามพายุดีเปรสชันเขตร้อนที่ก่อตัวขึ้นในทะเลจีนใต้ ทางตะวันออกของประเทศเวียดนาม โดยระบบเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกด้วยความเร็ว 13 นอต และมีความเร็วลมที่ศูนย์กลางประมาณ 30 นอต[131] ส่วนศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ออกประกาศการแจ้งเตือนการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อนกับระบบ[132] ในขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยาก็ได้เริ่มติดตามพายุดีเปรสชันลูกนี้เช่นกัน[133] ต่อมากรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ปรับความรุนแรงของพายุดีเปรสชันเขตร้อนเป็นพายุโซนร้อน และใช้ชื่อ โทราจี (Toraji)
- วันที่ 18 พฤศจิกายน โทราจีได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนบริเวณชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม และอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วหลังจากพัดขึ้นฝั่ง โดยหย่อมความกดอากาศต่ำที่หลงเหลือเคลื่อนตัวลงสู่อ่าวไทย และเริ่มจัดระบบอีกครั้ง
- วันที่ 20 พฤศจิกายน ศูนย้เตือนไต้ฝุ่นร่วมจัดให้ระบบเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม โทราจีพัดขึ้นฝั่งครั้งที่สองในคาบสมุทรมลายู
- วันที่ 21 พฤศจิกายน โทราจีอ่อนกำลังลงและสลายตัวไปในที่สุด เนื่องจากลมปรปักษ์ (Hostile winds) บริเวณช่องแคบมะละกา
พายุไต้ฝุ่นหม่านหยี่
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 2 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 20 – 28 พฤศจิกายน |
---|
ความรุนแรง | 150 กม./ชม. (90 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 955 mbar (hPa; 28.2 inHg) |
---|
ชื่อของ PAGASA: โตมัส
- วันที่ 19 พฤศจิกายน พายุดีเปรสชันเขตร้อนก่อตัวขึ้นทางด้านตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ หลังจากนั้นไม่นานได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนร้อน และได้รับชื่อว่า หม่านหยี่ (Man-yi)
- วันที่ 21 พฤศจิกายน พายุหม่านหยี่มีกำลังเป็นพายุไต้ฝุ่น และเข้าสู่พื้นที่รับผิดชอบของฟิลิปปินส์ ทำให้พายุไต้ฝุ่นได้รับชื่อจาก PAGASA ว่า โตมัส (Tomas)
- วันที่ 25 พฤศจิกายน พายุไต้ฝุ่นหม่านหยี่อ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน
- วันที่ 26 พฤศจิกายน พายุโซนร้อนหม่านหยี่อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อน และกลายเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน