ประวัติศาสตร์ ของ ศิลปะการใช้ตัวพิมพ์ไทย

การพิมพ์ไทยครั้งแรก

หน้า 84 จาก A Grammar of the Thai or Siamese Language ของ เจมส์ โลว์

ก่อนที่จะมีการพิมพ์อักษรไทย มีการพัฒนาอักษรไทยตามธรรมเนียมอักษรวิจิตร โดยบันทึกการเขียนส่วนใหญ่อยู่ในรูปต้นฉบับหนังสือพับที่เรียกว่าสมุดข่อย[1] บันทึกที่กล่าวถึงการพิมพ์ปรากฏครั้งแรกในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199 – 2231) แห่งอาณาจักรอยุธยา กระนั้นก็ไม่พบหลักฐานการพิมพ์เอกสารภาษาไทย จนกระทั่ง พ.ศ. 2331 ในช่วงต้นอาณาจักรรัตนโกสินทร์ เมื่ออาร์โนด์-อองตวน การ์โนต์ (Arnaud-Antoine Garnault) มิชชันนารีคาทอลิกชาวฝรั่งเศส ได้นำคำสอนและไพรเมอร์ที่พิมพ์ในเมืองปอนดิเชอร์รี ใน French India อันมีข้อความภาษาไทยในรูปแบบการถอดอักษรไทยเป็นอักษรโรมัน มาเผยแพร่ในสยาม และต่อมาการ์โนลต์ได้ก่อตั้งโรงพิมพ์ในกรุงเทพฯ [2]

การพิมพ์อักษรไทยนั้นริเริ่มโดยมิชชันนารีโปรเตสแตนต์ โดยในปี พ.ศ. 2362 แอนน์ ฮัสเซลไทน์ จัดสัน (Ann Hasseltine Judson) มิชชันนารีชาวอเมริกันผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนต์ในพม่า แปลพระวรสารนักบุญมัทธิวรวมทั้งคำสอนและแผ่นพับเป็นภาษาไทย[2] เธอได้เรียนรู้ภาษาไทยจากเชลยศึกไทยที่ถูกย้ายมาหลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2310 คำสอนดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์เมื่อปลายปีที่สำนักพิมพ์ศรีรามปุระมิชชันในศรีรามปุระ, ชานเมืองโกลกาตา ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของเดนมาร์กในขณะนั้น นี่เป็นการพิมพ์อักษรไทยครั้งแรกสุดที่มีหลักฐาน แม้สำเนาของเอกสารเหล่านั้นจะสูญหายไปหมดตามกาลเวลาก็ตาม[2] ไทป์เฟซนี้อาจถูกสร้างโดยนักพิมพ์มิชชันนารี George H. Hough ซึ่งเคยร่วมงานกับจัดสันในพม่า ฟอนต์เดียวกันนี้อาจจะถูกนำมาใช้ในภายหลังในปี พ.ศ. 2371 เพื่อพิมพ์ A Grammar of the Thai or Siamese Language โดยกัปตัน เจมส์ โลว์ แห่งบริษัทอินเดียตะวันออก[3][4] หนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์ที่สำนักพิมพ์ Baptist Mission ในเมืองโกลกาตา ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของคณะเผยแผ่ศรีรามปุระ และเป็นสื่อสิ่งพิมพ์อักษรไทยที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังมีสำเนาหลงเหลืออยู่[2]

ในปี พ.ศ. 2366 ซามูเอล มิลตันได้ซื้อชุดฟอนต์ชุดหนึ่งสำหรับดำเนินการพิมพ์ของสมาคมมิชชันนารีลอนดอน (London Missionary Society หรือ LMS) ในสิงคโปร์[2] แผนกสื่อของ LMS ไม่ค่อยจะตีพิมพ์ภาษาไทยซักเท่าไร จนกระทั่งต้นคริสต์ทศวรรษ 1830 เมื่อมิชชันนารีโปรเตสแตนต์เริ่มเข้ามาพำนักในกรุงเทพฯ คำแปลของพระวรสารนักบุญลูกาโดย คาร์ล กุตซ์ลาฟฟ์ ได้จัดพิมพ์ในปี พ.ศ. 2377 และเป็นการพิมพ์พระคัมภีร์ไบเบิลฉบับอักษรไทยครั้งแรกสุดที่ยังมีสำเนาเหลืออยู่[2][5] ไทป์เฟซที่ใช้แตกต่างอย่างชัดเจนจากของโลว์ และอาจเป็นฟอนต์รุ่นใหม่ในภายหลัง[4]

การนำเข้ามาในประเทศไทย

หน้าแรกของบางกอกรีกอเดอฉบับแรก ตีพิมพ์เมื่อกรกฎาคม พ.ศ. 2387

การพิมพ์อักษรไทยมาถึงสยามเมื่อแพทย์มิชชันนารีชาวอเมริกัน แดน บีช แบรดลีย์ มาถึงกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2378 โดยนำแท่นพิมพ์เก่าพร้อมไทป์เฟซตัวอักษรไทย จากสำนักพิมพ์ในสิงคโปร์มาด้วย (ซึ่งได้รับจาก คณะกรรมการคณะกรรมาธิการต่างประเทศแห่งอเมริกา (American Board of Commissioners for Foreign Missions หรือ ABCFM) เมื่อหนึ่งปีก่อน)[2] แบรดลีย์ทำงานร่วมกับผู้สอนศาสนาอีกสองสามคน และทำงานพิมพ์ได้สำเร็จในปีถัดมา ในไม่ช้านักพิมพ์จาก Baptist Board for Foreign Missions ก็มาเข้าร่วมกับพวกเขา ซึ่งนำอุปกรณ์การพิมพ์ใหม่ๆ มาใช้ จึงสามารถเริ่มผลิตสื่อทางศาสนาเพื่อแจกจ่ายได้ ต่อมาเหล่า ABCFM และBaptist ได้จัดตั้งโรงพิมพ์แยกกัน แต่ในตอนแรก พวกเขาอาศัยการแบ่งปันชุดไทป์เฟซต้นฉบับที่นำมาจากสิงคโปร์[2] ในตอนแรกผู้สอนศาสนาสั่งไทป์เฟซใหม่จากสิงคโปร์และปีนัง แต่พบว่าคุณภาพยังไม่พึงพอใจ ในที่สุดพวกเขาก็ประสบความสำเร็จในการประดิษฐ์ไทป์เฟซของตัวเองในปี พ.ศ. 2384[6][7]

แม้ว่าเหล่ามิชชันนารีจะมิได้ทำให้คนเปลี่ยนศาสนาเป็นวงกว้าง แต่เทคโนโลยีการพิมพ์ที่พวกเขาริเริ่มมีผลกว้างขวาง และแบรดลีย์ก็เป็นที่รู้จักในฐานะนักพิมพ์และได้ผลิตผลงานที่มีอิทธิพลมากมาย ในปี พ.ศ. 2382 รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ว่าจ้าง ABCFM ให้จัดทำเอกสารราชการฉบับแรกของประเทศ ได้แก่ พระราชกฤษฎีกาห้ามใช้หรือขายฝิ่นจำนวน 9,000 ฉบับ[lower-alpha 1][2][7] แบรดลีย์ประพันธ์และพิมพ์บทความทางการแพทย์หลายฉบับ ออกหนังสือพิมพ์ภาษาไทยฉบับแรกคือบางกอกรีกอเดอในปี พ.ศ. 2387 และตีพิมพ์หนังสือหลายเล่ม รวมทั้ง นิราศลอนดอน ซึ่งเป็นงานไทยเล่มแรกที่มีการชำระค่าธรรมเนียมลิขสิทธิ์ ในปี พ.ศ. 2404[3] การพิมพ์ของเขาได้รับความสนใจจากเชื้อพระวงศ์ และคนไทยชั้นสูง โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ซึ่งในขณะนั้นดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎ และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ) ซึ่งก่อตั้งโรงพิมพ์ของตนเองที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหารและสร้างไทป์เฟซไทยของตนเอง และสร้างสรรค์วิธีการเขียนใหม่ คืออักษรอริยกะ เพื่อพิมพ์ภาษาบาลีที่ใช้เป็นคัมภีร์ทางพุทธศาสนา[lower-alpha 2][2][6] เมื่อทรงขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2394 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงก่อตั้งสำนักพิมพ์ใน พระบรมมหาราชวังซึ่งจัดพิมพ์สิ่งพิมพ์อย่างเป็นทางการ รวมทั้งราชกิจจานุเบกษาที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่[3][6]

ไทป์เฟซแรกสุดที่ใช้โดยโรงพิมพ์เหล่านี้มีพื้นฐานมาจากรูปแบบการเขียนด้วยลายมือในยุคนั้น มีลักษณะเป็นรูปทรงเหลี่ยมเป็นส่วนใหญ่เส้นมีความหนาเท่ากัน และมีลักษณะเอียงตลอด ขณะที่แบรดลีย์ขัดเกลางานฝีมือของเขา เขาก็เปลี่ยนไปใช้ไทป์เฟซตั้งตรงโดยมีโครงร่างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้ง (ดังที่เห็นในบางกอกรีกอเดอ) และต่อมาก็ได้ใช้เส้นโค้งมนกับ นิราศลอนดอน งานของเขาจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อนักพิมพ์รุ่นหลัง[1][8]

การแพร่หลาย

การพิมพ์ได้ปูทางไปสู่ความทันสมัยของประเทศในสมัยรัชกาลถัดมาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2411-2453) แซมมวล เจ. สมิธ กับนักพิมพ์รายอื่นๆ ร่วมงานกับแบรดลีย์ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1860 และพวกเขาริเริ่มการตีพิมพ์หนังสือ โดยผลิตหนังสือเกี่ยวกับข้อเท็จจริงมากมายรวมถึงวรรณกรรมยอดนิยม[6][9] การเผยแพร่ข้อความอย่างกว้างขวางซึ่งก่อนหน้านี้จำกัดอยู่เพียงต้นฉบับได้เปลี่ยนแนวความคิดเกี่ยวกับความรู้ของสังคม โรงพิมพ์เอกชนหลายสิบแห่งเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษต่อๆ มา และห้องสมุดวชิรญาณได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ส่วนกลางและหน่วยงานกำกับดูแลการตีพิมพ์ โดยดูแลการผลิตหนังสือประเภทใหม่ที่เรียกว่า หนังสืองานศพและมีผลช่วยสร้างมาตรฐานอักขรวิธีของภาษา ไทป์เฟซที่โดดเด่นในยุคนี้เป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันในชื่อ"ธงสยาม" ซึ่งตั้งชื่อตามที่ใช้ใน กฎข้อบังคับเกี่ยวกับธงสำหรับราชอาณาจักรสยาม พิมพ์ในปี พ.ศ. 2442 โดย W. Drugulin ในไลพ์ซิช ประเทศเยอรมนี [9]

เครื่องพิมพ์ดีดก็ได้รับนำเข้ามาในประเทศในเวลานี้ เครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทยเครื่องแรกได้รับการพัฒนาโดย Edwin McFarland ในปี พ.ศ. 2435 เครื่องพิมพ์ดีดได้รับการนำไปใช้อย่างกว้างขวางจากรัฐบาล และช่วยเปลี่ยนการบริหารประเทศให้เป็นระบบราชการสมัยใหม่ พวกเขายังได้แก้ไขภาษาด้วย เนื่องจากเครื่องพิมพ์ดีดในสมัยนั้นไม่สามารถรองรับอักษรไทยได้ทั้งหมด McFarland จึงตัดสินใจตัดพยัญชนะที่ใช้น้อยออกไปสองตัว คือ ฃ และ ฅ[10][11]

โรงเรียนในระบบแห่งแรกก่อตั้งขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเนื่องจากการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ขยายออกไปมากขึ้นภายใต้รัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6 พ.ศ. 2453-2468) จึงมีความต้องการหนังสือเรียนเพื่ออำนวยความสะดวกในการสอน โรงพิมพ์หลายแห่งที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตหนังสือเรียน ได้แก่ สำนักพิมพ์อักษรนิตย์ ซึ่งมีไทป์เฟซวิทยาจันทร์ อันเป็นที่โดดเด่นในสมัยนั้น นอกจากนี้ คณะผู้แทนคาทอลิกกรุงเทพฯ ยังทรงอิทธิพลในด้านการบุกเบิกการศึกษา และก่อตั้ง โรงเรียนอัสสัมชัญ ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรียนที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ ผลงานที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อัสสัมชัญ ได้แก่ หนังสือเรียนภาษาไทยระดับประถมศึกษา ดรุณศึกษา โดยบาทหลวงและอาจารย์ชาวฝรั่งเศส เอฟ. ฮิแลร์ ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2457 และยังคงพิมพ์ต่อไปในอีกหนึ่งศตวรรษต่อมา ไทป์เฟซที่เหล่าผู้พิมพ์ชื่นชอบคือฝรั่งเศสซึ่งออกแบบในปี พ.ศ. 2456 เป็นไทป์เฟซชนิดแรกที่ใช้ลายเส้นหนาและบาง สะท้อนถึงไทป์เฟซละตินแบบมีเชิงเก่า และได้รับความนิยมอย่างมาก โดยมีไทป์เฟซหลายตัวที่พัฒนาต่อมาจากฝรั่งเศสที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในยุคดิจิทัล เช่น กินรี (Kinnari) และอังสนา (Angsana)[12]

ปกนวนิยายแผลเก่า ตีพิมพ์ เมื่อ พ.ศ. 2479

รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังเป็นจุดเริ่มต้นของสื่อที่เจริญรุ่งเรือง และอุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์ก็เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ 1930 ตามมาด้วย นิตยสารเยื่อกระดาษ[13][14] เวทีใหม่สำหรับวาทกรรมสาธารณะมีส่วนทำให้มีการยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปี พ.ศ. 2475 และในขณะที่หนังสือพิมพ์เริ่มมีเรื่องการเมืองมากขึ้น ความต้องการพาดหัวข่าวประเภทต่างๆก็มีมากขึ้นตามไปด้วย มีการสร้างไทป์เฟซใหม่จำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากไทป์เฟซไม้แกะสลักที่นำเข้ามาโดยโดยผู้อพยพชาวจีน ซึ่งครองตลาดเมื่อมีการเปิดตัวบริษัทผลิตไทป์เฟซ (type foundry) โดยเฉพาะ การพิมพ์และการเรียงพิมพ์กลายเป็นงานฝีมือที่ได้รับการยอมรับ และโรงเรียนการค้าโดยเฉพาะเริ่มสอนในปี พ.ศ. 2475 ฟอนต์ตัวเอียงแท้ (italic) และตัวเอียงเทียม (oblique) ถูกนำมาใช้ โดยตัวอย่างแรกสุดพบในปี พ.ศ. 2468[13] และฟอนต์ตัวหนาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่นอกเหนือจากขนาดตัวอักษรที่ละเอียดยิ่งขึ้นแล้ว ก็ไม่ค่อยมีนวัตกรรมใดๆ ในด้านไทป์เฟซตัวข้อความมาเป็นหลายๆ ทศวรรษ ในขณะเดียวกัน มีเทรนด์เกิดขึ้นในรูปแบบของร้านขายงานฝีมือที่ให้บริการสร้างข้อความตกแต่งที่วาดด้วยมือตามสั่งสำหรับการพิมพ์แผ่นทองแดง รูปแบบข้อความแบบบล็อกเหลี่ยมเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ และใช้กับปกนิตยสารและไทป์เฟซโลโก้โดยเฉพาะ[14] นอกจากนี้ยังได้รับความนิยมในการทำป้าย โดยส่วนใหญ่มาแทนที่สไตล์นริศ (ตั้งชื่อตามผู้ออกแบบคือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์) คล้ายอักษรนิลที่ใช้มาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19[15][16]

เปลี่ยนจากไทป์เฟซโลหะ

ระหว่างปี 1957 ถึง 1962 เทคโนโลยีการพิมพ์ของการเรียงพิมพ์โลหะร้อน (hot metal typesetting) และการเรียงพิมพ์ด้วยแสง (phototypesetting) ได้รับการริเริ่มโดยผู้จัดพิมพ์รายใหญ่ ไทยวัฒนาพานิช (Thai Watana Panich หรือ TWP) นำระบบโมโนไทป์ มาใช้ และร่วมมือกับโมโนไทป์คอร์ปอเรชั่นเพื่อพัฒนาไทป์เฟซโมโนไทป์ที่มีอักษรไทยสำหรับการใช้งาน ในช่วงเวลาเดียวกันโรงพิมพ์คุรุสภา (หน่วยงานย่อยของกระทรวงศึกษาธิการ) ก็ได้พัฒนาแบบอักษรของคุรุสภา เพื่อใช้กับเครื่องอัดภาพ และกระทรวงศึกษาธิการได้รับทุนจาก Tokyo Book Development Center และ ยูเนสโกเพื่อพัฒนาไทป์เฟซใหม่ ปัจจุบันไทป์เฟซนั้นรู้จักกันในชื่อยูเนสโก ไทป์เฟซเหล่านี้มีความกว้างของลายเส้นที่สม่ำเสมอและเส้นโค้งที่เรียบ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้รับความสนใจจากอุตสาหกรรมในวงกว้าง และในไม่ช้าระบบโมโนไทป์ก็ล้าสมัยเนื่องจากมีการพิมพ์ออฟเซต ข้อยกเว้นคือ Thai Medium 621 ซึ่งนำมาใช้กับหนังสือเรียนของ TWP ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และยังคงได้รับความนิยมในทศวรรษต่อๆ มา[17]

แผ่นตัวอักษรฟอนต์มานพติก้าแบบ dry-transfer

ในคริสต์ทศวรรษ 1970 ได้นำ ตัวอักษรแบบ dry-transfer มาใช้งานในประเทศไทยโดย DHA Siamwalla ผ่านทางความร่วมมือกับ Mecanorma จากเนเธอร์แลนด์ ความเข้ากันได้กับเทคโนโลยีการพิมพ์ออฟเซตใหม่ช่วยเพิ่มความนิยมในการสร้างตัวอักษรแสดงผลในการโฆษณา การพิมพ์ข่าว และการสร้างสื่อทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2516-2519 ฟอนต์ส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบโดยมานพ ศรีสมพร ผู้สร้างนวัตกรรมครั้งสำคัญในรูปแบบของตัวอักษรแบบไม่มีหัว ซึ่งละทิ้งรูปทรงตัวอักษรธรรมดาๆ ไปสู่รูปแบบที่เรียบง่ายและจุลนิยม ไทป์เฟซที่รู้จักกันดีที่สุดคือมานพติก้าได้รับการออกแบบมาเพื่อกระตุ้นความรู้สึกของแบบอักษรละตินแบบไม่มีเชิงที่ชื่อเฮลเวติกา และเปิดตัวในปี พ.ศ. 2516 สไตล์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าทันสมัยและอินเทรนด์ ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการโฆษณา และยังคงเป็นเช่นนั้นมาจนถึงปัจจุบัน[18]

ในบรรดาผู้จัดพิมพ์ การเรียงพิมพ์ด้วยแสง เริ่มถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วงคริสต์ทศวรรษปี 1970-1980 ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของไทป์เฟซโลหะในอุตสาหกรรมการพิมพ์ของไทย ไทยรัฐ หนังสือพิมพ์ขายดีของประเทศ พัฒนาแบบอักษรใหม่สำหรับใช้กับเครื่อง Compugraphic ในปี พ.ศ. 2517

ไทป์เฟซ Tom Light ออกแบบโดย ทองเติม สมรสุต และเผยแพร่โดย บริษัท อีสท์ เอเชียติก (ประเทศไทย) ถูกสร้างขึ้นเป็นฟอนต์ข้อความสำหรับหนังสือพิมพ์ และมีการออกแบบทางเรขาคณิตที่สื่อถึงความรู้สึกทันสมัย ไทป์เฟซอื่นๆ เช่น ชวนพิมพ์ อู่ทอง และคลองล้าน เกิดขึ้นในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ[19]

ศิลปะการใช้ตัวพิมพ์ดิจิตอล

การพัฒนาไทป์เฟซดิจิทัลในยุคแรกๆ ส่วนใหญ่ดำเนินการโดยผู้ที่ชื่นชอบการเรียนรู้ด้วยตนเอง เช่น ภาณุทัต เตชะเสน นักศึกษาแพทย์ที่ผลิตแบบอักษรซีรีส์ JS[20]

ระบบคอมพิวเตอร์ที่รองรับภาษาไทยถูกนำมาใช้ในปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 ในรูปแบบของเครื่องเจาะบัตรและเครื่องพิมพ์แบบเรียงแถวโดย IBM การแสดงข้อความภาษาไทยแบบโต้ตอบบนหน้าจอเริ่มมีให้ใช้ในช่วงคริสต์ทศวรรษปี 1980 และโปรแกรมประมวลผลคำที่ใช้ DOS เช่น CU Writer ซึ่งเปิดตัวในปี พ.ศ. 2532 ก็ได้นำไปใช้อย่างกว้างขวาง[21] การมาถึงของการพิมพ์บนเดสก์ท็อปมาพร้อมกับแมคอินทอช ซึ่งนำเข้ามาครั้งแรกในปี พ.ศ. 2528 โดย Sahaviriya OA ซึ่งเป็นผู้พัฒนาฟอนต์คอมพิวเตอร์ไทยตัวแรกในรูปแบบ PostScript จากนั้นไม่นานบริษัทออกแบบตัวอักษรโดยเฉพาะมากมายได้เผยแพร่ไทป์เฟซที่ได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติม โดยเฉพาะซีรีส์ DB โดยสุรพล เวสารัชเวช (Suraphol Vesaratchavej) และปริญญา โรจรายานนท์ (Parinya Rojarayanond) จาก Dear Book (ต่อมารู้จักกันในชื่อ DB Design) และซีรีส์ PSL โดย PSL SmartLetter ไทป์เฟซใหม่เหล่านี้ เช่นเดียวกับฟอนต์ดิจิทัลที่มีพื้นฐานมาจากไทป์เฟซคลาสสิกก่อนหน้านี้ ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางในขณะที่อุตสาหกรรมสื่อเฟื่องฟูท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะหยุดชะงักจากพิษวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540[22]

ในช่วงแรกของการใช้คอมพิวเตอร์ การแพร่กระจายของระบบซอฟต์แวร์ทำให้เกิดปัญหาการทำงานร่วมกัน ส่งผลให้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ออกมาตรฐานหลายประการที่ครอบคลุมการจัดการภาษา สำหรับฟอนต์ทรูไทป์ การวางตำแหน่งที่ถูกต้องของอักขระที่บางตัวจำเป็นต้องใช้สัญลักษณ์พื้นที่ใช้งานส่วนตัว แต่สิ่งเหล่านี้ถูกกำหนดไว้แตกต่างกันระหว่างระบบวินโดวส์และระบบปฏิบัติการแมคอินทอช ส่งผลให้ไฟล์ฟอนต์สำหรับแต่ละระบบเข้ากันไม่ได้ ซอฟต์แวร์บางตัว โดยเฉพาะของ Adobe มีปัญหาที่มีมายาวนานเกี่ยวกับการวางตำแหน่งเครื่องหมายเหนือบรรทัด การนำรูปแบบโอเพนไทป์มาใช้คาดว่าจะช่วยบรรเทาปัญหานี้ได้[21]

กฎระเบียบด้านลิขสิทธิ์ยังล่าช้ากว่านวัตกรรมที่รวดเร็วและการแพร่กระจายของข้อมูล และผู้ออกแบบไทป์เฟซก็ประสบปัญหาในการสร้างรายได้จากผลงาน ซึ่งนำไปสู่การตกต่ำในช่วงแรก[23]แม้ว่าจะมีการออกกฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับใหม่ที่ให้ความคุ้มครองโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในปี พ.ศ. 2537 การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทป์เฟซก็ยังไม่ชัดเจน ปัญหานี้กลับมาเป็นเรื่องใหญ่ในปี พ.ศ. 2545 เมื่อ PSL เริ่มฟ้องร้องผู้จัดพิมพ์ที่ใช้ไทป์เฟซของตนโดยไม่ได้รับอนุญาตเนื่องจากละเมิดลิขสิทธิ์ สิ่งนี้นำไปสู่การถกเถียงอย่างดุเดือดและข้อขัดแย้งกับอุตสาหกรรมการพิมพ์ ซึ่งเชื่อว่าการออกแบบฟอนต์เป็นสาธารณสมบัติ และมองว่าแนวทางปฏิบัติของ PSL เป็นการดำเนินคดีแบบเอาเปรียบ ในท้ายที่สุด การรณรงค์นี้นำไปสู่การตระหนักรู้และการยอมรับฟอนต์คอมพิวเตอร์ในฐานะสินค้าที่ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศได้มีคำตัดสินให้ PSL ชนะในปี 2546 ว่าฟอนต์ได้รับการคุ้มครองในฐานะโปรแกรมคอมพิวเตอร์[20][24]

ปริญญา โรจรยานนท์ บรรยายที่ค่ายเยาวชนเพื่อการออกแบบตัวอักษรในปี พ.ศ. 2554 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการริเริ่มเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อสาธารณะที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2553 เพื่อส่งเสริมการออกแบบตัวอักษร

หนึ่งในการตอบสนองต่อปัญหานี้คือการแพร่หลายของฟอนต์คอมพิวเตอร์ที่ให้ใช้งานกันได้อย่างเสรี ก่อนหน้านี้ ในปี พ.ศ. 2544 NECTEC ได้เปิดตัวแบบอักษร 3 แบบ ได้แก่ กินรี (Kinnari) ครุฑ (Garuda) และนรสีห์ (Norasi) ภายใต้โครงการ ฟอนต์แห่งชาติ โดยตั้งใจให้ไทป์เฟซเหล่านี้เป็นทางเลือกสาธารณะแทนไทป์เฟซเชิงพาณิชย์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแต่มีการจำกัดใบอนุญาต ซึ่งมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันหลักๆ[23] (สำหรับวินโดวส์ ไทป์เฟซเหล่านี้เป็นชุดไทป์เฟซซีรีส์ UPC ที่สร้างโดย Unity Progress ซึ่งอิงโครงมาจากไทป์เฟซหลักๆ ก่อนหน้านี้) โครงการนี้ได้รับการขยายต่อในปี พ.ศ. 2550 เมื่อสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติร่วมกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาออกไทป์เฟซสิบสามตัวที่ผ่านการประกวดระดับประเทศ ไทป์เฟซตัวที่โด่งดังมากที่สุดในหมู่ไทป์เฟซเหล่านั้นคือสารบรรณ (Sarabun) ซึ่งในปี พ.ศ. 2553 ได้รับการจัดตั้งให้เป็นไทป์เฟซอย่างเป็นทางการสำหรับเอกสารราชการทั้งหมด แทนที่ไทป์เฟซอังสนา ที่เป็นมาตรฐานโดยพฤตินัยมาก่อนหน้านี้ (ตระกูลไทป์เฟซ UPC ที่อิงโครงมาจากฝรั่งเศส)[25] นอกจากนี้ เว็บไซต์ชุมชน f0nt.com ซึ่งโฮสต์ไทป์เฟซมากมายที่ให้สิทธิ์ผู้อื่นไปใช้ได้อย่างเสรี โดยซึ่งส่วนใหญ่ผู้สร้างไทป์เฟซเหล่านั้นเป็นมือสมัครเล่น นอกจากนี้ สมาคมการค้าของอุตสาหกรรมการพิมพ์ (ก่อตั้งขึ้นในปี 2547)[26] ยังได้เปิดตัวไทป์เฟซที่ให้สิทธิ์ผู้อื่นไปใช้ได้อย่างเสรีของตนเองในเวลาต่อมา[20]

ภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงนำไปสู่การฟื้นคืนชีพอย่างค่อยเป็นค่อยไปในการออกแบบไทป์เฟซดิจิทัล โดยมีผู้เล่นรายใหม่เข้าร่วมตลาด เช่น คัดสรร ดีมาก (Cadson Demak) ที่เน้นไปที่การออกแบบแบบสั่งทำสำหรับองค์กร โดยอนุทิน วงศ์ศุลกากรณ์หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งคัดสรร ดีมากในปี พ.ศ. 2545 ได้ออกแบบฟอนต์แบบกำหนดเองตัวแรกๆ ในตลาดให้กับ เอไอเอส ซึ่งเป็นหนึ่งในสามผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่หลักของประเทศไทย ซึ่งต้องการสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในช่วงเวลาที่ทั้งสามบริษัทใช้ไทป์เฟซเดียวกันในการทำการตลาด[27][28] อุตสาหกรรมเติบโตขึ้นตั้งแต่นั้นมา และสาขาการพิมพ์ดิจิทัลและการออกแบบตัวอักษรก็เป็นที่สนใุของสาธารณชนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงคริสต์ทศวรรษ 2010 ในปี พ.ศ. 2556 ผู้ออกแบบไทป์เฟซดิจิทัล 12 แห่งในประเทศไทยได้รวมตัวกันก่อตั้งสมาคมศิลปะการใช้ตัวพิมพ์กรุงเทพฯ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม[29][30][31] แนวโน้มที่เห็นในช่วงเวลานี้คือไทป์เฟซอักษรไทยไม่มีหัว (หรือ "คล้ายโรมัน") อย่างที่มานพได้ริเริ่ม ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มเห็นใช้กับข้อความเนื้อหาในนิตยสารบางฉบับในปี พ.ศ. 2542 ผู้ออกแบบไทป์เฟซยังได้ประดิษฐ์ไทป์เฟซอักษรไทยที่มีช่วงน้ำหนักฟอนต์ที่กว้างขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ไทป์เฟซอักษรไทยไม่มีหัว แม้ว่าการใช้งานยังคงเป็นประเด็นถกเถียงก็ตาม[1][32]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ศิลปะการใช้ตัวพิมพ์ไทย https://www.matichonweekly.com/column/article_7095... https://www.bangkokpost.com/life/social-and-lifest... http://postdiplome.esad-amiens.fr/wp-content/uploa... https://www.jstor.org/stable/40860231 http://commonplace.online/article/the-printing-pre... https://www.silpa-mag.com/history/article_18823 https://archive.org/details/isbn_9780195046458 https://archive.org/details/isbn_9780195046458/pag... http://saranukromthai.or.th/sub/book/book.php?book... http://saranukromthai.or.th/sub/book/book.php?book...