สงครามฝรั่งเศสและอินเดีย (
อังกฤษ: French and Indian War; ค.ศ. 1754–1763) เป็นสงครามรหว่างอาณานิคม
บริติชอเมริกาฝ่ายหนึ่ง และอาณานิคม
ฝรั่งเศสใหม่อีกฝ่ายหนึ่ง โดยที่อาณานิคมทั้งสองต่างก็ได้รับการสนับสนุนทางทหารจากประเทศแม่และพันธมิตร
ชาวพื้นเมือง ในช่วงต้นสงครามนั้นอาณานิคมฝรั่งเศสมีประชากรประมาณ 60,000 คน ในขณะที่ประชากรในอาณานิคมของบริเตนใหญ่มีจำนวนกว่า 2 ล้านคน
[4] ฝรั่งเศสผู้มีจำนวนน้อยกว่าจึงต้องหันไปพึ่งชาวพื้นเมืองบรรดาชาติยุโรปประกาศสงครามต่อกันใน ค.ศ. 1756 เป็นเวลาสองปีหลังจากสงครามฝรั่งเศสและอินเดียได้เริ่มขึ้น และหลายฝ่ายต่างมองว่าสงครามดังกล่าวเป็นแค่เขตการรบหนึ่งของ
สงครามเจ็ดปี ที่ดำเนินไปทั่วโลกระหว่าง ค.ศ. 1756–63 ในขณะที่สงครามฝรั่งเศสและอินเดียกลับถูกมองว่าเป็นสงครามแยกต่างหากในสหรัฐ โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในยุโรปแต่ประการใด
[5] ชาวแคนนาดาเชื้อสายฝรั่งเศสเรียกสงครามครั้งนี้ว่า
สงครามแห่งการพิชิต (Guerre de la Conquête).
[6][7]ชาวอาณานิคมบริเตนได้รับการสนับสนุนหลายครั้งจากชนเผ่า
อิโรคว็อยซ์ คาทอว์บาและ
เชอโรคี ส่วนฝรั่งเศสได้รับการสนับสนุนจากชนเผ่าที่เป็นสมาชิกของ
สมาพันธรัฐวาบานาคี ชาวอเบนาคี ชาวมิกแมก ชาวอัลกอนควิน ชาวเลนาเป ชาวโอจิบวา ชาวโอดาวา ชาวชอว์นี และ
ชาวไวยดอต[8] การปะทะเกิดขึ้นตามแนวพรมแดนแดนของอาณานิคมฝรั่งเศสใหม่และอาณานิคมของบริเตนเป็นหลัก ตั้งแต่
อาณานิคมเวอร์จิเนียทางใต้ ไปจนจรด
เกาะนิวฟันด์แลนด์ทางเหนือ สงครามมีสาเหตุมาจากปัญหาทางพรมแดนที่จุดบรรจบ (Confluence) ระหว่าง
แม่น้ำแอลลิเกนีและ
แม่น้ำโมนังกาฮีลา เรียกว่า
สามง่ามโอไฮโอ และเป็นที่ตั้ง
ป้อมดูว์แคนเนอร์ของฝรั่งเศส ซึ่งในภายหลังจะกลายเป็นที่ตั้งของเมือง
พิตต์สเบิร์ก ปัญหาดังกล่าวนำไปสู่การใช้กำลัง คือ
ยุทธการจูมอนวิลล์เกลน ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1754 ซึ่งเหล่าทหารอาสาเวอร์จิเนียภายใต้การบังคับบัญชาของ
จอร์จ วอชิงตัน ในวัย 22 ปี ซุ่มโจมตีหน่วยลาดตระเวนฝรั่งเศส
[9]ใน ค.ศ. 1755 ผู้ว่าการอาณานิคมหกรัฐได้เข้าพบกับพลเอก
เอ็ดเวิร์ด แบรดด็อก ผู้บังคับบัญชาของกองทัพบริเตนที่พึ่งมาถึงทวีปอเมริกาได้ไม่นาน เพื่อวางแผนโจมตีฝ่ายฝรั่งเศสจากสี่ทิศทาง ไม่มีครั้งใดเลยที่ประสบความสำเร็จ และ
ความพยายามครั้งสำคัญ โดยแบรดด็อกกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ แบรดด็อกพ่ายแพ้ใน
ยุทธการที่แม่น้ำโมนังกาฮีลา ในวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 1755 และเสียชีวิตลงในอีกไมกี่วันให้หลัง ปฏิบัติการทางทหารของบริเตนตามแนวชายแดนของ
อาณานิคมเพนซิลเวเนียและ
อาณานิคมนิวยอร์ก ระหว่าง ค.ศ. 1755–57 ไม่ประสบความสำเร็จ อันเนื่องมาจากหลายสาเหตุรวมกัน เช่น การบริหารจัดการที่ย่ำแย่ การแตกแยกจากภายใน หน่วยลาดตระเวนแคนนาดาที่มีประสิทธิภาพ การโจมตีจากทหารกองประจำการของฝรั่งเศสและพันธมิตรชาวพื้นเมือง ใน ค.ศ. 1755 ฝ่ายบริเตนสามารถเข้ายึดครอง
ป้อมบัวร์จูร์ ที่ตั้งอยู่บนชายแดนซึ่งแยก
โนวาสโกเชียออกจาก
อะคาดี และได้ทำการ
ขับไล่ชาวอะคาดี (ค.ศ. 1755–64) หลังจากนั้นไม่นาน ผู้บังคับบัญชาทหารสูงสุดฝ่ายบริเตน
วิลเลียม เชอร์ลีย์ ออกคำสั่งให้เนรเทศชาวอะคาดี โดยไม่รอแนวทางจากประเทศแม่ ชาวอะคาดีทั้งที่เป็นเชลยศึกและประกาศสวามิภักดิ์ต่อพระมหากษัตริย์แห่งบริเตนใหญ่ต่างถูกขับไล่ ชาวพื้นเมืองก็ถูกขับไล่เช่นกัน เพื่อเป็นการเปิดทางให้ผู้ตั้งถิ่นฐานจากนิวอิงแลนด์
[10]รัฐบาลอาณานิคมบริติชในโนวาสโกเชียล่มสลายลงหลังจากการทัพที่ล้มเหลวติดต่อกันหลายครั้งใน ค.ศ. 1757 ซึ่งรวมไปถึง
การทัพหลุยส์บวรก์และ
การล้อมป้อมวิลเลียมเฮนรี ซึ่งภายหลังจากศึกครั้งหลังนี้ยังมีการทรมานและสังหารหมู่ชาวอาณานิคมโดยชนพื้นเมืองด้วย หลังจากที่
วิลเลียม พิตต์ ผู้พ่อ ขึ้นสู่อำนาจ เขาได้ทำการเพิ่มทรัพยากรทางทหารของบริเตนใหญ่ในอาณานิคม ในขณะที่ฝรั่งเศสไม่ต้องการเสี่ยงส่งขบวนยุทธภัณฑ์ขนาดใหญ่ไปช่วยสนับสนุนกองกำลังในฝรั่งเศสใหม่ที่มีจำนวนจำกัด โดยหันไปรวบรวมกำลังเพื่อต่อกรกับ
ปรัสเซีย และพันธมิตรซึ่งเข้าร่วมสงครามเจ็ดปีในยุโรป การสู้รบในโอไฮโอยุติลงใน ค.ศ. 1758 ด้วยชัยชนะของฝ่ายบริติช–อเมริกันในโอไฮโอคันทรี ระหว่าง ค.ศ. 1758 และ 1760 กองทัพบริติชดำเนินการทัพเพื่อเข้ายึดครอง
แคนาดาของฝรั่งเศส พวกเขาสามารถเข้ายึดครองอาณานิคมโดยรอบได้สำเร็จ และท้ายที่สุดก็สามารถเข้ายึดครอง
เมืองคิวเบกได้ใน ค.ศ. 1759 ในปีถัดมาฝ่ายบริติชก็ได้รับชัยชนะใน
การทัพมอนทรีออล โดยที่ฝรั่งเศสยินยอมมอบแคนาดาให้บริเตนใหญ่ตามเงื่อนไขใน
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1763)ฝรั่งเศสยังส่งมอบดินแดนของตนทางตะวันออกของแม่น้ำมิสซิสซิปปีให้กับบริเตนใหญ่ ร่วมไปถึงถ่ายโอน
ลุยเซียนา ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของ
แม่น้ำมิสซิสซิปปี ให้กับสเปนผู้เป็นพันธมิตร เพื่อเป็นการชดเชย
ฟลอริดาที่สเปนเสียแก่บริเตนใหญ่ (สเปนจำต้องยกฟลอริดาให้กับบริเตนเพื่อแลกเอา
ฮาวานา กลับคืนมา) ทำให้ดินแดนอาณานิคมทางฝรั่งเศสทางตอนเหนือของทะเลแคริบเบียนเหลือเพียงเกาะ
แซ็งปีแยร์และมีเกอลงเท่านั้น สงครามครั้งนี้ยังช่วยยืนยันสถานะของบริเตนในฐานะเจ้าอาณานิคมรายใหญ่ใน
อเมริกาตอนเหนือ