ความหมายและที่มาของคำ ของ อาหารอินทรีย์

ถั่วงอกอินทรีย์แบบผสม

หากพิจารณาจากประวัติศาสตร์แล้ว สามารถกล่าวได้ว่า การทำเกษตรกรรมที่ผ่านมาได้ใช้วิธีการตามธรรมชาติมาโดยตลอด โดยเริ่มจากคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมาเท่านั้น ที่เริ่มมีการนำสารเคมีจำนวนมากมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร[9] การทำไร่นาตามธรรมชาติที่เรียกว่า ไร่นาอินทรีย์ได้รุ่งเรืองขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1940 เป็นต้นมา จากการตอบรับกับอุตสาหกรรมการเพาะปลูกที่รู้จักกันในนามว่า การปฏิวัติสีเขียว[10]

ในปี 1939 ลอร์ดนอร์ทบอร์น บัญญัติคำว่า การทำไร่นาอินทรีย์ ในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า Look to the Land (1940) จากมุมมองที่ว่า "ไร่นาคือระบบของสิ่งมีชีวิต" เป็นการอธิบายถึงภาพรวมของการทำไร่นาแบบรักษาความสมดุลทางชีววิทยา—ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาเรียกว่า การทำไร่นาโดยใช้สารเคมี ซึ่งต้องพึ่งพา "การนำเข้าปุ๋ย" และ "ไม่สามารถสร้างความพอเพียงในตัวเองหรือองค์รวมของอินทรีย์"[11] ซึ่งสิ่งนั้นทำให้เกิดความแตกต่างจากสิ่งที่วิทยาศาสตร์ใช้คำว่า "อินทรีย์" ที่หมายถึง กลุ่มโมเลกุลที่มีคาร์บอนโดยเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวกับสารเคมีพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ในกลุ่มโมเลกุลนี้รวมทุกอย่างที่เสมือนว่าจะกินได้ รวมถึงยาฆ่าแมลงและสารพิษส่วนใหญ่ด้วย ดังนั้น การใช้คำว่า "organic" (-อินทรีย์) และคำว่า "inorganic" (-อนินทรีย์ ซึ่งบางครั้งได้ถูกนำมาใช้อย่างผิด ๆ ว่าเป็นคำตรงกันข้ามของ -อินทรีย์ ในสื่อทั่วไป) เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องทางเทคนิคและไม่เหมาะสมโดยสิ้นเชิงในการกล่าวถึงการทำไร่นา การผลิตอาหาร และในเรื่องของอาหารเอง

ผู้บริโภคที่สนใจในอาหารอินทรีย์ในยุคแรกมองหาอาหารที่ไม่ใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลง อาหารที่สดหรือผ่านการกระบวนการแปรรูปแต่น้อย โดยส่วนใหญ่มักจะหาซื้อโดยตรงจากเกษตรกร ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ. 2009 "รู้จักผู้ปลูก รู้จักอาหารที่คุณบริโภค" (Know your farmer, know your food) กลายมาเป็นคำขวัญของแผนงานใหม่ที่ตั้งขึ้นโดยกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา[12] คำนิยามของแต่ละคนสำหรับคำว่า "อินทรีย์" พัฒนามาจากประสบการณ์ตรง จากการพูดคุยกับชาวไร่ชาวนา การไปตรวจดูสภาพไร่นา และการทำสวนโดยตรง สวนขนาดเล็กปลูกผัก (และเลี้ยงสัตว์) โดยใช้การทำสวนอินทรีย์โดยมีผู้บริโภคเป็นผู้สังเกตการณ์ ไม่ว่าจะมีหนังสือรับรองหรือไม่ก็ตาม [ต้องการอ้างอิง]

สมาชิกสหกรณ์แห่งหนึ่งในโทรอนโตแบ่งปันอาหารและเล่นดนตรี

ร้านอาหารสุขภาพขนาดเล็กและร้านสหกรณ์มีบทบาทที่จะทำให้อาหารอินทรีย์เป็นที่รู้จักกว้างขวางขึ้น[ต้องการอ้างอิง] ความต้องการที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดลักษณะการขายจำนวนมากผ่านร้านค้าขนาดใหญ่ เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต แทนที่การซื้อขายโดยตรงกับผู้ผลิตอย่างรวดเร็ว[ต้องการอ้างอิง] ปัจจุบัน ไม่ได้มีการจำกัดขนาดของไร่นาอินทรีย์ และในไร่นาขนาดใหญ่ที่เป็นบริษัทในหลายแห่งได้มีการจัดตั้งฝ่ายอินทรีย์ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคที่ซื้ออาหารอินทรีย์ผ่านซูเปอร์มาร์เก็ตไม่สามารถที่จะได้เห็นกระบวนการผลิตโดยตรงได้โดยง่าน และป้ายสินค้า "รับประกันว่าเป็นผลิตภัณฑ์อินทรีย์" ก็ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของรัฐบาลและผู้ตรวจสอบคุณภาพที่เป็นบุคคลที่สาม [ต้องการอ้างอิง]

ความหมายตามกฎหมาย

แผนงานอินทรีย์แห่งชาติ (ดำเนินการโดยกระทรวงเกษตรสหรัฐ) มีหน้าที่กำหนดนิยามของคำ "-อินทรีย์" และออกใบรับรองอาหารอินทรีย์ในสหรัฐอเมริกา

การผลิตอาหารอินทรีย์เป็นภาคการผลิตที่มีการตั้งกฎดูแลตัวเองโดยมีรัฐบาลคอยควบคุมในบางประเทศแตกต่างจากการทำสวนส่วนตัว ปัจจุบัน ประเทศในสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น และอีกหลาย ๆ ประเทศกำหนดให้ผู้ผลิตต้องมีใบรับรองอาหารอินทรีย์ตามเงื่อนไขและมาตรฐานที่รัฐบาลกำหนดในการที่จะทำการตลาดอาหารอินทรีย์ในประเทศนั้น ๆ ในบริบทของกฎเหล่านั้น อาหารที่นำมาขายจะต้องผลิตตามมาตรฐานอาหารอินทรีย์ที่รัฐบาลและองค์กรการค้าอาหารอินทรีย์สากลเป็นผู้กำหนด

ในสหรัฐอเมริกา การผลิตอาหารอินทรีย์เป็นระบบการผลิตที่มีต้องมีการจัดการตามกฎหมายการผลิตอาหารอินทรีย์ (OFPA) และกฎข้อ 7 ส่วนที่ 205 ตามประมวลกฎหมายแห่งชาติที่จัดทำขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเงื่อนไขเฉพาะ โดยการมองแบบบูรณาการทั้งทางวัฒนธรรม ชีวภาพ และกลภาพ เพื่อดูแลวงจรทรัพยากร เสริมสร้างความสมดุลทางธรรมชาติ และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ[13] หากมีการเลี้ยงสัตว์ด้วย สัตว์ที่เลี้ยงต้องถูกเลี้ยงดูในทุ่งหญ้าและไม่ใช้ยาปฏิชีวนะเป็นกิจวัตร หรือมีการใช้ฮอร์โมนเร่งการเติบโต[14]

อาหารอินทรีย์แปรรูปต้องประกอบด้วยวัตถุดิบอินทรีย์เท่านั้น หรือไม่ก็ต้องมีสัดส่วนตามกฎหมายของประเทศนั้น ๆ กำหนด เช่น ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และออสเตรเลียมีการกำหนดว่า 95% ของส่วนประกอบต้องเป็นผลิตภัณฑ์อินทรีย์[15] อาหารอินทรีย์ต้องไม่มีสารสังเคราะห์สารเสริม, และมักจะผ่านการแปรรูปแต่น้อยทั้งทางด้านกระบวนการ วัตถุดิบ และสภาวการณ์ ตัวอย่างกระบวนการที่กล่าวถึง เช่น การใช้สารเคมีควบคุมการสุก การฉายรังสีอาหาร และการใช้วัตถุดิบที่มีการดัดแปรพันธุกรรม[16] สามารถใช้สารกำจัดศัตรูพืชที่ไปเป็นสารสังเคราะห์ได้[17] อย่างไรก็ตาม ภายใต้มาตรฐานอาหารอินทรีย์ของสหรัฐ ถ้าแมลงศัตรูพืชและวัชพืชบางชนิดที่ไม่สามารถถูกจัดการได้จากกระบวนการผลิต หรือด้วยสารกำจัดศัตรูพืชจากวัตถุทางธรรมชาติหรือสมุนไพรได้ "สารสังเคราะห์ที่มีรายนามอยู่ในรายการแห่งชาติ ได้รับอนุญาตให้ใช้ในกระบวนการผลิตอาหารอินทรีย์ สามารถนำมาใช้เพื่อป้องกัน ปราบปราม หรือควบคุมศัตรูพืช วัชพืช หรือโรคได้"[18] มีหลายกลุ่มได้เรียกร้องให้มีการกำหนดมาตรฐานอินทรีย์ในการห้ามการใช้นาโนเทคโนโลยีบนพื้นฐานหลักการระวังไว้ก่อน[19] เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ยังไม่รู้ของนาโนเทคโนโลยี่[20]:5–6 มีการกำหนดข้อห้ามการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้นาโนเทคโนโลยีในกระบวนการผลิตอาหารอินทรีย์ในบางประเทศ เช่น แคนาดา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย แต่ไม่มีการกำหนดไว้ในประเทศอื่น ๆ[21][22]:2, section 1.4.1 (l)

มีการแบ่งฉลากอาหารอินทรีย์เป็น 4 ระดับหรือหมวดหมู่

  1. "อินทรีย์ 100%" หมายถึง ส่วนประกอบทั้งหมดถูกผลิตจากธรรมชาติ บางครั้งอาจได้ตรารับรองจากกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา
  2. "อินทรีย์: อย่างน้อย 95%" ของส่วนผสมมาจากธรรมชาติ
  3. "ผลิตจากส่วนผสมอินทรีย์" ประกอบด้วยส่วนผสมทางธรรมชาติอย่างน้อย 75%
  4. "ประกอบด้วยส่วนผสมอินทรีย์น้อยกว่า 70%" หมายถึง ต้องมีส่วนผสม 3 อย่างที่เป็นอินทรีย์แจ้งไว้ในส่วนที่แสดงส่วนผสมในฉลากของผลิตภัณฑ์นั้น[23]

ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรองว่าเป็นอินทรีย์จะต้องปลูกและผลิตตามมาตรฐานที่ประเทศที่ผลิตภัณฑ์นั้นจะนำไปขายได้ตั้งไว้

  • ออสเตรเลีย : NASAA Organic Standard[24]
  • แคนาดา :[25]
  • สหภาพยุโรป : EU-Eco-regulation
    • สวีเดน : KRAV[26]
    • สหราชอาณาจักร : DEFRA[27]
    • โปแลนด์ : Association of Polish Ecology[28]
    • นอร์เวย์ : Debio Organic certification[29]
  • อินเดีย : NPOP, (National Program for Organic Production)[30]
  • อินโดนีเซีย : BIOCert, run by Agricultural Ministry of Indonesia.[31]
  • ญี่ปุ่น : JAS Standards[32]
  • สหรัฐอเมริกา : National Organic Program (NOP) Standards

กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกามีการตรวจไร่นาที่ผลิตอาหารที่มีการติดฉลากอินทรีย์ของกระทรวงเป็นประจำ[33] ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2010 กรมวิชาการเกษตรสหรัฐอเมริกาแจ้งว่า ได้มีการเริ่มบังคับใช้กฎการตรวจสอบอาหารอินทรีย์ที่พบเห็นอย่างไม่บอกล่วงหน้าเพื่อค้นหาสารกำจัดศัตรูพืชตกค้างหลังจากที่ผู้ตรวจสอบพบว่า มีประเด็นเรื่องการควบคุมที่ต่ำกว่ามาตรฐานของภาครัฐที่มีต่ออุตสาหกรรมอาหารอินทรีย์[34]

แหล่งที่มา

WikiPedia: อาหารอินทรีย์ ftp://ftp.fao.org/paia/organicag/ofs/FoodMiles-Pre... http://www.bio-austria.at/presse/presseinfo_archiv... http://typischich.at/home/gesundheit/ernaehrung/69... http://www.chinaconnections.com.au/en/magazine/bac... http://www.chinaconnections.com.au/en/magazine/cur... http://www.dynamicexport.com.au/export-market/arti... http://www.goodfood.com.au/good-food/food-news/org... http://business.nab.com.au/wp-content/uploads/2013... http://www.nasaa.com.au/steps1.html http://www.abc.net.au/news/2013-12-04/chinese-babi...