เศรษฐศาสตร์ ของ อาหารอินทรีย์

ความต้องการอาหารอินทรีย์ได้รับแรงผลักดันจากความสนใจเรื่องสุขภาพส่วนบุคคลและสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก[66] ยอดขายทั่วโลกสำหรับอาหารอินทรีย์เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 170 ตั้งแต่ปี 2002 ถึงกว่า 63,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2011[67] ในขณะที่พื้นที่ไร่นาอินทรีย์ที่ได้หนังสือรับรองยังคงมีจำนวนน้อยอยู่ที่น้อยกว่า 2% ของพื้นที่ไร่นาทั้งหมดที่ทำการผลิตอยู่ การเพิ่มขึ้นในประเทศ OECD และ EU (ซึ่งถือเป็นส่วนใหญ่ของการผลิตอินทรีย์) มีถึง 35% เปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียวกัน[68] ผลิตภัณฑ์อินทรีย์โดยทั่วไปจะมีราคาแพงกว่าผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกันที่ผลิตโดยวิธีปกติ 10-40% หรือบางครั้งเป็นหลายเท่า[69] อาหารอินทรีย์แปรรูปมีราคาที่แตกต่างกันเมื่อเทียบกับอาหารชนิดเดียวกันที่ผลิตในกระบวนการทั่วไป

ในขณะที่อาหารอินทรีย์มีส่วนแบ่ง 1-2% ในปริมาณการผลิตอาหารรวมทั่วโลก สมาคมการค้าสินค้าอินทรีย์แจ้งว่า ตลาดการขายอาหารอินทรีย์ได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วอยู่ในช่วงระหว่าง 5-10% ของส่วนแบ่งตลาดอาหารในสหรัฐอเมริกา[70] แซงหน้าปริมาณการเติบโตของยอดขายในรูปสกุลดอลลาร์ของผลิตภัณฑ์อาหารทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ

  • ยอดขายอาหารอินทรีย์ทั่วโลกกระโดดจาก 23,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2002[71] เป็น 63,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2011[72]

ทวีปเอเชีย

การผลิตและการบริโภคผลิตภัณฑ์อินทรีย์กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเอเชีย โดยทั้งจีนและอินเดียกลายเป็นผู้ผลิตพืชผลอินทรีย์ระดับโลก[73] และมีหลายประเทศ โดยเฉพาะจีนและญี่ปุ่นก็กลายเป็นผู้บริโภคอาหารและเครื่องดื่มอินทรีย์ที่สำคัญ[37][74] ความไม่สมดุลระหว่างการผลิตกับความต้องการทำให้เกิดอุตสาหกรรมอาหารอินทรีย์สองขั้น ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของการนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารอินทรีย์พื้นฐาน เช่น ผลิตภัณฑ์นม และเนื้อสัตว์จากออสเตรเลีย ยุโรป นิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกา[75]

ประเทศจีน

ตลาดอาหารอินทรีย์ในประเทศจีนเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก[37][76] ศูนย์การพัฒนาอาหารอินทรีย์ของจีนได้ประมาณยอดขายผลิตภัณฑ์อาหารอินทรีย์ว่า มีมูลค่าประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ในปี ค.ศ. 2013 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 30-50% ในปี ค.ศ. 2014[77]

ในขณะที่ สหรัฐอเมริกายังคงเป็นตลาดเนื้ออินทรีย์ที่ใหญ่ด้วยยอดขายที่ 1,350 ล้านเหรียญสหรัฐในปี ค.ศ. 2013[78][79] มีการคาดว่า ตลาดจีนจะแซงมาเป็นที่ 1 ในปี ค.ศ. 2016[78]

ตลาดจีนเป็นตลาดนมผงดัดแปลงสำหรับทารกที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยมียอดขายอยู่ที่ 12,400 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี;[80] จากยอดข้างบนนี้ นมผงดัดแปลงสำหรับทารกอินทรีย์และอาหารเด็กมียอดอยู่ประมาณ 5.5% ของยอดขายในปี ค.ศ. 2011[77] ผู้ผลิตนมผงดัดแปลงสำหรับทารกและอาหารทารกอินทรีย์ของออสเตรเลียเบลลามีส์อินทรีย์ได้รายงานยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 70% ทุกปีในช่วงปี ค.ศ. 2008-2013 ในขณะที่กลุ่มเกษตรกรโคนมอินทรีย์ของออสเตรเลียได้รายงานยอดส่งออกน้ำนมอินทรีย์ไปยังจีนว่า เพิ่มขึ้น 20-30% ต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน[81]

ทวีปอเมริกาเหนือ

สหรัฐอเมริกา
  • ในปี ค.ศ. 2012 มูลค่าตลาดรวมของอาหารอินทรีย์ในสหรัฐอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (จากมูลค่าตลาดรวมของสินค้าอุปโภคบริโภคที่เป็นผลิตภัณฑ์อินทรีย์และธรรมชาติที่ประมาณ 81,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[82][83]
  • ยอดขายอาหารอินทรีย์เพิ่มขึ้นปีละ 17-20% ต่อปีในช่วงต้นทศวรรษ 2000[85] ในขณะที่ยอดขายของอาหารทั่วไปเติบโตแค่ปีละ 2-3%[86] ตลาดอาหารอินทรีย์เติบโตที่ 9.5% ในปี ค.ศ. 2011 ทะลุหลัก 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรก และยังคงมียอดขายที่เติบโตแซงหน้าอาหารที่ไม่ใช่อินทรีย์อื่น ๆ[84]
  • ในปี ค.ศ. 2003 มีอาหารอินทรีย์จำหน่ายอยู่ในร้านอาหารธรรมชาติจำนวนเกือบ 20,000 ที่ และคิดเป็น 73% ของร้านขายของชำทั่วไป[87]
  • อาหารอินทรีย์มียอดขายเท่ากับ 3.7% ของยอดขายอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมด และเท่ากับ 11.4% ของยอดขายผลไม้และผักในปี ค.ศ. 2009[74]
  • ใน ปี ค.ศ. 2012 ผู้ผลิตอาหารอินทรีย์อิสระในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่ได้ถูกเข้าซื้อโดยบริษัทข้ามชาติหลายบริษัท[89]
แคนาดา
  • ในปี ค.ศ. 2006 ยอดขายอาหารอินทรีย์มียอดมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 0.9% ของยอดขายอาหารในแคนาดา[90]
  • ยอดขายอาหารอินทรีย์ในร้านขายของชำเพิ่มขึ้น 28% ในปี ค.ศ. 2006 เมื่อเปรียนเทียบกับปี ค.ศ. 2005.[90]
  • รัฐบริติชโคลัมเบียมีประชากรอยู่ 13% ของประชากรแคนาดาทั้งหมด แต่มียอดซื้ออาหารอินทรีย์อยู่ 26% ของยอดขายทั้งหมดในประเทศในปี ค.ศ. 2006[91]

ยุโรป

ออสเตรีย
  • ในปี ค.ศ. 2011, 7.4% ของผลิตภัณฑ์อาหารที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ตของออสเตรีย (รวมร้านขายสินค้าราคาถูก) เป็นอาหารอินทรีย์[92] ในปี ค.ศ. 2007 มีผลิตภัณฑ์อินทรีย์อยู่ 8,000 ชนิดวางขาย[93]
อิตาลี
  • เริ่มเมื่อปี ค.ศ. 2000 มีการบังคับให้ใช้อาหารอินทรีย์บางชนิดในโรงเรียนและโรงพยาบาลบางแห่งในประเทศอิตาลี ในกฎหมายที่เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 2002 ของแคว้นเอมีเลีย-โรมัญญาที่ถูกบังคับใช้ในปี ค.ศ. 2005 ได้เขียนอย่างชัดเจนว่า อาหารในสถานรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียนระดับประถมศึกษา (จาก 3 เดือนถึง 10 ปี) จะต้องเป็นอาหารอินทรีย์ 100% และมื้ออาหารในโรงเรียน มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจะต้องประกอบด้วยผลิตภัณฑ์อินทรีย์อย่างน้อย 35%[94]
โปแลนด์
  • ในปี ค.ศ. 2005 ร้อยละ 7 ของผู้บริโภคชาวโปแลนด์ได้ซื้ออาหารที่ถูกผลิตตามระเบียบสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรป มูลค่าของตลาดอินทรีย์โดยประมาณอยู่ที่ 50 ล้านเหรียญยูโรในปี ค.ศ. 2006[95]
โรมาเนีย
  • ในปี ค.ศ. 2010 โรมาเนียมีการส่งออก 70%–80% ของผลิตภัณฑ์อินทรีย์ในประเทศซึ่งมีมูลค่ารวม 100 ล้านเหรียญยูโร ตลาดผลิตภัณฑ์อินทรีย์ได้เติบโตเป็นมูลค่า 50 ล้านเหรียญยูโร ในปี ค.ศ. 2010.[96]
ยูเครน
  • ในปี ค.ศ. 2009 ยูเครนอยู่ในลำดับที่ 21 ของโลกหากวัดตามพื้นที่การเพาะปลูกอาหารอินทรีย์ โดยผลผลิตส่วนใหญ่จะถูกส่งออก ทำให้ไม่มีอาหารอินทรีย์เพียงพอสำหรับความต้องการอาหารอินทรีย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในประเทศ[97] ขนาดความต้องการของตลาดผลิตภัณฑ์อินทรีย์ในประเทศยูเครนประมาณแล้วมีมากกว่า 5 ล้านเหรียญยูโร ในปี ค.ศ. 2011 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต[98] ผลจากการทำแบบสำรวจหลายฉบับแสดงให้เห็นว่า ประชากรส่วนใหญ่ในยูเครนยินดีที่จะจ่ายแพงกว่าเพื่อซื้ออาหารอินทรีย์[99][100] ในทางตรงข้าม ชาวยูเครนจำนวนมากยังคงมีประเพณีนิยมที่จะทำแปลงสวนครัวของตัวเองซึ่งอาจจะเป็นผลให้การประเมินปริมาณการบริโภคอาหารอินทรีย์ของชาวยูเครนต่ำกว่าความเป็นจริง
  • กฎหมายเรื่องการผลิตแบบอินทรีย์ได้ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาของยูเครนในเดือนเมษายน ค.ศ. 2011 นอกจากจะกล่าวถึงคุณสมบัติโดยทั่วไปสำหรับอาหารอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองแล้ว ยังได้เพิ่มเรื่องการห้ามการใช้กรรมวิธีGMOหรือผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยส่วนผสมที่เป็น GMO[101] อย่างไรก็ตาม กฎหมายยังไม่ได้รับการลงนามจากประธานาธิบดียูเครน[102] และในเดือนกันยายนของปี ค.ศ. 2011 กฎหมายนี้ได้ถูกยกเลิกโดยสภาสูงสุดของประเทศยูเครน[103] ต่อมา ในปี ค.ศ. 2012 ได้มีความพยายามจะผ่านกฎหมายใหม่เกี่ยวกับการผลิตอาหารอินทรีย์ตลอดทั้งปี[104]
สหราชอาณาจักร
  • ยอดขายอาหารอินทรีย์เพิ่มขึ้นจาก 100 กว่าล้านปอนด์สเตอร์ลิงในปี 1993/1994 เป็น 1,210 ล้านปอนด์สเตอร์ลิงในปี ค.ศ. 2004 (เพิ่ม 11% ในปี ค.ศ. 2003)[105][ที่ไหน?] ในปี ค.ศ. 2010 ยอดขายผลิตภัณฑ์อินทรีย์ตกลง 5.9% อยู่ที่มูลค่า 1.73 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง 86% ของครัวเรือนซื้อผลิตภัณฑ์อินทรีย์ โดยหมวดหมู่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ ผลผลิตจากนม (อยู่ที่ 30.5% ของยอดขาย) และผักผลไม้สด (23.2% ของยอดขาย) 4.2% ของพื้นที่ทำไร่นาในสหราชอาณาจักรเป็นไร่นาอินทรีย์[106]

ลาตินอเมริกา

คิวบา
  • หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1991 ผลิตผลทางการเกษตรที่เคยถูกซื้อจากประเทศค่ายตะวันออกก็ไม่มีจำหน่ายอีกต่อไปในประเทศคิวบา ทำให้ไร่นาในคิวบาหลาย ๆ แห่งได้เป็นตัวเองเป็นการทำไร่นาอินทรีย์เพราะความจำเป็น[107] เป็นผลให้เกษตรอินทรีย์เป็นแนวปฏิบัติหลักในประเทศคิวบา ทั้ง ๆ ที่ในประเทศอื่น ๆ ยังถือเป็นเกษตรทางเลือกอยู่ ถึงแม้ว่าผลิตภัณฑ์บางชนิดจะเรียกว่าอินทรีย์ในคิวบา แต่อาจจะไม่ผ่านมาตรฐานใบรับรองอาหารอินทรีย์ในประเทศอื่น ๆ (พืชผลบางชนิดอาจมีการดัดแปลงทางพันธุกรรม ตัวอย่างเช่น[108][109]) คิวบาส่งออกส้มและน้ำส้มอินทรีย์ไปยังตลาดสหภาพยุโรปและผ่านมาตรฐานอินทรีย์ของสหภาพยุโรป การที่มีการบังคับให้ผลิตแบบอินทรีย์ในคิวบาอาจเป็นผลให้ประเทศเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์อินทรีย์ระดับโลกประเทศหนึ่ง[110]

แหล่งที่มา

WikiPedia: อาหารอินทรีย์ ftp://ftp.fao.org/paia/organicag/ofs/FoodMiles-Pre... http://www.bio-austria.at/presse/presseinfo_archiv... http://typischich.at/home/gesundheit/ernaehrung/69... http://www.chinaconnections.com.au/en/magazine/bac... http://www.chinaconnections.com.au/en/magazine/cur... http://www.dynamicexport.com.au/export-market/arti... http://www.goodfood.com.au/good-food/food-news/org... http://business.nab.com.au/wp-content/uploads/2013... http://www.nasaa.com.au/steps1.html http://www.abc.net.au/news/2013-12-04/chinese-babi...