การจัดการโรค ของ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง

โรค COPD นั้นไม่มีการรักษาที่เป็นที่ทราบ แต่อาการของโรคนั้นสามารถรักษาได้และสามารถชะลอความก้าวหน้าของโรคได้[56] เป้าหมายหลักของการจัดการโรคคือการลดปัจจัยเสี่ยง จัดการความคงที่ของ COPD ป้องกันการกำเริบของโรคแบบเฉียบพลันและจัดการความเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้อง[4] มาตรการที่ได้แสดงถึงการลดการเสียชีวิตคือการหยุดสูบบุหรี่และการใช้ออกซิเจนเสริมเท่านั้น[67] การหยุดสูบบุหรี่นั้นเป็นการลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตได้ 18%[3] ข้อแนะนำอื่นๆ นั้นได้แก่: การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละครั้ง การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อปอดบวมทุกๆ 5 ปี และการลดการสัมผัสจากสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษทางอากาศ[3] ในกลุ่มผู้ที่เป็นโรคขั้นลุกลาม การรักษาบรรเทาอาจช่วยลดอาการต่างๆ ได้ พร้อมกับการช่วยให้ความรู้สึกเนื่องจากความเหนื่อยดีขึ้นด้วยมอร์ฟีน[68] การใช้เครื่องช่วยหายใจแบบไม่มีการเจาะผ่าอาจใช้เพื่อสนับสนุนการหายใจได้[68]

การออกกำลังกาย

การฟื้นฟูผู้ป่วยโรคทางปอดคือโครงการที่เป็นการประสานร่วมกันของการออกกำลังกาย การจัดการโรคและการให้คำปรึกษา เพื่อประโยชน์ของบุคคลนั้นๆ[69] ในกลุ่มผู้ที่มีการกำเริบของโรคเมื่อไม่นานมานี้ การฟื้นฟูผู้ป่วยโรคทางปอดนั้นดูเหมือนจะเป็นการปรับปรุงคุณภาพชีวิตโดยรวมและความสามารถในการออกกำลังกาย และการเสียชีวิตได้[70] โครงการนี้ยังได้แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาความตระหนักในการควบคุมของบุคคลเกี่ยวกับโรคของตน ตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขา[71] การฝึกฝนการหายใจเข้าและออกด้วยตนเองนั้นดูเหมือนจะมีข้อจำกัด[15]

การมีน้ำหนักน้อยหรือมากเกินไปสามารถส่งผลต่ออาการต่างๆ ระดับความพิการและการพยากรณ์โรค COPD ได้ ผู้ที่เป็น COPD ซึ่งมีน้ำหนักน้อยเกินไปสามารถปรับปรุงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อการหายใจของตนได้โดยการเพิ่มปริมาณแคลอรี่ที่บริโภค[4] เมื่อร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอหรือโครงการฟื้นฟูผู้ป่วยโรคทางปอด ก็สามารถส่งผลที่เป็นการปรับปรุงอาการของ COPD ให้ดีขึ้นได้ การรับประทานอาหารเสริมอาจมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีภาวะขาดอาหาร[72]

ยาขยายหลอดลม

ยาขยายหลอดลมชนิดพ่นนั้นเป็นการรักษาหลักที่ใช้[3] และส่งผลที่เป็นประโยชน์โดยรวมเล็กน้อย[73] กลุ่มยาชนิดหลักๆ มีสองชนิดคือ β2 agonists และ แอนติโคลิเนอร์จิก ซึ่งมีทั้งชนิดออกฤทธิ์ระยะยาวและออกฤทธิ์ระยะสั้น ยาเหล่านี้สามารถลดความเหนื่อย การหายใจมีเสียงวี้ดและขีดจำกัดในการออกกำลังกายได้ ซึ่งส่งผลให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น[74] ทั้งนี้ไม่เป็นที่ชัดเจนว่ายาเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงการกำเริบของโรคพื้นเดิมได้หรือไม่[3]

ในผู้ป่วยที่เป็นโรคระยะเบื้องต้น แนะนำให้ใช้ยาชนิดออกฤทธิ์สั้นเมื่อจำเป็น[3] ส่วนในผู้ป่วยที่มีโรคในขั้นที่รุนแรงกว่านั้น แนะนำให้ใช้ยาชนิดออกฤทธิ์นาน[3] หากยาขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์นานไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ โดยส่วนใหญ่จะมีการเสริมด้วยยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น[3] ในส่วนของยาชนิดออกฤทธิ์นานนั้น ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่ายา tiotropium (แอนติโคลิเนอร์จิกชนิดออกฤทธิ์นาน) หรือ ตัวต่อต้านบีต้า (LABAs) นั้นดีกว่าหรือไม่ และการทดลองใช้ยาแต่ละตัวอาจจะมีประโยชน์ จากนั้นจึงใช้เฉพาะยาตัวที่ได้ผลดีที่สุดอย่างต่อเนื่องต่อไป[75] ยาทั้งสองประเภทนี้แสดงผลที่เป็นการลดความเสี่ยงของการกำเริบของโรคแบบเฉียบพลันได้ 15-25%[3] ขณะที่การใช้ยาทั้งสองตัวในเวลาเดียวกันนั้นอาจมีประโยชน์ แต่ทั้งนี้ประโยชน์ที่อาจได้รับนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่ยังคงเป็นข้อสงสัย[76]

กลุ่มยาที่เป็นตัวต่อต้าน β2 ชนิดออกฤทธิ์สั้นมีอยู่หลายตัวด้วยกัน ได้แก่ salbutamol (Ventolin) และ terbutaline[77] ยาเหล่านี้สามารถบรรเทาอาการบางอย่างได้เป็นเวลาสี่ถึงหกชั่วโมง[77] ส่วนยาที่เป็นตัวต่อต้าน β2 ชนิดออกฤทธิ์นาน เช่น salmeterol และ formoterol นั้นมักใช้เป็นการรักษาเพื่อจัดการโรค ผู้ป่วยบางรายไม่รู้สึกว่าได้รับประโยชน์ที่ชัดเจนจากยาเหล่านี้[78] แต่ขณะเดียวกันผู้ป่วยอื่นๆ สามารถเห็นประโยชน์ที่ชัดเจน[79][80] การใช้ยาเหล่านี้ผู้ป่วย COPD ในระยะยาวนั้นดูเหมือนมีความปลอดภัย[81] รวมทั้งอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ ได้แก่ ความสั่น และ อัตราการเต้นของหัวใจเร็วหรือไม่สม่ำเสมอ[3] เมื่อมีการใช้ร่วมกับสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่นยาเหล่านี้จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคปอดบวม[3] ขณะที่สเตียรอยด์และ LABA อาจให้ผลดีกว่าเมื่อใช้ร่วมกัน[78] แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าประโยชน์เล็กน้อยนี้มีความสำคัญมากกว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นหรือไม่[82]

มียากลุ่มแอนติโคลิเนอร์จิกหลักๆ สองตัวที่ใช้ใน COPD คือ ipratropium และ tiotropium ยา Ipratropium เป็นยาชนิดออกฤทธิ์สั้น ส่วนยา tiotropium เป็นยาชนิดออกฤทธิ์นาน ยา Tiotropium นั้นมีความเกี่ยวข้องกับการลดลงของการกำเริบของโรคและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น[76] และยา tiotropium นั้นให้ผลที่ดีกว่ายา ipratropium[83] แต่ทั้งนี้ไม่ดูเหมือนว่าจะส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิตหรือการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลโดยรวม[84] แอนติโคลิเนอร์จิกอาจเป็นสาเหตุของอาการปากแห้งและกลุ่มอาการของทางเดินปัสสาวะ[3] นอกจากนี้ ยาเหล่านี้ยังเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคหัวใจและการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมอง[85][86] ยา Aclidinium ซึ่งเป็นยาชนิดออกฤทธิ์นานอีกตัวหนึ่งที่มีการนำออกสู่ตลาดเมื่อปี 2012 ได้รับการใช้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นอกเหนือจากยา tiotropium[87][88]

คอร์ติโคสเตียรอยด์

คอร์ติโคสเตียรอยด์มักใช้ในรูปแบบสูดพ่นแต่อาจจะมีการใช้ในรูปแบบเม็ดเพื่อรักษาและป้องกันการกำเริบของโรคแบบเฉียบพลัน แม้ว่าคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น (ICS) ไม่แสดงถึงประโยชน์สำหรับผู้ที่เป็นโรค COPD ในระยะเบื้องต้น แต่ก็สามารถลดการกำเริบของโรคแบบเฉียบพลันในผู้ป่วยที่เป็นโรคระยะปานกลางและระยะรุนแรงได้[89] เมื่อใช้ร่วมกับ LABA ยาเหล่านี้ลดการเสียชีวิตได้มากกว่าการใช้ยา ICS หรือ LABA เพียงตัวเดียว[90] โดยตัวของมันเองแล้วยาเหล่านี้ไม่มีผลต่อการเสียชีวิตโดยรวมในหนึ่งปีแต่เกี่ยวข้องกับอัตราที่เพิ่มขึ้นของโรคปอดบวม [67] ไม่เป็นที่แน่ชัดว่ายาเหล่านี้ส่งผลต่อการก้าวหน้าของโรคหรือไม่[3] การรักษาระยะยาวด้วยยาสเตียรอยด์ชนิดเม็ดนั้นมีความเกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงที่มีนัยสำคัญต่างๆ[77]

ยาอื่นๆ

การใช้ยายาปฏิชีวนะในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาในกลุ่ม macrolide เช่น erythromycin สามารถลดความถี่ของการกำเริบของโรคในผู้ที่มีการกำเริบของโรคตั้งแต่สองครั้งต่อปีขึ้นไป[91][92] รูปแบบการรักษานี้อาจมีความคุ้มค่าสำหรับในบางพื้นที่ของโลก[93] ข้อกังวลต่างๆ เช่น การดื้อต่อยาปฏิชีวนะ และปัญหาของการได้ยินจากยาอะซิโธรมัยซิน[92] Methylxanthines อาทิเช่น theophylline โดยทั่วไปเป็นโทษมากกว่าเป็นประโยชน์ และดังนั้นจึงไม่แนะนำ [94] แต่อาจใช้เป็นยาสำรองในกลุ่มผู้ป่วยที่มีการควบคุมโดยมาตรการอื่นๆ [4] ยา Mucolytic อาจมีประโยชน์ในผู้ป่วยบางรายที่มีเสมหะชนิดข้นหนืด แต่โดยทั่วไปนั้นไม่จำเป็น[54] ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ใช้ยาแก้ไอ[77]

ออกซิเจน

การใช้ออกซิเจนเสริมเป็นสิ่งที่แนะนำสำหรับผู้ป่วยที่มีระดับออกซิเจนต่ำขณะพัก (ความดันของออกซิเจนบางส่วนในระดับที่ต่ำกว่า 50–55 mmHg หรือความเข้มข้นของออกซิเจนต่ำกว่า 88%)[77][95] ในคนกลุ่มนี้ การบำบัดนี้จะเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหัวใจล้มเหลวและการเสียชีวิตได้หากใช้เป็นเวลา 15 ชั่วโมงต่อวัน[77][95] แต่อาจเพิ่มความสามารถในการออกกำลังของบุคคลนั้นได้[96] ในกลุ่มของผู้ที่มีระดับออกซิเจนปกติหรือต่ำเล็กน้อย การใช้ออกซิเจนเสริมอาจช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยได้[97] ทั้งนี้มีความเสี่ยงของไฟไหม้และประโยชน์เพียงเล็กน้อยเมื่อผู้ที่ใช้ออกซิเจนยังคงสูบบุหรี่อยู่[98] ในระดับความเข้มข้นนี้ มีบางคำแนะนำที่ต่อต้านการใช้การบำบัดนี้[99] ในระหว่างการกำเริบของโรคแบบเฉียบพลัน การบำบัดด้วยออกซิเจนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหลายคน การใช้ออกซิเจนเข้มข้นโดยไม่คำนึงถึงระดับความเข้มข้นของบุคคลนั้น อาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของระดับคาร์บอนไดออกไซด์และผลที่เลวร้ายกว่าได้[100][101] ในผู้ที่มีความเสี่ยงของการมีระดับคาร์บอนไดออกไซด์สูงนั้น แนะนำให้ใช้ความเข้มข้นของออกซิเจนที่ 88–92% ส่วนผู้ที่ไม่มีความสี่ยง ระดับที่แนะนำคือ 94-98%[101]

การผ่าตัด

สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคระยะร้ายแรง บางครั้งการผ่าตัดก็เป็นประโยชน์และอาจรวมถึงการปลูกถ่ายปอดหรือการผ่าตัดเพื่อลดปริมาตรของปอด[3] การผ่าตัดเพื่อลดปริมาตรของปอดเป็นการตัดเนื้อปอดบางส่วนที่ถูกทำลายโดยโรคถุงลมโป่งพอง เพื่อให้เนื้อเยื่อปอดส่วนที่ยังสามารถทำงานได้ขยายตัวและทำงานได้ดีขึ้น[77] การปลูกถ่ายปอดนั้นบางครั้งมีการดำเนินการสำหรับผู้ที่เป็นโรค COPD ขั้นรุนแรงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่อายุน้อย[77]

การกำเริบของโรค

การกำเริบของโรคแบบเฉียบพลันนั้นโดยทั่วไปมีการรักษาโดยการเพิ่มการใช้ยาขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์สั้น[3] ซึ่งเป็นการรักษาทั่วไป รวมถึงการรักษาร่วมกับตัวต่อต้านบีต้าชนิดสูดพ่นและแอนติโคลิเนอร์จิก[37] ยาเหล่านี้สามารถให้โดยใช้กระบอกพ่นละอองยาสำเร็จรูปพร้อมกับกระบอกช่วยสูด หรือด้วยเครื่องพ่นละออง เนื่องจากทั้งสอบรูปแบบนี้แสดงประสิทธิภาพที่เท่าเทียมกัน[37] ทั้งนี้เครื่องพ่นละอองอาจจะใช้งานได้ง่ายกว่าสำหรับผู้ที่สุขภาพไม่ดี[37]

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดรับประทาน สามารถเพิ่มโอกาสของการฟื้นตัวและลดระยะเวลาของการเกิดของอาการโดยรวมได้[3][37] ในผู้ที่มีการกำเริบของโรคขั้นรุนแรง ยาปฏิชีวนะสามารถบรรเทาผลได้[102] ยาปฏิชีวนะต่างๆ จำนวนหนึ่งที่มีการใช้ ได้แก่: อะม็อกซีซิลลิน ด็อกซีซัยคลิน หรือ อะซิโทรมัยซิน ทั้งนี้ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่ายาตัวหนึ่งตัวใดตัวหนึ่งดีกว่าตัวอื่นๆ หรือไม่[54] และไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนสำหรับผู้ที่มีอาการของโรคที่รุนแรงน้อยกว่า[102]

การใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อปรับความดันแบบไม่มีการเจาะผ่าในผู้ที่มีระดับ CO2 สูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน (ภาวะการหายใจล้มเหลวชนิดที่ 2) สามารถลดความเป็นไปได้ของการเสียชีวิตหรือความจำเป็นต้องเข้าพักรักษาตัวด้วยเครื่องช่วยหายใจในหน่วยอภิบาล[3] นอกจากนั้น ยาธีโอฟิลลีนอาจส่งผลในการรักษาในผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อมาตรการอื่นๆ[3] การกำเริบของโรคที่จำเป็นต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้นมีจำนวนต่ำกว่า 20%[37] ในกลุ่มผู้ที่ไม่มีภาวะกรดสาเหตุจากการหายใจล้มเหลว การรักษาพยาบาลที่บ้าน ("โรงพยาบาลที่บ้าน") อาจช่วยหลีกเลี่ยงการต้องเข้าพักรักษาตัวได้[37][103]

ใกล้เคียง

โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคปอดอักเสบจาก pneumocystis jirovecii โรคปอดอักเสบจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้า โรคปอดบวม โรคปอดเรื้อรังในทารกแรกเกิด โรคของปอด โรคอารมณ์สองขั้ว โรคอัลไซเมอร์ โรคจอตามีสารสี โรคออทิซึม

แหล่งที่มา

WikiPedia: โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง http://books.google.ca/books?id=0CXcUnr-0eoC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=1h6vu60L6FcC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=2F-DPG0c5IMC&pg=PT... http://books.google.ca/books?id=2sOJk-yKPpUC&pg=PT... http://books.google.ca/books?id=48gaALnXhcQC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=945lM1g_uQoC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=9bYbE87FbtMC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=D5n6lqqxkNUC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=DiTThQJkc0UC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=H4Sv9XY296oC&pg=PA...