สังคมและวัฒนธรรม ของ โรคลมชัก

การถูกตราหน้า

ผู้ป่วยโรคลมชักทั่วโลกมักได้รับการตราหน้าทางสังคม[140] และสามารถส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรมได้[140] ในประเทศอินเดีย และ จีน โรคลมชักสามารถถูกใช้เป็นข้ออ้างเพื่อที่จะปฏิเสธการแต่งงาน[29] ในบางท้องถิ่นยังมีความเชื่อว่าโรคลมชักเป็นผลจากการถูกสาปแช่ง[19] ในประเทศแทนซาเนีย และ ส่วนอื่น ๆ ของทวีปแอฟริกา ยังมีความเชื่อว่าโรคลมชักเป็นผลจาก การถูกครอบงำโดยวิญญาณชั่วร้าย เวทมนตร์ หรือ การถูกยาพิษ และมีบางส่วนเชื่อว่าอาจเป็นโรคติดต่อ[137] ซึ่งไม่มีหลักฐานประกอบ[19] ก่อนปี ค.ศ 1970 สหราชอาณาจักรมีกฎหมายหลายบทที่ห้ามมิให้คนที่เป็นโรคลมชักสามารถแต่งงานได้[29] การถูกตราหน้าทางสังคมอาจส่งผลให้ผู้ป่วยบางคนปฏิเสธว่าเคยมีอาการชัก[47]

เศรษฐศาสตร์

การชักส่งผลโดยตรงทางเศรษฐกิจกับประเทศสหรัฐอเมริกาโดยคิดเป็นเงินประมาณ 1000 ล้านดอลลาร์[20] ในขณะที่โรคลมชักทำให้เกิดต้นทุนทางเศรษฐกิจในยุโรปประมาณ 15500 ล้านยูโรในปี ค.ศ. 2014[24] ในอินเดียโรคลมชักส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่าย 1700 ล้านดอลลาร์ หรือ 0.5% ของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)[29] และถือเป็นสาเหตุประมาณ 1% ที่ทำให้ผู้ป่วยมาแผนกฉุกเฉิน (2% สำหรับแผนกฉุกเฉินสำหรับเด็ก) ในสหรัฐอเมริกา[141]

ยานพาหนะ

ผู้ที่เป็นโรคลมชักมีความเสี่ยงประมาณสองเท่าของบุคคลทั่วไปที่จะมีส่วนร่วมในการชนกันของยานยนต์บนท้องถนน ดังนั้นในหลายพื้นที่ของโลกจึงไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยขับรถ หรือ ให้ขับได้ในกรณีผู้ป่วยมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขบางอย่าง [22] ในพื้นที่บางแห่งแพทย์จะถูกกฎหมายบังคับให้รายงานต่อสถาบันที่ออกใบอนุญาตขับขี่หากพบว่าบุคคลใด ๆ ก็ตามเกิดการชัก ในขณะที่บางแห่งจะกำหนดเพียงให้แพทย์สนับสนุนให้บุคคลนั้น ๆ ไปรายงานด้วยตัวเอง[22] ประเทศที่กำหนดให้แพทย์ต้องรายงานต่อเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบได้แก่ สวีเดน ออสเตรีย เดนมาร์ก และ สเปน[22] ประเทศที่ให้ผู้ป่วยรายงานตัวเองรวมถึง สหราชอาณาจักร และ นิวซีแลนด์ แต่แพทย์สามารถรายงานได้หากเชื่อว่าบุคคลนั้น ๆ ไม่รายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่[22] ในประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา และ ออสเตรเลีย ข้อกำหนดเกี่ยวกับการรายงานตัวแตกต่างกันไปในขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละจังหวัด หรือ รัฐ[22] หากอาการชักได้รับการควบคุมอย่างดีคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าการอนุญาตให้ขับขี่ได้มีเหตุผล[142] ระยะเวลาที่ผู้ป่วยจะต้องปราศจากอาการชักก่อนที่จะสามารถกลับไปขับรถได้แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ[142] หลายประเทศกำหนดเวลาที่ปราศจากอาการชักอย่างน้อย 1-3 ปี[142] ในสหรัฐอเมริกาเวลาที่ปราศจากอาการชักจะถูกกำหนดโดยแต่ละรัฐ และ อยู่ระหว่างสามเดือนและหนึ่งปี[142]

ผู้ที่เป็นโรคลมชักหรือมีอาการชักมักไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นนักบิน[143] ในแคนาดาหากบุคคลใด ๆ มีอาการชักไม่เกิน 1 ครั้ง บุคคลนั้นอาจได้รับการพิจารณาให้มีใบอนุญาตแบบจำกัด หลังจากเกิดอาการ 5 ปีและผลทดสอบอื่น ๆ ทั้งหมดเป็นปกติ[144] ผู้ที่เคยมีอาการชักสาเหตุจากไข้ หรือ เคยเป็นโรคไข้ชัก และ อาการชักที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอาจได้รับการพิจารณาด้วย[144] ในสหรัฐอเมริกา สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติจะไม่ออกในอนุญาตนักบินพาณิชย์ให้ผู้ที่เป็นโรคลมชัก[145] แต่อาจมีข้อยกเว้นสำหรับผู้ที่มีอาการชักครั้งเดียว หรือ เคยเป็นโรคไข้ชัก และต้องไม่มีอาการชักที่สืบเนื่องจนถึงวัยผู้ใหญ่ที่จำต้องทานยาซึ่งพบได้ไม่บ่อยนัก[146] ในสหราชอาณาจักรการขอใบอนุญาตนักบินส่วนบุคคลแห่งชาติแบบเต็มจะใช้มาตรฐานทางการแพทย์เดียวกันกับใบอนุญาตขับรถยนต์แบบมืออาชีพ[147] ซึ่งหมายความว่าผู้ป่วยจะต้องไม่มีอาการชักเลยนานอย่างน้อยสิบปีและไม่ใช้ยาในช่วงเวลาดังกล่าว[148] สำหรับผู้ป่วยที่ไม่เข้าข่ายตามข้อกำหนดนี้อาจได้รับใบอนุญาตแบบจำกัด ในกรณีที่ไม่มีอาการชักเลยเป็นเวลาห้าปี[147]

องค์กรสนับสนุน

มีองค์กรหลายแห่งที่ให้การสนับสนุนผู้ป่วยและครอบครัวซึ่งได้รับผลกระทบจากโรคลมชัก การณรงค์ "นำผู้ป่วยออกจากเงามืด" (Out of the Shadows campaign) เป็นการร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลก สหพันธ์ต่อต้านโรคลมชักระหว่างประเทศ และ สำนักงานโรคลมชักระหว่างประเทศ เพื่อให้ความช่วยเหลือในระดับนานาชาติ[29] สภาร่วมเกี่ยวกับโรคลมชัก (Joint Epilepsy Council) ทำหน้าที่ในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์[63] ในประเทศสหรัฐอเมริกา มูลนิธิโรคลมชักเป็นองค์กรแห่งชาติ ซึ่งมีเป้าหมายในการทำงานเพื่อเพิ่มการยอมรับของผู้ป่วย และ ความสามารถการทำงานในสังคม และ ส่งเสริมการวิจัยเพื่อการรักษา[149] นอกจากนั้นมูลนิธิโรคลมชัก โรงพยาบาลบางแห่ง และ บุคคลบางกลุ่ม ยังช่วยสนุนองค์กรอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับโรคลมชักในสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นเดียวกัน[150]

แหล่งที่มา

WikiPedia: โรคลมชัก http://www.tc.gc.ca/eng/civilaviation/publications... http://books.google.ca/books?id=4W7UI-FPZmoC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=6Kq4Zt2KOpcC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=BUs-AYMBbC0C&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=BbeWA-gbiiwC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=K-1UqhH2BtoC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=a6Ygv5_RKKsC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=gLOv8XZ5u48C&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=mY-6eweiQm8C&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=yJQQzPTcbYIC&pg=PA...