การรักษา ของ โรคลมชัก

ผู้ป่วยโรคลมชักมักจะต้องรักษาโดยการใช้ยาทุกวันหลังจากมีการชักครั้งที่สอง[24][63] แต่สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงอาจเริ่มใช้ยาทันทีหลังมีอาการชักครั้งแรก[63] ในกรณีที่อาการชักของผู้ป่วยทนทานต่อการรักษาด้วยยา อาจลองใช้การรักษาทางเลือกอื่น ๆ เช่น การกินอาหารพิเศษ การปลูกถ่ายเครื่องมือกระตุ้นสมอง หรือ การผ่าตัดสมอง

การปฐมพยาบาล

ผู้พบเห็นสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยที่กำลังมีอาการชักแบบเกร็งกระตุกได้โดยจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านอนตะแคงหรือท่าพักฟื้นเพื่อป้องกันการสำลัก[89] ไม่แนะนำให้ใส่นิ้ว ที่กดลิ้น หรือวัสดุใดๆ เข้าไปในปาก เนื่องจากอาจกระตุ้นให้ผู้ป่วยอาเจียน ทำให้สำลักได้ง่ายขึ้น หรืออาจเป็นอันตรายต่อผู้ช่วยเหลือได้[26][89] การช่วยเหลืออื่นๆ ควรเน้นไปที่การป้องกันอันตรายจากวัตถุรอบตัว.[26] ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องตรึงกระดูกสันหลัง[89]

หากผู้ป่วยชักนานกว่า 5 นาที หรือชักมากกว่า 2 ครั้ง ใน 1 ชั่วโมง โดยระหว่างนั้นผู้ป่วยไม่กลับฟื้นคืนสติ ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์เรียกว่าภาวะชักต่อเนื่อง (status epilepticus)[63][90] ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องได้รับการปกป้องทางหายใจ[63] เช่น การใส่ท่อหายใจทางจมูก[89] ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการชักเป็นเวลานานในบ้านหรือที่อยู่อาศัย มิดาโซแลมจะเป็นยาตัวแรกที่ได้รับการแนะนำให้ใช้โดยให้กินทางปาก[91] หรืออาจใช้ไดอาซีแพมโดยสอดทางทวารหนัก[91] ส่วนในโรงพยาบาลนิยมให้ลอราซีแพมทางหลอดเลือดดำ[63] หากใช้ยาในกลุ่มเบ็นโซไดอาเซพีนสองขนาดยาแล้วยังไม่ตอบสนอง อาจจำเป็นต้องใช้ยาอื่น เช่น เฟนิโทอิน[63] ผู้ป่วยภาวะชักต่อเนื่องแบบกระตุกที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาเบื้องต้นส่วนใหญ่จำเป็นต้องรับไว้ในหออภิบาลผู้ป่วยหนัก เพื่อรักษาด้วยยาอื่นที่ออกฤทธิ์รุนแรงกว่าเช่น ไทโอเพนทอล หรือ โปรโพฟอล เป็นต้น[63]

ยา

ยากันชัก

การรักษาโรคลมชักส่วนใหญ่จะทำโดยให้ผู้ป่วยทานยากันชักและอาจจำต้องกินไปตลอดชีวิต[24] การเลือกชนิดของยากันชักมักจะขึ้นอยู่กับ ชนิดของอาการชัก กลุ่มอาการลมชัก ยาอื่น ๆ ที่ผู้ป่วยใช้อยู่ ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่มี จนไปถึงอายุและวิถีชีวิตของผุ้ป่วย[91] การรักษาขั้นแรกแนะนำให้เลือกใช้ยาเพียงตัวเดียว[92] หากไม่ได้ผลแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้ยาตัวเดียวชนิดอื่น ๆ[63] การให้ยาสองชนิดพร้อม ๆ กันจะแนะนำให้ใช้ในกรณีที่การให้ยาตัวเดียวไม่ได้ผล[63] ตามสถิติประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยจะสามารถหยุดชักจากการใช้ยาตัวแรก การเปลี่ยนไปใช้ยาตัวที่สองสามารถช่วยหยุดการชักให้ผู้ป่วยอีกประมาณ 13% ในขณะที่การเปลี่ยนยาครั้งที่สาม หรือ การให้ยาสองตัวในคราวเดียวกันอาจช่วยเพิ่มการหยุดชักได้อีก 4%[93] ประมาณ 30% ของผู้ป่วยจะไม่ตอบสนองกับยากันชัก[10]

ยากันชักในท้องตลาดมีอยู่หลายชนิด จากการศึกษาพบว่ายาเช่น เฟนิโทอิน คาร์บามาเซพีน และ วัลโปรเอต มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันในการยับยั้งการชักทั้งแบบเริ่มต้นเฉพาะจุดและแบบทั่วไป[94][95] คาร์บามาเซพีนแบบควบคุมการปลดปล่อยมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับแบบออกฤทธิ์ทันทีและอาจมีผลข้างเคียงน้อยกว่าแบบออกฤทธิ์ทันที[96] ในสหราชอาณาจักร คาร์บามาเซพีน หรือ ลาโมไตรจีน จะเป็นยาทางเลือกแรกที่ใช้ในการรักษาการชักแบบเริ่มต้นเฉพาะจุด ในขณะที่ ลีวีไตราซิแทม (Levetiracetam) และ วัลโปรเอต เป็นยาทางเลือกรองเนื่องจากปัญหาทางราคาและผลข้างเคียง[63] สำหรับการรักษาการชักแบบทั่วไป วัลโปรเอต ถือเป็นยาทางเลือกแรกในขณะที่ ลีวีไตราซีแทม เป็นยาทางเลือกที่สอง[63] เอตโทซักซิไมด์ (ethosuximide) หรือ วัลโปรเอต มักใช้ในผู้ป่วยที่การชักทั่วไปแบบชักเงียบ นอกจากนั้น วัลโปรเอต ยังมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการชักแบบกล้ามเนื้อกระตุก เกร็ง และ ไม่เกร็ง ด้วยเช่นเดียวกัน[63] หากอาการชักได้รับการควบคุมอย่างดีจากยา การตรวจสอบระดับยาในเลือดเป็นประจำไม่ถือเป็นความจำเป็น[63]

ยากันชักที่มีราคาถูกที่สุดคือ ฟีโนบาร์บิทัล (phenobarbital) ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายอยู่ทีประมาณ 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี[19] องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใช้ยาชนิดนี้เป็นยาทางเลือกแรกในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเหล่านี้ก็มักใช้ยาชนิดนี้อย่างแพร่หลาย[97][98]อย่างไรก็ตามการเข้าถึงยาชนิดนี้ยังอาจเป็นเรื่องยากในบางประเทศเนื่องจากในประเทศนั้น ๆ มีการระบุให้ ฟีโนบาร์บิทัล เป็นยาควบคุม[19]

รายงานผลงานวิจัยหลาย ๆ ฉบับพบว่าโอกาสที่ผู้ป่วยจะได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยากันชักมีความแตกต่างกันมากโดยอยู่ระหว่าง 10 - 90% ขึ้นอยู่กับวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล[99] อาการข้างเคียงส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับปริมาณของยาที่ใช้ และ มีความรุนแรงน้อย[99] ยกตัวอย่างเช่น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ความง่วง หรือ ภาวะเดินเซ[99] ผลข้างเคียงของยาบางชนิดไม่มีความเกี่ยวข้องกับปริมาณของยายกตัวอย่างเช่น ผื่น ตับอักเสบ หรือ โลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ[99] ประมาณหนึ่งในสี่ของผู้ป่วยต้องหยุดการใช้ยาเนื่องจากผลข้างเคียงของยา[99] ยาบางอย่างมีเกี่ยวข้องกับความผิดปกติแต่กำเนิดของทารกเมื่อใช้ในหญิงตั้งครรภ์[63] มีการรายงานว่ายากันชักที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น วัลโปรเอต เฟนิโทอิน คาร์บามาเซพีน ฟีโนบาร์บิทัล และ กาบาเพนติน (gabapentin) เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติแต่กำเนิดของทารก[100] โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใช้ในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์[101] อย่างไรก็ดีหากการรักษาได้ผลเป็นที่น่าพอใจการให้ยามักจะดำเนินต่อไปเนื่องจากมีความเชื่อว่าผลเสียของการไม่ควบคุมโรคลมชักมีมากกว่าผลเสียที่ผู้ป่วยจะได้รับจากยา[101] ในบรรดายากันชักทั้งหมด ลีวีไตราซิแทม และ ลาโมไตรจีน มีความเสี่ยงน้อยที่สุดในการทำให้เกิดความผิดปกติแต่กำเนิดของทารก[100]

การหยุดยากันชักอย่างช้า ๆ อาจเป็นไปได้ในผู้ป่วยบางรายที่ไม่แสดงอาการชักเป็นเวลาสองถึงสี่ปี อย่างไรก็ดีประมาณหนึ่งในสามของผู้ป่วยที่หยุดยาจะมีอาการกำเริบภายในหกเดือนแรก[63][102] การหยุดยาสำเร็จพบได้ประมาณ 70% ของผู้ป่วยเด็กและ 60% ของผู้ใหญ่[29]

การผ่าตัด

การผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีการชักแบบเริ่มต้นเฉพาะจุดที่การรักษาอื่น ๆ ไม่ได้ผล[103] การรักษาอื่น ๆ รวมถึงการลองใช้ยาอย่างน้อยแล้วสองถึงสามตัว[104] เป้าหมายของการผ่าตัดคือการควบคุมอาการชักอย่างสมบูรณ์แบบ[105] แต่มีโอกาสสำเร็จเพียง 60-70%[104]

ขั้นตอนทั่วไปรวมถึง การตัดฮิปโปแคมปัสออกจากสมองกลีบขมับส่วนหน้า การผ่าตัดเนื้องอกทิ้ง และ การผ่าเอาบางส่วนของคอร์เทกซ์ใหม่ออก[104] การผ่าตัดบางอย่างเช่น การผ่าแยกคอร์ปัส คาโลซัมให้ออกจากกันเป็นความพยายามที่จะลดจำนวนครั้งของการชักมากกว่าที่จะรักษาที่สาเหตุของโรค[104] หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นอาจค่อย ๆ ระงับการใช้ยาได้ในผู้ป่วยบางราย[104]

การกระตุ้นระบบประสาทอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ไม่สามารถได้รับการผ่าตัด[63] จากการศึกษาพบว่าการกระตุ้นระบบประสาทที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งอาการชักที่ไม่ตอบสนองต่อยามีอยู่สามประเภท ได้แก่ กระตุ้นเส้นประสาทเวกัส, การกระตุ้นกลีบขมับส่วนหน้า และ การใช้เครื่องกระตุ้นประสาทระบบปิดโดยฝังเครื่องมือภายในกระโหลกศีรษะของผุ้ป่วย[11]

โภชนาการ

การกินอาหารแบบคีโตเจนิค (อาหารไขมันสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ และ มีโปรตีนเพียงพอ) สามารถลดจำนวนการชักและยุติอาการชักในผู้ป่วยบางราย[12] ดังนั้นจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยา และ ไม่สามารถรับการรักษาโดยการผ่าตัด[12] มีผู้ป่วยเพียง 10% ที่สามารถใช้การรักษาแนวนี้ได้เกิน 1 - 3 ปีเนื่องจากข้อจำกัดเรื่องประสิทธิภาพ และ ความทนทานของผู้ป่วยในการควบคุมอาหารอย่างต่อเนื่อง[106] ผลข้างเคียงรวมถึงปัญหาทางกระเพาะอาหารและลำไส้ซึ่งพบได้ 30% นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงระยะยาวที่จะเกิดโรคหัวใจ[106] การควบคุมอาหารแบบไม่สุดโต่งอาจช่วยให้ผู้ป่วยทนกับการปฏิบัติได้นานขึ้น และ อาจมีประสิทธิภาพดี[12] ยังไม่สามารถหาสาเหตุว่าทำไมการควบคุมอาหารชนิดนี้ถึงยับยั้งการเกิดอาการชักได้[107] การออกกำลังกายได้รับการเสนอว่าอาจมีประโยชน์ในการป้องกันการชัก[108] และมีข้อมูลพอสมควรที่สนับสนุนคำอ้างนี้[109]

สำหรับคนที่มีโรคของซีลิแอ็ก หรือ ภาวะแพ้กลูเตนซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับโรคของซีลิแอ็ก และ ภาวะแคลเซียมเกาะสมองกลีบท้ายทอย (occipital calcifications) การทานอาหารปราศจากกลูเตน อาจช่วยลดความถี่ของการชักได้[51]

การจัดการอื่น ๆ

การบำบัดโดยการหลีกเลี่ยงคือ การลด หรือ ขจัดตัวชักนำ ที่ก่อให้เกิดการชัก ตัวอย่างเช่น ในผู้ป่วยที่แสงชักนำให้เกิดอาการอาจได้ประโยชน์จากการดูโทรทัศน์ที่มีขนาดเล็ก หลีกเลี่ยงการเล่นวิดีโอเกม หรือ ใส่แว่นตาดำเพื่อป้องกัน[110]

การสนองตอบทางชีวภาพโดยใช้ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางจากการเฝ้าดูการบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง ได้รับการสนับสนุนให้ใช้ในผู้ป่วยบางรายที่ไม่ตอบสนองต่อยา[111] ทั้งนี้ทั้งนั้นในขณะนี้ยังไม่สนับสนุนให้ใช้วิธีทางจิตวิทยาแทนการใช้ยาเพื่อควบคุมอาการชัก[63] สุนัขบางตัว (มักเรียกว่า สุนัขสำหรับผู้ป่วยโรคลมชัก) อาจมีประโยชน์กับผู้ป่วยในระหว่างที่มีการชัก หรือ การชักสิ้นสุดลง[112][113] ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าสุนัขมีความสามารถในการทำนายอาการชักก่อนที่จะเกิดได้หรือไม่[114]

การแพทย์ทางเลือก

ในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์เพียงพอที่จะสนับสนุนให้ใช้การแพทย์ทางเลือกต่าง ๆ กับผู้ป่วยโรคลมชัก ไม่ว่าจะเป็น การฝังเข็ม[115] การบำบัดทางจิตวิทยา[116] การกินวิตามินเสริมเป็นประจำ[117] หรือ การเล่นโยคะ[118] นอกจากนี้ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนการใช้กัญชา[119][120] หลักฐานที่มีทั้งหมดจนถึงปีค.ศ. 2016 ยังไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการใช้เมลาโทนิน[121] เนื่องจากพบว่าการทดลองทดลองส่วนใหญ่มีคุณภาพไม่ดีพอที่จะทำให้หาข้อสรุปได้[121]

แหล่งที่มา

WikiPedia: โรคลมชัก http://www.tc.gc.ca/eng/civilaviation/publications... http://books.google.ca/books?id=4W7UI-FPZmoC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=6Kq4Zt2KOpcC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=BUs-AYMBbC0C&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=BbeWA-gbiiwC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=K-1UqhH2BtoC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=a6Ygv5_RKKsC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=gLOv8XZ5u48C&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=mY-6eweiQm8C&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=yJQQzPTcbYIC&pg=PA...