โมเดลโลกสามใบ ของ โลกที่หนึ่ง

คำว่าโลกที่หนึ่ง โลกที่สอง และโลกที่สาม ถูกใช้เป็นครั้งแรกเพื่อแบ่งประเทศในโลกออกเป็นสามหมวดหมู่ ความเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ของฐานะเดิมหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หรือที่รู้จักกันว่าสงครามเย็น ทำให้สองรัฐอภิมหาอำนาจ (สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต) แข่งขันกันเพื่อความยิ่งใหญ่ในระดับโลกท้ายที่สุด ทั้งสองประเทศได้สร้างกลุ่มประเทศสองกลุ่ม หรือที่รู้จักกันว่า ค่าย ค่ายเหล่านี้ก่อตั้งขึ้นโดยพื้นฐานแนวความคิดของโลกที่หนึ่งและโลกที่สอง[10]

ช่วงต้นของสงครามเย็น องค์การนาโตและสนธิสัญญาวอร์ซอได้ริเริ่มขึ้นโดยสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตตามลำดับ ซึ่งสองกลุ่มประเทศนี้ยังอาจเรียกว่าเป็น ค่ายตะวันตก และ ค่ายตะวันออก ก็ได้ สภาพของค่ายทั้งสองนี้มีความแตกต่างกันมากจนสามารถแยกออกเป็นสองโลกได้โดยพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการระบุตัวเลขว่ากลุ่มใดเป็นโลกที่หนึ่งและโลกที่สอง[11][12][13] จุดเริ่มต้นของสงครามเย็นเกิดขึ้นจากสุนทรพจน์ "ม่านเหล็ก" อันมีชื่อเสียงของวินสตัน เชอร์ชิลล์[14] ในสุนทรพจน์ดังกล่าว เชอร์ชิลล์อธิบายถึงการแบ่งแยกระหว่างตะวันตกและตะวันออกว่ามีความหนาแน่นมากจนกระทั่งเรียกได้ว่า "ม่านเหล็ก"[14]

ในปี พ.ศ. 2495 นักประชากรศาสตร์ชาวฝรั่งเศส อัลเฟรด โซวี ได้ประดิษฐ์คำว่าโลกที่สามเพื่อใช้อ้างอิงถึงฐานันดรทั้งสามในฝรั่งเศสยุคก่อนการปฏิวัติ[15] ฐานันดรสองอย่างแรก คือ ชนชั้นสูงและพระสอนศาสนา ส่วนฐานันดรที่สามประกอบด้วยประชากรอื่น ๆ ทั้งหมดนอกเหนือจากสองฐานันดรแรก[15] เขาได้เปรียบเทียบโลกทุนนิยมกับชนชั้นสูง และโลกคอมมิวนิสต์กับพระสอนศาสนา โซวีเรียกประเทศที่เหลือซึ่งไม่รวมอยู่ในการแบ่งแบบสงครามเย็นดังนี้ว่าโกที่สาม ซึ่งก็คือ ประเทศซึ่งไม่เข้ากับฝ่ายใดและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใน "ความขัดแย้งตะวันออก-ตะวันตก"[15][16] ด้วยการประดิษฐ์คำว่า "โลกที่สาม" โดยตรง ทำให้สองกลุ่มแรกกลายมาเป็น "โลกที่หนึ่ง" และ "โลกที่สอง" ตามลำดับ ระบบโลกสามใบจึงเกิดขึ้นโดยประการฉะนี้[13]

หัวหน้าชน Secwepemc จอร์จ มานูเอล เชื่อว่า โมเดลโลกสามใบ เป็นแนวคิดที่ล้าสมัย ในหนังสือของเขาซึ่งเขียนขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2517 The Fourth World: An Indian Reality เขาบรรยายถึงการถือกำเนิดของโลกที่สี่ซึ่งเป็นการประดิษฐ์คำใหม่เช่นกัน โลกที่สี่หมายถึง "ชาติ" (สิ่งทางวัฒนธรรมและกลุ่มเชื้อชาต) ของชาวพื้นเมืองอันมิได้ประกอบขึ้นเป็นรัฐในแง่ของความรู้สึกดั้งเดิม[8] แต่พวกเขาอาศัยอยู่ภายในหรือระหว่างพรมแดนของรัฐแทน (ดูที่ กลุ่มปฐมชาติ) ตัวอย่างหนึ่ง คือ ชาวอเมริกันอินเดียนในทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และแคริบเบียน[8]

ยุคหลังสงครามเย็น

การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี พ.ศ. 2534 ทำให้ค่ายตะวันออกไม่มีอีกต่อไป[17]; เช่นเดียวกับการปรับใช้คำว่า "โลกที่สอง" ทั้งหมด การจำกัดความของโลกที่หนึ่งและโลกที่สามเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่โดยทั่วไปแล้ว ยังอธิบายถึงแนวคิดเดียวกัน

ในอดีต

ระหว่างช่วงสงครามเย็น ความสัมพันธ์ระหว่างโลกที่หนึ่งกับโลกที่สอง และโลกที่หนึ่งกับโลกที่สามมีความตายตัวอย่างมาก โลกที่หนึ่งและโลกที่สองยังต่อสู้กันอย่างไม่ลดละกับอีกฝ่ายหนึ่งผ่านความตึงเครียดระหว่างแก่นของทั้งสองฝ่าย คือ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตตามลำดับ โดยพื้นฐานแล้ว สงครามเย็นเป็นการต้อสู้ทางอุดมการณ์ระหว่างโลกที่หนึ่งและโลกที่สอง หรือหากจะระบุให้เจาะจงยิ่งขึ้น คือ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต[18] ทฤษฎีต่าง ๆ และแผนซึ่งปรากฏในกลไกของสงครามเย็น ได้แก่ ลัทธิทรูแมน แผนมาร์แชลล์ (จากสหรัฐอเมริกา) และแผนโมโลตอฟ (จากสหภาพโซเวียต)[18][19][20] ขอบเขตของการต่อสู้ระหว่างทั้งสองโลกได้ปรากฏหลักฐานในกรุงเบอร์ลิน – ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นส่วนตะวันออกและตัวนตก ในการที่จะหยุดยังมิให้พลเมืองในเบอรลินตะวันตก จากที่มีโอกาสเสี่ยงภัยสูง ไปยังตะวันตกและทุนนิยมซึ่งมีความมั่งคั่งและความสุข สหภาพโซเวียตจึงสร้างกำแพงเบอร์ลิน ขึ้นภายในเขตเมืองที่แท้จริง[21]

ความสัมพันธ์ระหว่างโลกที่หนึ่งและโลกที่สามแสดงลักษณะโดยคำจำกัดความแท้ ๆ ของโลกที่สาม เนื่องจากกลุ่มประเทศโลกที่สามไม่ผูกมัดตัวเองและไม่เข้ากับทั้งโลกที่หนึ่งและโลกที่สอง กลุ่มประเทศเหล่านี้จึงเป็นเป้าหมายของการหาสมาชิกเพิ่มเติมของทั้งสองโลก ในความพยายามขยายเขตอิทธิพลของตน สหรัฐอเมริกาพยายามสร้างประชาธิปไตยและทุนนิยมในโลกที่สาม นอกเหนือจากนั้น เนื่องจากสหภาพโซเวียตก็ต้องการขยายตัวเช่นกัน โลกที่สามจึงมักกลายมาเป็นสถานที่ของสงครามตัวแทน

ทฤษฎีโดมิโนในทวีปเอเชีย

บางตัวอย่างรวมไปถึงในเวียดนามและเกาหลี ความสำเร็จจะเป็นของโลกที่หนึ่งหากผลของสงครามปรากฏว่าประเทศนั้นกลายมาเป็นทุนนิยมและปรชาธิปไตย และจะเป็นของโลกที่สองหากประเทศนั้นกลายมาเป็นคอมมิวนิสต์ ในขณะที่เวียดนามทั้งประเทศกลายมาเป็นคอมมิวนิสต์ทั้งหมด มีเพียงครึ่งส่วนเหนือของประเทศเกาหลีเท่านั้นที่เป็นคอมมิวนิสต์[22][23] ทฤษฎีโดมิโนเป็นทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานของนโยบายสหรัฐอเมริกาต่อโลกที่สามและต่อคู่ปรปักษ์ในโลกที่สองเป็นส่วนใหญ่[24] ในแง่คิดของทฤษฎีโดมิโน สหรัฐอเมริกาเห็นว่าการเอาชนะในสงครามตัวแทนในโลกที่สามเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเพื่อ "สร้างความน่าเชื่อถือของการผูกมัดสหรัฐอเมริกาทั่วโลก"[25]

ในปัจจุบัน

ความเคลื่อนไหวของประชากรและข้อมูลข่าวสารเป็นลักษณะที่สำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างโลกในปัจจุบันนี้[26] ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และวิทยากรใหม่ ๆ ส่วนมากเกิดขึ้นในยุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริกา ซึ่งในภายหลังผลกระทบของวิทยากรเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบไปทั่วโลก โรงเรียนธุรกิจวอร์ทันของมหาวิทยาลัยเพนนิซิลเวีย ประเมินว่าสุดยอดนวัติกรรม 30 อย่างในช่วง 30 ปีหลังนี้ถือกำเนิดในอดีตประเทศโลกที่หนึ่ง (คือ สหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรปตะวันตก)[27]

การแพร่ระบาดของโรคมาลาเรีย

ความไม่เสมอกันระหว่างความรู้ในโลกที่หนึ่งเมื่อเปรียบเทียบในโลกที่สามปรากฏชัดเจนในความเจริญก้าวหน้าด้านสาธารณสุขและการแพทย์ การเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวกับน้ำได้ถูกกำจัดไปแล้วส่วนใหญ่ใน "ประเทศที่มีความมั่งคั่งกว่า" ในขณะที่ยังคง "เป็นปัญหาใหญ่หลวงในประเทศกำลังพัฒนา"[28] มาลาเรียและวัณโรคเป็นโรคซึ่งรักษาได้อย่างกว้างขวางในประเทศพัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่ง ในขณะที่ยังคร่าชีวิตประชากรในประเทศกำลังพัฒนา (โลกที่สาม) สถิติพบว่ามีปผู้เสียชีวิตจากโรคมาลาเรีย 900,000 คนต่อปี และการรับมือกับโรคมาลาเรียคิดเป็นต่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขกว่า 40% ในหลายประเทศทวีปแอฟริกา[29] มาลาเรียและโรคอื่น ๆ ที่ถูกกำจัดไปแล้วในโลกที่หนึ่ง ยังคงแพร่ระบาดในโลกที่สาม ซึ่งทำให้ "ประชาคมจมลงสู่ความยากจน"[29] อย่างไรก็ตาม ประเทศโลกที่หนึ่งหลายประเทศมีแผนการช่วยเหลือประเทศดลกที่สามเพื่อให้เข้าถึงข้อมูลและความเจริญก้าวหน้า ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา บารัก โอบามา รับประกันที่จะ "ยุติการเสียชีวิตจากโรคมาลาเรียภายในปี พ.ศ. 2558" โดยการบรรลุ "การเข้าถึงการรักษาและความพยายามป้องกันราคาถูกซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วของประชาชนทั่วโลก"[30]

เมื่อไม่นานมานี้ องค์กรความร่วมมือเพื่อการกำหนดชื่อและหมายเลขอินเทอร์เน็ต (ICANN) เพิ่งจะประกาศว่าชื่อโดเมนที่ใช้อักขระท้องถิ่น (IDNs) แรกจะสามารถใช้การได้อย่างเร็วที่สุดในฤดูร้อน พ.ศ. 2553 โดเมนที่ไม่ใช่ภาษาละตินเหล่านี้ อย่างเช่น ภาษาจีน ภาษาอารบิก และภาษารัสเซีย จะเป็นหนึ่งหนทางในการไหลของข้อมูลข่าวสารระหว่างโลกที่หนึ่งและโลกที่สามมีความสม่ำเสมอยิ่งขึ้น[31]

ความเคลื่อนไหวของข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีจากโลกที่หนึ่งไปยังหลายประเทศโลกที่สามได้สร้าง "ความปรารถนาที่จะไปถึงคุณภาพชีวิตของโลกที่หนึ่ง" โดยทั่วไป[26] โลกที่สามมีคุณภาพชีวิตต่ำกว่าเมื่อเทียบกับโลกที่หนึ่ง[13] ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตที่สูงกว่าของโลกที่หนึ่งได้ส่งผ่านทางโทรทัศน์ โฆษณาทางการค้า และนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่เดินทางไปยังประเทศนั้น ๆ[26] การเปิดเผยนี้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงสองประการ: 1) คุณภาพชีวิตในประเทศโลกที่สามบางประเทศจะสูงขึ้น และ 2) การเปิดเผยดังกล่าวจะสร้างความหวังและทำให้มีการอพยพจำนวนมากจากประเทศโลกที่สามไปยังประเทศโลกที่หนึ่ง โดยหวังว่าจะนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตและความร่ำรวย ทั้งแบบถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย[26] ในความเป็นจริง การอพยพเช่นนี้เป็น "ส่วนสำคัญที่ทำให้ประชากรสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรปเพิ่มมากขึ้น"[26] ในขณะที่การอพยพนี้ได้มีส่วนสำคัญต่อโลกาภิวัตน์ ก็ยังได้ก่อให้เกิดกระแสสมองไหลอย่างรวดเร็วและมีปัญหาในการส่งกลับประเทศเดิม การอพยพนี้ยังสร้างปัญหาของการเข้ามาอยู่และเป็นภาระให้กับรัฐบาลที่มีประชากรอพยพไปอยู่เป็นจำนวนมาก[26] (ส่วนใหญ่คือโลกที่หนึ่ง)

ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัว

เป็นที่โต้เถียงกันว่าปัญหาของประชากรมนุษย์ที่สำคัญที่สุดมิใช่อัตราการเกิดที่สูงของประชากรในกลุ่มประเทศโลกที่สาม หากแต่เป็น "การเพิ่มผลกระทบของมนุษย์โดยรวม"[26] ผลกระทบต่อหัว ซึ่งหมายถึงการบริโภคทรัยะยากรและการสร้างของเสียโดยมนุษย์แต่ละคน มีความแตกต่างกันทั่วโลก; โดยที่ค่าดังกล่าวสูงสุดในโลกที่หนึ่ง และต่ำสุดในโลกที่สาม: ผู้อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกา ยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่น บริโภคทรัพยากรคิดเป็น 32 เท่า และก่อให้เกิดของเสียเป็น 32 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่อยู่อาศัยในโลกที่สาม[26] เช่นเดียวกัน ประเทศโลกที่หนึ่ง อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และแคนาดา เป็นประเทศผูผลิตคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลก ซึ่งมีส่วนต่อการแพร่ก๊าซเรือนกระจกอย่างมโหฬาร ประเทศโลกที่หนึ่งเหล่านี้ได้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากจนกระทั่งเกือบจะหมดไป; ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะประเทศโลกที่หนึ่งมีรายได้ที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว แต่มีข้อยกเว้นในบางประเทศ กลุ่มประเทศโลกที่หนึ่งอย่างเช่นนอร์เวย์ สวีเดน และเยอรมนี ได้ทำงานกับธรรมชาติ และได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการมีอยู่ของธรรมชาติ[32]

ประเทศจีนถือได้ว่าเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่สุดในโลก แต่ประชากรจำนวนมหาศาลเฉลี่ยค่าสถิติต่อหัวลงจนกระทั่งน้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้วทั้งหมด[33]

ประเทศโลกที่หนึ่งเป็นผู้บริโภครายใหญ่ของเชื้อเพลิงฟอสซิล จึงได้หันไปให้ความสนใจกับมลพิษที่เกิดกับสิ่งแวดล้อม[34] พิธีสารเกียวโตเป็นสนธิสัญญาซึ่งตั้งอยู่บนอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2534 ในการประชุมสุดยอดผู้นำโลกในริโอ[35] ในที่ประชุมได้มีการเสนอปัญหาของการป้องกันภูมิอากาศแก่สหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศโลกที่หนึ่งอื่น ๆ[35] ประเทศซึ่งได้รับพิจารณาว่ากำลังพัฒนา อย่างเช่น จีนและอินเดีย ไม่จำเป็นที่จะต้องอนุมัติสนธิสัญญาดังกล่าวเนื่องจากประเทศเหล่านี้มีความกังวลว่าการลดการแพร่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเป็นการบั่นทอนการพัฒนาของตน[35]

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ในอดีต มีการให้ความสนใจน้อยมากในผลประโยชน์จากกลุ่มประเทศโลกที่สาม[36] ซึ่งเป็นเพราะว่านักวิชาการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศส่วนมากมาจากประเทศโลกที่หนึ่งซึ่งเป็นประเทศอุตสาหกรรม[37] เมื่อมีประเทศมากขึ้นที่ดำเนินการพัฒนาจนพัฒนาแล้ว ผลประโยชน์ของโลกจึงได้เริ่มเปลี่ยนแปลงทีละน้อย[36] อย่างไรก็ตาม ประเทศโลกที่หนึ่งยังคงมีมหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์ วารสาร และการประชุมมากที่สุด ทำให้เป็นการยากแก่ประเทศโลกที่สามในการได้รับความชอบและความเคารพนับถือในความคิดและวิธีการใหม่ของตนเองในการมองโลก[36]

ทฤษฎีการพัฒนา

ระหว่างสงครามเย็น ทฤษฎีการทำให้ทันสมัยและทฤษฎีการพัฒนาได้ถือกำเนิดขึ้นในทางตะวันตกอันเป็นผลมาจากการตอบสนองทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรมของกลุ่มประเทศเหล่านั้นต่อการบริหารจัดการอดีตดินแดนอาณานิคมของตน[38] นักวิชาการตะวันตกและผู้ประกอบกิจด้านการเมืองระหว่างประเทศหวังว่าจะสร้างทฤษฎีแนวคิดและจากนั้นสร้างนโยบายอันตั้งอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดซึ่งจะทำให้เกิดอาณานิคมเอกราชใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลงไปสู่รัฐชาติซึ่งได้รับอธิปไตยอันมีพัฒนาการทางการเมือง[38] อย่างไรก็ตาม นักทฤษฎีส่วนมากมาจากสหรัฐอเมริกา และไม่ให้ความสนใจในการบรรลุการพัฒนาตามรูปแบบใด ๆ ของกลุ่มประเทศโลกที่สาม พวกเขาต้องการให้ประเทศเหล่านี้พัฒนาผ่านกระบวนการเสรีทางการเมือง เศรษฐกิจ และการขัดเกลาทางสังคม; หรืออาจกล่าวได้ว่า พวกเขาต้องการให้ประเทศโลกที่สามดำเนินรอยตามทุนนิยมเสรีแบบตะวันตกอันเป็นตัวอย่างของสิ่งที่เรียกว่า "รัฐโลกที่หนึ่ง"[38] ดังนั้น การทำให้ทันสมัยและวัฒนธรรมการพัฒนาจึงเป็นความคิดซึ่งถือกำเนิดในรูปของทางเลือกของตะวันตก (ส่วนใหญ่เป็นสหรัฐอเมริกา) ต่อยุทธศาสตร์มาร์กซิสต์และนีโอมาร์กซิสต์ซึ่งเสนอโดย "รัฐโลกที่สอง" อาทิ สหภาพโซเวียต[38] นอกจากนี้ การทำให้ทันสมัยและวัฒนธรรมการพัฒนายังใช้เพื่ออธิบายว่ารัฐโลกที่สามจะพัฒนาตนเองอย่างเป็นธรรมชาติไปสู่รัฐโลกที่หนึ่งซึ่งพัฒนาแล้ว และมันยังอยู่บนพื้นฐานบางส่วนจากทฤษฎีเศรษฐกิจเสรีและรูปแบบทฤษฎีสังคมของทัลคอตต์ พาร์สันส์[38]

ใกล้เคียง

โลกที่หนึ่ง โลกที่สาม โลกที่ไม่มีเธอ โลกที่พูดภาษาอังกฤษ โลกที่ห้า (เทพปกรณัมกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกัน) โลกที่สอง โลกที่สี่ โลกนี้ โลกหน้า ข้าก็เป็นพระเจ้า โลกทั้งใบให้นายคนเดียว โลกสีรุ้งจอมปีศาจ

แหล่งที่มา

WikiPedia: โลกที่หนึ่ง http://www.environmentalquestions.com/collaboratio... http://books.google.com/books?id=4P-RPDXaKzMC&pg=R... http://books.google.com/books?id=IG3PcfCGfQsC&pg=P... http://books.google.com/books?id=PCbVkCkmCoIC&prin... http://www.historyplace.com/speeches/ironcurtain.h... http://knowledge.wharton.upenn.edu/article.cfm?art... http://www.uwec.edu/geography/Ivogeler/w111/3world... http://www.cfo.doe.gov/me70/manhattan/cold_war.htm http://www.who.int/mediacentre/factsheets/fs094/en... http://obama.3cdn.net/c66c9bcf20c49ee2ce_h6ynmvjq8...