การเสกสมรสในฐานะนโยบายการต่างประเทศ ของ การเสกสมรสระหว่างราชวงศ์

ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่: การแต่งงานแห่งรัฐ
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส และ พระเจ้าเฟลีเปที่ 4 แห่งสเปน ทรงพบปะกัน ณ เกาะเฟียสันท์ เพื่อลงพระนามาภิไธยในสนธิสัญญาพิเรนีส ซึ่งส่วนหนึ่งของข้อตกลงในสนธิสัญญากำหนดให้มีการอภิเษกสมรสกันระหว่างพระเจ้าหลุยส์และเจ้าหญิงมาเรีย เทเรส พระราชธิดาของพระเจ้าเฟลีเปที่ 4

ในอุดมคติของวัฒนธรรมตะวันตกร่วมสมัย การเสกสมรสคือสายสัมพันธ์อันเป็นเอกลักษณ์ระหว่างคู่รักสองคน ในขณะที่ครอบครัวซึ่งสายเลือดและการสืบสกุลคือจุดศูนย์กลางของอำนาจและมรดกตกทอด (เช่น พระราชวงศ์ของกษัตริย์) มักมองการแต่งงานในรูปแบบที่ต่างออกไป บ่อยครั้งที่มักจะมีภาระความรับผิดชอบทางการเมืองหรือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรักใคร่ให้ต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นว่าที่คู่ครองในอนาคตจึงต้องได้รับการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในรายละเอียดเกี่ยวกับฐานะความมั่งคั่งและอำนาจบารมี เป็นผลให้การเสกสมรสด้วยเหตุผลทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือการทูต คือรูปแบบที่พบเห็นได้โดยทั่วไปในชนชั้นผู้ปกครองของยุโรปมานานนับศตวรรษ[4]

ทวีปยุโรป

สมัยกลางและสมัยใหม่ช่วงต้น

การเลือกคู่อภิเษกสมรสอย่างถี่ถ้วนมีความสำคัญต่อการดำรงสถานะราชวงศ์ เช่น ในดินแดนบางแห่ง หากเจ้าชายหรือพระราชาเสกสมรสกับสามัญชนผู้ไม่มีเชื้อสายราชวงศ์ และแม้ว่าบุตรธิดาคนแรกอันประสูติแด่เจ้าชายหรือพระราชาจะเป็นรับรู้กันโดยทั่วไปแล้วก็ตาม บุตรธิดาคนดังกล่าวอาจไม่มีสิทธิ์อ้างตนเป็นเชื้อขัตติยราชสกุลตามพระบิดาได้เลย[4]

ตามประเพณีแล้ว การเสกสมรสระหว่างราชวงศ์มีปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบสำคัญหลายประการ เช่น ความกว้างใหญ่ของอาณาเขตพื้นที่ที่ราชวงศ์นั้นปกครองหรือควบคุมอยู่[4] หรือปัจจัยที่เกี่ยวข้องอีกประการหนึ่งก็คือเสถียรภาพในการปกครองดินแดนของตน เนื่องจากราชวงศ์ต่าง ๆ มักมีท่าทีบ่ายเบี่ยงหากอีกราชวงศ์ที่จะร่วมเสกสมรสด้วยนั้นเผชิญกับความไม่แน่นอนในการปกครอง[4] พันธมิตรทางการเมืองก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ เพราะการเสกสมรสเช่นนี้คือตัวแปรสำคัญที่จะช่วยผูกมัดเอาสองราชวงศ์และประเทศเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งในยามสงบและยามศึกสงคราม อีกทั้งยังเป็นตัวแปรที่ช่วยตัดสินความเป็นไปทางการเมืองครั้งสำคัญ ๆ ได้อีกด้วย[4][5]

นอกจากนี้การเสกสมรสระหว่างราชวงศ์ยังหมายถึงโอกาสที่ดินแดนจะตกไปอยู่การครอบครองของราชวงศ์อื่นอีกด้วย เช่นในกรณีที่รัชทายาทลำดับแรกสุดผู้ประสูติแด่พระราชบิดา-มารดาซึ่งฝ่ายหนึ่งสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ต่างชาติ[6][n 2][n 3] เช่นในกรณีของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ที่แผ่ขยายอิทธิพลของตนผ่านการเสกสมรสกับราชวงศ์ต่าง ๆ และอภิสิทธิ์ทางการเมืองเหนือดินแดนที่ต่อมารวมกันเป็นสวิตเซอร์แลนด์ในปัจจุบัน และในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ราชวงศ์นี้ยังมุ่งเน้นนโยบายการเสกสมรสกับราชวงศ์ในอัลซาซบนและชวาเบีย[7] ซึ่งนโยบายการรวมดินแดนผ่านการเสกสมรสเช่นนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก จนก่อให้เกิดคำขวัญในภาษาละตินว่า Bella gerant alii, tu, felix Austria, nube! ("ปล่อยให้ผู้อื่นทำศึกสงครามไป ส่วนเธอ, ออสเตรียผู้แสนสุข, จงเสกสมรส!")[8]

พระบรมสาทิสลักษณ์ในวัยเยาว์ของพระราชินีนาถแมรีที่ 1 แห่งสกอตแลนด์ และพระเจ้าฟร็องซัวที่ 2 แห่งฝรั่งเศส พระราชสวามี (วาดขึ้นไม่นานหลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระเจ้าฟร็องซัวที่ 2)

แต่ในบางกรณี พระมหากษัตริย์บางพระองค์ก็จะทรงทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเสกสมรสระหว่างราชวงศ์ เช่นในกรณีของเจ้าหญิงมาเรีย เทเรส พระราชธิดาในพระเจ้าเฟลีเปที่ 4 แห่งสเปน เมื่อเสกสมรสกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ทรงถูกบังคับให้สละราชสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์สเปน[9] และในบางกรณีเมื่อพระมหากษัตริย์หรือรัชทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงยอมเสกสมรสแลกกับข้อตกลงพิเศษ (บางครั้งมาในรูปแบบสนธิสัญญา) จะมีการเจรจาตกลงในประเด็นการสืบราชสมบัติไว้ล่วงหน้า เช่น ข้อตกลงในการเสกสมรสระหว่างพระเจ้าเฟลีเปที่ 2 แห่งสเปน และพระราชินีนาถแมรีที่ 1 แห่งอังกฤษ ที่กำหนดไว้ว่ามรดกจากฝั่งพระมารดา เช่น เบอร์กันดีและกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ จะถูกมอบให้แก่พระราชโอรส-ธิดาของทั้งสองพระองค์ในอนาคต แต่มรดกในฝั่งของพระบิดา อันประกอบไปด้วยสเปน, เนเปิลส์, ซิซิลี และมิลาน จะตกทอดไปยังดอน การ์โลส พระราชโอรสองค์แรกในพระเจ้าเฟลีเปกับพระนางมารีอา มานูเอลาแห่งโปรตุเกส ซึ่งหากดอน การ์โลส สิ้นพระชนม์โดยปราศจากรัชทายาทแล้ว มรดกฝั่งพระบิดาจึงจะตกทอดไปยังพระราชโอรส-ธิดา อันประสูติจากการเสกสมรสครั้งที่สองกับพระนางแมรี[10] ในทางกลับกัน การเสกสมรสระหว่างพระราชินีนาถแมรีที่ 1 แห่งสกอตแลนด์ กับพระเจ้าฟร็องซัวที่ 2 แห่งฝรั่งเศส (พระราชโอรสและรัชทายาทของพระเจ้าอองรีที่ 2) ในปี พ.ศ. 2101 อันเป็นผลมาจากสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สกอตแลนด์ กำหนดว่าหากพระราชินีนาถแมรีสวรรคตโดยปราศจากรัชทายาท จะส่งผลให้ราชบัลลังก์สกอตแลนด์ถูกรวมเข้ากับราชบัลลังก์ฝรั่งเศส[10]

ศาสนามีสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับวงการเมืองของยุโรป เช่น บทบาทสำคัญในระหว่างการเจรจาเพื่อจัดการเสกสมรสขึ้น การเสกสมรสระหว่างเจ้าหญิงฝรั่งเศส มาร์เกอริตแห่งวาลัว กับพระเจ้าอองรีที่ 3 แห่งนาวาร์ (ผู้นำฝ่ายอูเกอโนต์ในฝรั่งเศส) ณ กรุงปารีส พ.ศ. 2105 ปรากฏชัดแจ้งว่าคือความพยายามในการ กระชับมิตร ระหว่างฝ่ายคาทอลิกและฝ่ายโปรเตสแตนท์ในฝรั่งเศส แต่ผลแท้จริงกลับเป็นเพียงกลอุบายลวงดังปรากฏเป็นเหตุการสังหารหมู่วันเซนต์บาโทโลมิว[11] และภายหลังการปฏิรูปศาสนาของอังกฤษ คู่เสกสมรสระหว่างพระมหากษัตริย์อังกฤษกับเจ้าหญิงในรีตโรมันคาทอลิกมักไม่เป็นที่นิยม โดยเฉพาะในกรณีที่พระราชินีไม่ทรงยินยอมที่จะเปลี่ยนไปเข้ารีตโปรเตสแตนท์หลังการเสกสมรส หรืออย่างน้อยที่สุดทรงแอบประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของตนแบบลับ ๆ[n 4] ซึ่งต่อมามีการผ่านพระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ในปี พ.ศ. 2243 ที่จำกัดสิทธิ์รัชทายาทผู้เสกสมรสกับชาวคาทอลิกไม่ให้สืบราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์อังกฤษ[13] ส่วนราชวงส์ผู้ปกครองอื่น ๆ อาทิเช่น ราชวงศ์โรมานอฟ[n 5] และราชวงศ์ฮับส์บูร์ก[16] ที่ยินยอมให้มีการเสกสมรสก็ต่อเมื่อคู่เสกสมรสอยู่ในรีตเดียวกันอยู่แล้วหรือเต็มใจที่จะเปลี่ยนรีตของตน เช่น ในปี พ.ศ. 2469 เมื่อเจ้าหญิงอัสตริดแห่งสวีเดนเสกสมรสกับพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 3 แห่งเบลเยียม ที่ทรงตกลงว่าพระราชโอรส-ธิดาจะทรงได้รับการเลี้ยงดูแบบคาทอลิก แต่ไม่ได้กำหนดให้เจ้าหญิงอัสตริดต้องทรงสละรีตลูเทอแรนของพระองค์ แม้กระนั้นก็ยังทรงเปลี่ยนรีตในปี พ.ศ. 2473[17] นอกจากนี้คู่เสกสมรสบางคู่ถูกล้มเลิกเนื่องจากไม่สามารถประณีประนอมทางศาสนาได้ เช่น แผนการอภิเษกสมรสระหว่างพระเจ้าวลาดิสเลาสที่ 4 วาซาแห่งโปแลนด์ (โรมันคาทอลิก) กับเจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งพาลาทิเนต (ลูเทอแรน) ที่ไม่เป็นที่นิยมชมชอบเนื่องจากขุนนางส่วนมากของโปแลนด์เข้ารีตคาทอลิก ดังนั้นแผนดังกล่าวจึงถูกตีตกไปอย่างเงียบ ๆ[18]

ในบางครั้ง การเสกสมรสระหว่างราชวงศ์ผู้ปกครองกับบริวารใต้อาณัติก็สามารถพบเห็นได้ทั่วไป เช่น พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดธรรมสักขีกับอิดิธแห่งเวสเซ็กซ์ และพระเจ้าวลาดิสเลาสที่ 2 ยากีลโลแห่งโปแลนด์กับเอลิซาเบธ กรานอฟสกา ที่รู้จักกันโดยทั่วไปในยุโรปสมัยกลาง อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ราชวงศ์ต่าง ๆ เริ่มหันเข้าสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเพื่อรักษาอำนาจบารมีและความจงรักภักดีในหมู่สมาชิกคู่แข่งของระบอบศักดินา สายสัมพันธ์ทางเครือญาติกับตระกูลขุนนางท้องถิ่นจึงค่อย ๆ หายไปในท้ายที่สุด เนื่องจากราชวงศ์ต่าง ๆ หันไปเสกสมรสกับราชวงศ์ต่างชาติมากขึ้น[19][20] การเสกสมรสกับบริวารใต้ปกครองเช่นนี้ฉุดดึงเอาพระมหากษัตริย์ลงมาอยู่ระดับเดียวกับประชาชนในปกครองของพระองค์เอง และมักจะก่อให้เกิดความมักใหญ่ใฝ่สูงของครองครัวสามัญชนคู่เสกสมรส ทั้งยังก่อให้เกิดเรื่องราวความอิจฉาริษยาและการดูหมิ่นเหยียดหยามในหมู่ขุนนางศักดินา ส่วนความคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรเสกสมรสกับราชวงศ์หรือพระมหากษัตริย์ต่างชาติเพื่อหลีกเลี่ยงและยุติภัยสงครามนั้น แต่เดิมแนวคิดนี้มีจุดกำเนิดมาจากลัทธิปฏิบัตินิยม ซึ่งในช่วงที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กำลังรุ่งเรือง แนวคิดนี้มีส่วนช่วยให้เกิดแนวความคิดที่ว่าการเสกสมรสระหว่างราชวงศ์ผู้ปกครองกับสามัญชนใต้ปกครองของตนคือข้อเสียเปรียบทั้งทางด้านสังคมและการเมือง ซ้ำยังเป็นการละเลยโอกาสที่จะเสกสมรสกับราชวงศ์ต่างชาติให้หลุดลอยไปโดยไร้ประโยชน์[21][22]

โรมันโบราณ

แม้จักรพรรดิโรมันมักจะเสกสมรสกับสตรีชาวโรมันด้วยกัน แต่กระนั้นราชวงศ์ผู้ปกครองรัฐบริวารที่อยู่ใต้อาณัติของโรมในแถบตะวันออกใกล้และแอฟริกาเหนือก็มักจะจัดการเสกสรมรสระหว่างราชวงศ์ขึ้นเพื่อสั่งสมฐานอำนาจของตน[23] การเสกสมรสเหล่านี้มักจะต้องได้รับความเห็นชอบหรือในบางโอกาสจัดขึ้นตามพระราชโองการจากองค์จักรพรรดิ ฝ่ายโรมเห็นว่าการเสกสมรสเช่นนี้เท่ากับเป็นการเพิ่มพูนเสถียรภาพแก่บรรดารัฐบริวาร และช่วยป้องกันสงครามยิบย่อยที่จะเกิดขึ้นภายในท้องถิ่น อันจะส่งผลกระทบต่อสันติภาพโรมัน[24] เจ้าหญิงกลาฟีราแห่งแคปพาโดเชีย (Glaphyra of Cappadocia) ได้ชื่อว่าทรงตระเตรียมการเสกสมรสระหว่างราชวงศ์ถึงสามครั้งให้แก่ พระเจ้าจูบาที่ 2 แห่งนูมิเดีย, พระเจ้าอเล็กซานเดอร์แห่งยูเดีย และ เฮโรด อาร์เชเลาสแห่งซามาเรีย[25]

ตัวอย่างของการเสกสมรสเช่นในนี้ในสมัยโรมันได้แก่

  • พระเจ้าโพเลมอนที่ 2 แห่งโพนตัส กับ เบเรนิซแห่งยูเดีย (ธิดาของเฮโรด อะกริปพาที่ 1)[26]
  • พระเจ้าอะริสโตบูลัสที่ 4 แห่งยูเดีย กับ เบเรนิซแห่งยูเดีย (ธิดาของซาโลเม)[27]
  • พระเจ้าอะริสโตบูลัส ไมเนอร์แห่งยูเดีย กับ ไอโอทาพาแห่งเอมีซา[28]

จักรวรรดิไบแซนไทน์

ในช่วงเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 14 ภูมิภาคอานาโตเลียและบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยรัฐอธิปไตยขนาดเล็ก ทำให้การเสกสมรสระหว่างราชวงศ์คือเครื่องมือสำคัญในการรักษาไว้ซึ่งสัมพันธไมตรีระหว่างรัฐ

แม้ว่าจักรพรรดิบางองค์อย่างจักรพรรดิจัสตินที่ 1 และจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 จะเสกสมรสกับมเหสีผู้มีพื้นเพต่ำต่อย[n 6] แต่การเสกสมรสระหว่างราชวงศ์ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติในจักรวรรดิไบแซนไทน์ ภายหลังการล้อมกรุงคอนสแตนติโนเปิล พ.ศ. 1747 ราชวงศ์ผู้ปกครองอย่างราชวงศ์ลาสคาริสและราชวงศ์พาลาโอโลกอสเห็นว่าเป็นการรอบคอบแล้วที่จะเสกสมรสกับราชวงศ์ต่างชาติ ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือการเสกสมรสระหว่างจักรพรรดิจอห์นที่ 3 ดูคาส วาตัทซีส กับพระนางคอนสแตนซ์ พระธิดาในจักรพรรดิฟรีดริชที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเสริมสร้างความเป็นพันธมิตรระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น[31] ต่อมาจักรพรรดิมิคาเอลที่ 8 พาลาโอโลกอส ทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับชาวมองโกลในปี พ.ศ. 1806 และจัดการเสกสมรสระหว่างพระธิดาของพระองค์กับข่านของมองโกลเพื่อเสริมสร้างสัมพันธไมตรีดังกล่าว ประกอบด้วย เจ้าหญิงยูฟรอไซน์ พาลาโอโลกีนากับนอไก ข่านแห่งโกลเดนฮอร์ด และเจ้าหญิงมารีอา พาลาโอโลกีนากับอะบาคา ข่านแห่งจักรวรรดิข่านอิล[32] ในช่วงท้ายคริสต์ศตวรรษดังกล่าว จักรพรรดิอันโดรนิคอสที่ 2 พาลาโอโลกอส ก็ทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับกาวานแห่งจักรวรดิข่านอิล รวมถึงตอคตาและอุซเบก ข่านแห่งโกลเดนฮอร์ด นำมาซึ่งการเสกสมรสระหว่างพระธิดาของพระองค์กับบรรดาข่านเหล่านั้น[33]

ผู้ปกครองแห่งจักรวรรดิเทรบิซอนด์ได้ชื่อว่ามักจะจัดการเสกสมรสระหว่างพระธิดาของตนกับรัฐข้างเคียงในฐานะการเจริญสัมพันธไมตรีทางการทูต[n 7] เจ้าหญิงธีโอโดรา มากาเล คอมเนเน พระธิดาในจักรพรรดิจอห์นที่ 4 เสกสมรสกับอุซซุน ข่าน เจ้าแห่งอัค โคยุนลู เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างกัน ซึ่งแม้ว่าพระนางธีโอโดรา ผู้เป็นชาวคริสต์เคร่งศาสนาและจำต้องมาพำนักอยู่ในรัฐอิสลาม จะสามารถแผ่ขยายอิทธิพลของตนเหนือราชกิจของพระสวามีทั้งในและนอกประเทศได้สำเร็จ แต่สัมพันธไมตรีดังกล่าวจะไม่อาาจยับยั้งการล่มสลายของจักรวรรดิเทรบิซอนด์ได้ในท้ายที่สุดก็ตาม[35]

และแม้ว่าการเสกสมรสเช่นนี้จะเป็นการเสริมสร้างสถานะของจักรวรรดิตามปกติ แต่ก็ปรากฏการเสกสมรสข้ามราชวงศ์ที่เป็นการบั่นทอนเสถียรภาพพระราชอำนาจขององค์จักรพรรดิเป็นบางกรณี เช่น เมื่อจักรพรรดิอันโดรนิคอสที่ 2 พาลาโอโลกอส เสกสมรสกับพระเมหสีองค์ที่ 2 พระนางไอรีนแห่งมอนต์เฟอร์แรต เนื่องจากในปี พ.ศ. 1827 พระนางสร้างความแตกแยกในจักรวรรดิจากพระประสงค์ที่จะให้พระโอรสของตนสืบทอดราชสมบัติร่วมกับเจ้าชายมิคาเอล พระโอรสอันประสูติแด่การเสกสมรสครั้งแรก พระนางยังทรงขู่ด้วยว่าจะเสด็จออกจากกรุงคอนสแตนติโนเปิลอันเป็นเมืองหลวง ไปตั้งราชสำนักของตน ณ เมืองรองของจักรวรรดิอย่างเทสซาโลนีกา[31]

หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ในสมัยปัจจุบัน การเสกสมรสระหว่างราชวงศ์ลดจำนวนลงจากสมัยก่อนมาก โดยเฉพาะในบรรดาราชวงศ์ของยุโรป เนื่องจากสมาชิกราชวงศ์ในยุโรปหันมาเสกสมรสกับสมาชิกตระกูลขุนนางท้องถิ่นมากขึ้น เช่นในกรณีของพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร, เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์, พระราชาธิบดีอัลแบร์ที่ 2 แห่งเบลเยียม และเจ้าชายฮันส์-อาดัมที่ 2 แห่งลิกเตนสไตน์ หรือเสกสมรสกับสมาชิกตระกูลขุนนางที่ถูกล้มเลิก เช่น พระราชาธิบดีฟีลิปแห่งเบลเยียม, พระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก และพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์ หรือแม้กระทั่งกับสามัญชนธรรมดา เช่น พระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟแห่งสวีเดน, พระราชาธิบดีฮารัลด์ที่ 5 แห่งนอร์เวย์, แกรนด์ดยุกอ็องรีแห่งลักเซมเบิร์ก, พระราชาธิบดีเฟลีเปที่ 6 แห่งสเปน, พระราชาธิบดีวิลเลม-อเล็กซานเดอร์แห่งเนเธอร์แลนด์, เจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งเคมบริดจ์ และเจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 แห่งโมนาโก

ในยุโรป มีเพียงพระราชาธิบดีควน การ์โลสที่ 1 แห่งสเปน, พระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร และเจ้าชายอาโลอิส เจ้าชายรัชทายาทแห่งลิกเตนสไตน์ เท่านั้นที่เสกสมรสกับสมาชิกราชวงศ์ต่างชาติ[n 8][36]

จึงกล่าวได้ว่าการเสกสมรสต่างราชวงศ์ยังคงเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้

การเสกสมรสระหว่างสองราชวงศ์ปกครอง
พ.ศ. 2525
ราชวงศ์ลิกเตนสไตน์ราชวงศ์นัสเซา-ไวล์บูร์ก
เจ้าชายนิโคลัสแห่งลิกเตนสไตน์ และ เจ้าหญิงมาร์การิธาแห่งลักเซมเบิร์ก[37]
(เสกสมรส : วันที่ 20 มีนาคม ณ มหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งลักเซมเบิร์ก กรุงลักเซมเบิร์ก ประเทศลักเซมเบิร์ก)
พ.ศ. 2507
ราชวงศ์กลึคส์บูร์กราชวงศ์กลึคส์บูร์ก
พระราชาธิบดีคอนสแตนตินที่ 2 แห่งกรีซ และ เจ้าหญิงอันเนอ-มารีแห่งเดนมาร์ก[38]
(เสกสมรส : วันที่ 18 กันยายน ณ มหาวิหารเมืองแห่งเอเธนส์ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ)
พ.ศ. 2505
ราชวงศ์บูร์บงราชวงศ์กลึคส์บูร์ก
พระราชาธิบดีควน การ์โลสที่ 1 แห่งสเปน และ เจ้าหญิงโซเฟียแห่งกรีซและเดนมาร์ก [39]
(เสกสมรส : วันที่ 14 พฤษภาคม ณ มหาวิหารนักบุญไดโอไนซัส กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ)
พ.ศ. 2496
ราชวงศ์นัสเซา-ไวล์บูร์กราชวงศ์ซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา
แกรนด์ดยุกฌ็องแห่งลักเซมเบิร์ก และ เจ้าหญิงโฌเซฟีน-ชาร์ล็อตแห่งเบลเยียม[40]
(เสกสมรส : วันที่ 9 เมษายน ณ มหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งลักเซมเบิร์ก กรุงลักเซมเบิร์ก ประเทศลักเซมเบิร์ก)
พ.ศ. 2490
ราชวงศ์วินด์เซอร์ราชวงศ์กลึคส์บูร์กไฟล์:Prince Philip March 2015.jpg
พระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร และ เจ้าชายฟิลิปปอสแห่งกรีซและเดนมาร์ก[41]
(เสกสมรส : วันที่ 20 พฤศจิกายนเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร)
พ.ศ. 2487
ราชวงศ์คาราจอร์เจวิชราชวงศ์กลึคส์บูร์ก
พระเจ้าปีเตอร์ที่ 2 แห่งยูโกสลาเวีย และ เจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งกรีซและเดนมาร์ก[42]
(เสกสมรส : วันที่ 20 มีนาคมกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร)
พ.ศ. 2478
ราชวงศ์กลึคส์บูร์กราชวงศ์เบอร์นาดอตต์
พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9 แห่งเดนมาร์ก และ เจ้าหญิงอิงกริดแห่งสวีเดน[43]
(เสกสมรส : วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ณ มหาวิหารใหญ่ กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน)
พ.ศ. 2477
ราชวงศ์วินด์เซอร์ราชวงศ์กลึคส์บูร์กไฟล์:Princess Marina, Duchess of Kent by Peter North.jpg
เจ้าชายจอร์จ ดยุกแห่งเคนต์ และ เจ้าหญิงมารีนาแห่งกรีซและเดนมาร์ก[44]
(เสกสมรส : วันที่ 29 พฤศจิกายนเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร)
พ.ศ. 2473
ราชวงศ์ซาวอยราชวงศ์ซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา
พระเจ้าอุมแบร์โตที่ 2 แห่งอิตาลี และ เจ้าหญิงมารี-โจเซแห่งเบลเยียม[45]
(เสกสมรส : วันที่ 8 มกราคมกรุงโรม ประเทศอิตาลี)
พ.ศ. 2473
ราชวงศ์ซัคเซิน-โคบูร์ก-โกทาและโคฮารีราชวงศ์ซาวอย
พระเจ้าซาร์บอริสที่ 3 แห่งบัลแกเรีย และ เจ้าหญิงโจวันนาแห่งอิตาลี[46]
(เสกสมรส : วันที่ 25 ตุลาคมเมืองอัสซีซี ประเทศอิตาลี)
พ.ศ. 2472
ราชวงศ์กลึคส์บูร์กราชวงศ์เบอร์นาดอตต์
พระราชาธิบดีโอลาฟที่ 5 แห่งนอร์เวย์ และ เจ้าหญิงมาร์ธาแห่งสวีเดน[47]
(เสกสมรส : วันที่ 21 มีนาคมกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์)
พ.ศ. 2469
ราชวงศ์ซัคเซิน-โคบูร์กและโกทาราชวงศ์เบอร์นาดอตต์
พระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 3 แห่งเบลเยียม และ เจ้าหญิงอัสตริดแห่งสวีเดน[48]
(เสกสมรส : วันที่ 4 พฤศจิกายนกรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน [พิธีทางรัฐ] และวันที่ 10 พฤศจิกายน ณ มหาวิหารนักบุญไมเคิลและกูดูลา กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม [พิธีทางศาสนา])
พ.ศ. 2466
ราชวงศ์เบอร์นาดอตต์ราชวงศ์แบตเตนเบิร์ก
พระเจ้ากุสตาฟที่ 6 อดอล์ฟแห่งสวีเดน และ เลดีหลุยส์ เมาต์แบตแตน[49]
(เสกสมรส : วันที่ 3 พฤศจิกายนพระราชวังเซนต์เจมส์ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร)
พ.ศ. 2465
ราชวงศ์คาราจอร์เจวิชราชวงศ์โฮเฮนซอลเลิร์น-ซิกมาริงเงิน
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งยูโกสลาเวีย และ เจ้าหญิงมาเรียแห่งโรมาเนีย[37][50]
(เสกสมรส : วันที่ 8 มิถุนายนกรุงเบลเกรด ประเทศยูโกสลาเวีย)
การเสกสมรสกับราชวงศ์ปกครอง
กรณีตัวอย่างในปัจจุบัน
  • เจ้าชายคะนุด เจ้าชายรัชทายาทแห่งเดนมาร์ก และ เจ้าหญิงคาโรไลน์-มาทิลด์แห่งเดนมาร์ก (พ.ศ. 2476) [n 9]

และเนื่องจากการเสกสมรสระหว่างราชวงศ์นี้ ทำให้พระประมุขยุโรปในปัจจุบัน 10 พระองค์มีบรรพบุรุษพระองค์เดียวกันคือโยฮัน วิลเลม ฟรีโซ เจ้าชายแห่งออร์เรนจ์[61]

สายสัมพันธ์ทางเครือญาติที่ใกล้ชิดที่สุดระหว่างพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และพระมหากษัตริย์ในทวีปยุโรปพระองค์อื่น ๆ
พระนามประเทศชั้นพระญาติบรรพบุรุษร่วมพระองค์ล่าสุดวันสวรรคตของบรรพบุรุษลำดับรุ่นทายาทนับจาก
โยฮัน วิลเลม ฟรีโซ
พระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2สหราชอาณาจักร---รุ่นที่ 9
พระราชาธิบดีฮารัลด์ที่ 5นอร์เวย์ชั้นที่ 2พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร6 พฤษภาคม พ.ศ. 2453รุ่นที่ 10
พระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2เดนมาร์กชั้นที่ 3พระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก29 มกราคม พ.ศ. 2449รุ่นที่ 10
พระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟสวีเดนชั้นที่ 3พระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร22 มกราคม พ.ศ. 2444รุ่นที่ 10
พระราชาธิบดีเฟลีเปที่ 6สเปนชั้นที่ 3พระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร22 มกราคม พ.ศ. 2444รุ่นที่ 11
พระราชาธิบดีอัลแบร์ที่ 2เบลเยียมชั้นที่ 3พระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก29 มกราคม พ.ศ. 2449รุ่นที่ 10
แกรนด์ดยุกอ็องรีลักเซมเบิร์กชั้นที่ 3พระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก29 มกราคม พ.ศ. 2449รุ่นที่ 10
พระราชาธิบดีวิลเลม-อเล็กซานเดอร์เนเธอร์แลนด์ชั้นที่ 5ดยุกฟรีดริชที่ 2 ออยเกินแห่งเวือร์ทเทิมแบร์ค25 ธันวาคม พ.ศ. 2340รุ่นที่ 10
เจ้าชายฮันส์-อาดัมที่ 2ลิกเตนสไตน์ชั้นที่ 7โยฮัน วิลเลม ฟรีโซ เจ้าชายแห่งออร์เรนจ์14 กรกฎาคม พ.ศ. 2254รุ่นที่ 10
เจ้าชายอาลแบร์ที่ 2โมนาโกชั้นที่ 7โยฮัน วิลเลม ฟรีโซ เจ้าชายแห่งออร์เรนจ์14 กรกฎาคม พ.ศ. 2254รุ่นที่ 11

ทวีปเอเชีย

ไทย

ในประวัติศาสตร์ ปรากฏการเสกสมรสในหมู่พระญาติของราชวงศ์จักรีหลายครั้ง[62] แต่น้อยครั้งที่จะปรากฏการเสกสมรสระหว่างพระราชวงศ์ไทยกับชาวต่างชาติ หรือแม้แต่กับเชื้อพระวงศ์ต่างชาติ เนื่องจากกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 หมวดที่ 11 ต้องห้ามมิให้เจ้านายเชื้อพระวงศ์ที่มีพระชายาเป็นชาวต่างประเทศได้สืบราชสันตติวงศ์[63]

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระญาติชั้นที่หนึ่ง (ตามแบบตะวันตก) กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งทั้งสองพระองค์ต่างก็เป็นพระราชนัดดา (ในกรณีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) และพระปนัดดา (ในกรณีของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ) ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยกันทั้งสองพระองค์[64] เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชายาหลายพระองค์ ในจำนวนนั้นมีศักดิ์เป็นพระขนิษฐาของพระองค์เอง เช่น สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา และสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ซึ่งล้วนแล้วแต่มีพระบิดาร่วมกันคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[65]

จีน

แบบแผนการเสกสมรสในประวัติศาสตร์จีนเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละยุคสมัยของแต่ละราชวงศ์ ในช่วงราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1161 - 1147) พระจักรพรรดิทรงมักจะมอบพระธิดาให้ไปเสกสมรสกับผู้ปกครองอาณาจักรข่านอุยกูร์ เพื่อเสริมสร้างสัมพันธไมตรีพิเศษทางการค้าและการทหาร หลังจากที่อาณาจักรข่านสนับสนุนจีนในการปราบปรามกบฏอันลู่เชียน[66] ปรากฏเจ้าหญิงราชวงศ์ถังอย่างน้อย 3 พระองค์ที่ได้เสกสมรสกับพระเจ้าข่านในช่วง พ.ศ. 1301 ถึง พ.ศ. 1364 ก่อนที่สัมพันธไมตรีนี้จะถูกระงับลงชั่วคราวในปี พ.ศ. 1331 ซึ่งเชื่อกันว่ามีสาเหตุมากจากเสถียรภาพภายในจักรวรรดิจีนที่มั่นคงมาก จนส่งผลให้อาณาจักรข่านถูกลดบทบาทลง อย่างไรก็ตาม ด้วยภัยคุกคามจากทิเบตทางทิศตะวันตก จักรวรรดิจีนจึงต้องรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับข่านอุยกูร์ขึ้นมาอีกครั้ง และจัดการเสกสมรสระหว่างเจ้าหญิงไท้เห๋อกับข่านบิลเกอ[66]

ส่วนพระจักรพรรดิของราชวงศ์ถัดมาอย่างราชวงศ์ซ่ง (พ.ศ. 1503 - 1822) มีแนวโน้มที่จะเสกสมรสกับสตรีจีนมากกว่าสตรีต่างชาติ แม้ว่าในช่วงราชวงศ์ถังพระจักรพรรดินิยมเสกสมรสกับสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลขุนนาง แต่ในราชวงศ์ซ่งกลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับยศฐาบรรดาศักดิ์ของสตรีที่จะมาเป็นพระมเหสีมากเท่าใดนัก[67] ประมาณกันว่ามีพระมเหสีราชวงศ์ซ่งจำนวนหนึ่งในสี่เท่านั้นที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ ส่วนจำนวนที่เหลือล้วนแล้วแต่มีพื้นเพต่ำต่อยมาก่อน ตัวอย่างเช่น จักรพรรดินีหลิว พระอัครมเหสีในจักรพรรดิซ่งเจินจง ที่เคยเป็นนักแสดงตามท้องถนนมาก่อน หรือพระมเหสีเหมียวในจักรพรรดิซ่งเหรินจง ผู้เป็นธิดาของพระนม (แม่นม) ของพระจักรพรรดิเอง[67]

ในช่วงราชวงศ์ชิง (พ.ศ. 2187 - 2455) พระจักรพรรดิทรงเลือกพระมเหสีจากหนึ่งในตระกูลของแปดกองธงเป็นหลัก (ระบบซึ่งแบ่งแยกตระกูลชาวแมนจูพื้นเมืองออกเป็นกลุ่มกอง)[68] เพื่อดำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในเชื้อสายชาวแมนจูของราชวงศ์ ซึ่งหลังจากที่จักรพรรดิคังซี (พ.ศ. 2205 - 2265) เสด็จสวรรคต จักรพรรดิและเจ้าชายในรุ่นต่อมาก็ทรงถูกห้ามไม่ให้เสกสมรสกับสตรีที่ไม่ใช่ชาวแมนจู[69] แต่ไม่ได้จำกัดการเสกสมรสของเจ้าหญิงตามกฏนี้แต่ประการใด แม้กระนั้นก็ตาม เจ้าหญิงหลายพระองค์ก็ทรงถูกจัดการเสกสมรสกับเจ้าชายมองโกลอยู่เสมอ ๆ ตามแบบขนบราชวงศ์ก่อนหน้า เพื่อเสริมสร้างสัมพันธไมตรีทางการเมืองและการทหาร โดยเฉพาะในช่วงต้นของราชวงศ์ที่ปรากฏการเสกสมรสกับเจ้าชายมองโกลของพระธิดาในจักรพรรดิหนูเอ่อร์ฮาชื่อจำนวน 9 พระองค์ และพระธิดาในจักรพรรดิฉงเต๋อจำนวน 12 พระองค์[69]

ญี่ปุ่นและเกาหลี

พระฉายาลักษณ์การเสกสมรสระหว่างมกุฎราชกุมารอีอึนแห่งเกาหลี และเจ้าหญิงมะซะโกะแห่งนะชิโมะโตะจากญี่ปุ่น

ในสมัยอาณาจักรชิลลา มีขนบธรรมเนียมที่จำกัดการสืบราชสมบัติไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์ในชั้น ซองกอล (กระดูกศักดิ์สิทธิ์) โดยเฉพาะ ดังนั้นเชื้อพระวงศ์ที่มีบรรดาศักดิ์ในชั้นนี้จึงต้องรักษาไว้ซึ่งบรรดาศักดิ์ของตนด้วยการเสกสมรสกับเชื้อพระวงศ์หรือสมาชิกขุนนางในชั้นเดียวกัน เช่นเดียวกับวิถีปฏิบัติในทวีปยุโรปที่เชื้อพระวงศ์มักจะเสกสมรสกับเชื้อพระวงศ์ด้วยกันเองเพื่อคงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในสายพระโลหิต[70]

ส่วนในญี่ปุ่น การเสกสมรสในหมู่เชื้อพระวงศ์ด้วยกันเองและกับเชื้อพระวงศ์ต่างชาติจากจักรวรรดิเกาหลีถือเป็นเรื่องปกติและไม่ได้สร้างความด่างพร้อยต่อสายพระโลหิตอันบริสุทธิ์แต่อย่างใด[71] ตามพงศาวดารโชะคุนิฮงงิ ซึ่งถูกเขียนขึ้นโดยพระราชโองการของพระจักรพรรดิจนสำเร็จครบถ้วนในปี พ.ศ. 1340 กล่าวว่าจักรพรรดิคัมมุที่ทรงปกครองตั้งแต่ พ.ศ. 1324 ถึง พ.ศ. 1349 มีพระราชมารดาเป็นพระสนมชาวเกาหลีนามว่า พระนางนิอิงะซะแห่งทะกะโนะ ผู้สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้ามูรยองแห่งแพ็กเจ หนึ่งในสามราชอาณาจักรเกาหลี[71]

ในยุคสมัยใหม่ ในปี พ.ศ. 2463 มกุฎราชกุมารอีอึนแห่งเกาหลี เสกสมรสกับเจ้าหญิงมะซะโกะแห่งนะชิโมะโตะ และในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2474 เจ้าชายอีกอน พระราชนัดดาในจักรพรรดิโกจง เสกสมรสกับมะซึดะอิระ โยะซิโกะ พระญาติของเจ้าหญิงมะซะโกะ ซึ่งทางการญี่ปุ่นมองว่าการเสกสมรสระหว่างเชื้อพระวงศ์ญี่ปุ่น-เกาหลีเช่นนี้จะช่วยสร้างเสถียรภาพในการปกครองอาณานิคมเกาหลีของญี่ปุ่น ทั้งยังเป็นการรวมสายพระโลหิตของราชวงศ์ญี่ปุ่นเข้ากับราชวงศ์อีของเกาหลีอีกด้วย[71]

ทวีปแอฟริกา

การเสกสมรสในหมู่เชื้อพระวงศ์เดียวกันก็ถือเป็นเรื่องปกติในแอฟริกากลางเช่นเดียวกัน[72] การเสกสมรสระหว่างราชวงศ์สวาซิแลนด์ ราชวงศ์ชาวซูลู และราชวงศ์ชาวเทมบู ในแอฟริกาใต้ก็สามารถพบเห็นได้เป็นการทั่วไป[73] เช่น ในปี พ.ศ. 2520 เซนานี แมนเดลา เชื้อพระวงศ์เทมบูและลูกสาวของอดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ เนลสัน แมนเดลา แต่งงานกับเจ้าชายทัมบูมูซี ดลามีนี พระอนุชาในพระราชาธิบดีอึมสวาตีที่ 3 แห่งสวาซิแลนด์[74]

กรณีตัวอย่างในประวัติศาสตร์การเสกสมรสระหว่างราชวงศ์ในแอฟริกา เช่น

โลกมุสลิม

อัล-อันดาลัส

ในช่วงตั้งแต่การพิชิตอิสปาเนียของอุมัยยัด (Umayyad conquest of Hispania) จนถึงช่วงเรกองกิสตา การเสกสมรสระหว่างเชื้อพระวงศ์สเปนและรัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยัดถือเป็นเรื่องปกติ การเสกสมรสครั้งแรก ๆ เช่นระหว่างอับด์ อัล-อะซิส อิบน์ มูซา และเอกิโลนา ในช่วงเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 8 ที่หวังจะช่วยให้การยึดครองคาบสมุทรไอบีเรียของฝ่ายมุสลิมมีความชอบธรรม[77] ส่วนการเสกสมรสในครั้งถัด ๆ มา มีจุดประสงค์ก็เพื่อตกลงในสนธิสัญญาการค้าระหว่างพระมหากษัตริย์ในศาสนาคริสต์และเคาะลีฟะฮ์มุสลิม[78] เช่น การเสกสมรสระหว่างพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 6 แห่งลีออนและคาสตีล กับเซอีดาแห่งเซวิลล์ โดยเชื่อกันว่าเชื้อพระวงศ์ยุโรปส่วนมากมีบรรพบุรุษที่สามารถสืบค้นย้อนไปถึงครอบครัวของศาสดามูฮัมหมัด แต่ข้อสันนิษฐานนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงอยู่ในปัจจุบัน[78]

จักรวรรดิออตโตมัน

ในจักรวรรดิออตโตมัน สุลต่านและเจ้าชายหลายพระองค์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 และ 15 นิยมเสกสมรสดับสมาชิกราชวงศ์ปกครองของรัฐข้างเคียง[79]โดยไม่สนใจในข้อจำกัดด้านศาสนา สุลต่านออตโตมันเสกสมรสกับทั้งชาวคริสต์และมุสลิมด้วยจุดประสงค์ทางการเมืองล้วน ๆ เนื่องจากออตโตมันรายล้อมไปด้วยรัฐข้างเคียงที่อาจเป็นศัตรูได้ในอนาคต เช่น ชาวคริสต์อย่างจักรวรรดิไบแซนไทน์หรือเซอร์เบีย หรือมุสลิมด้วยกันเองอย่างราชรัฐเบย์ลิกในอานาโตเลีย (Anatolian beyliks) ต่าง ๆ อาทิเช่น ดูลกาดิช, จาร์เมียนิดส์, ซารุคานิดส์ และคารามานิดส์ ดังนั้นการเสกสมรสระหว่างราชวงศ์จึงเป็นหนทางในสร้างสัมพันธไมตรีกับรัฐเหล่านี้[79] แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2047 การเสกสมรสกับราชวงศ์ต่างชาติดูเหมือนจะหยุดชะงักลง โดยปรากฏการเสกสมรสเช่นนี้ครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 1978 ระหว่างสุลต่านมูรัดที่ 2 กับมารา บรานโควิช พระราชธิดาในพระเจ้าดูราด บรานโควิชแห่งเซอร์เบีย ซึ่ง ณ เวลานี้ จักรวรรดิออตโตมันได้สั่งสมฐานอำนาจมากพอที่จะผนวกรวมหรือปราบปรามบรรดารัฐคู่แข่งในอดีตได้สำเร็จ การเสกสมรสกับราชวงศ์ต่างชาติในฐานะเครื่องมือด้านนโยบายการต่างประเทศจึงหมดความสำคัญลง[79]

เนื่องจากหลักศาสนาอิสลาม kafa'a ไม่สนับสนุนการแต่งงานกับบุคคลจากต่างศาสนาหรือจากต่างฐานันดร[n 10] ดังนั้นผู้ปกครองของชาติมุสลิมในบริเวณใกล้เคียงจึงไม่ยอมมอบธิดาของตนให้เสกสมรสกับเจ้าชายออตโตมันไปจนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 15 หลังจากที่จักรวรรดิออตโตมันสั่งสมอำนาจจนทวีความสำคัญขึ้นมา และด้วยหลักศาสนานี้เองที่ทำให้เจ้าชายออตโตมันสามารถเสกสมรสกับสตรีชาวคริสต์ได้อย่างอิสระ ในขณะที่เจ้าหญิงมุสลิมกลับถูกกีดกันไม่ให้เสกสมรสกับเจ้าชายชาวคริสต์[81]

หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ในยุคสมัยใหม่ ปรากฏการเสกสมรสระหว่างสมาชิกราชวงศ์ของรัฐอิสลาม เช่น จอร์แดน โมรอคโค ซาอุดิอาระเบีย และรัฐสมาชิกในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ดังตัวอย่างได้แก่

ใกล้เคียง

การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง การเสกสมรสระหว่างราชวงศ์ การเสียชีวิตของไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ การเสียกรุงคอนสแตนติโนเปิล การเสียชีวิตของไมเคิล แจ็กสัน การเสด็จออกมหาสมาคมในรัชกาลที่ 9 การเสียดินแดนของไทย การเสริมสร้างกองทัพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเสียชีวิตของภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์

แหล่งที่มา

WikiPedia: การเสกสมรสระหว่างราชวงศ์ http://www.monarchie.be/royal-family/princess-astr... http://www.britannica.com/EBchecked/topic/107009/C... http://books.google.com/books?id=WjJ3THGG5iIC&pg=P... http://www.hellomagazine.com/royalty/2013080213898... http://articles.latimes.com/2002/dec/09/world/fg-b... http://articles.latimes.com/2004/dec/29/world/fg-j... http://ngm.nationalgeographic.com/print/2010/09/tu... http://nigerianecho.com/?p=7581 http://query.nytimes.com/gst/fullpage.html?res=9C0... http://www.msu.edu/course/lbs/333/fall/hapsburglip...