ประวัติศาสตร์ ของ การใช้เวทมนตร์คาถาในยุโรป

สมัยโบราณ

ตัวอย่างการล่าแม่มดในสมัยคลาสสิกได้ถูกบันทึกในเอกสาร หลักฐานเปรียบเทียบจากตะวันออกใกล้ยุคโบราณและพันธสัญญาเดิม ตัวอย่างของกรีซโบราณ ได้แก่ ธีโอริส สตรีชาวเลมนอส ถูกดำเนินคดีในข้อหาใช้เวทมนตร์คาถาและใช้ยาอันตราย[1] เธอถูกประหารชีวิตพร้อมกันกับครอบครัวของเธอ[2]

เดฟีซีออนของสมัยกรีกโบราณ ปัจจุบันอยู่ที่เมืองอีแกซ์ จังหวัดบุช-ดูว์-โรน ฝรั่งเศส

ในโรมโบราณ เวทมนตร์ดำถูกตราไว้เป็นความผิดร้ายแรงตามกฎหมายสิบสองโต๊ะ ซึ่งกำหนดขึ้นในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล และตามบันทึกของลิวี ได้ระบุถึงกฎเกณฑ์ของดราโคเนียนเป็นครั้งคราว ได้ต่อต้านผู้ที่ทำลายพืชผลและไร่องุ่น หรือผู้ที่แพร่กระจายโรคระบาดในหมู่ฝูงสัตว์และวัวควาย ภายใต้จักรวรรดิโรมัน ในคริสต์ศตวรรษที่ 3 มีบทลงโทษด้วยการเผาทั้งเป็นซึ่งตราขึ้นโดยรัฐในการปราบปรามแม่มดพ่อมดซึ่งทำให้ผู้คนล้มตายด้วยเวทมนตร์คาถา[3] อย่างไรก็ตามในขณะที่กฎหมายปกติได้ประณามการใช้เวทมนตร์คาถาและผลของมนตร์เหล่านั้น กฎหมายกลับไม่ได้ถูกนำมาใช้จริงจัง เป็นเพียงแค่ข้อความในกระดาษเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นกฎหมายเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิบางพระองค์เช่น จักรพรรดิเกลาดิอุส จักรพรรดิวิแต็ลลิอุส และจักรพรรดิแว็สปาซิอานุส

ในสมัยจักรวรรดิมีหลักฐานเด่นชัดจากนักเขียนชาวละตินหลายคนและจากนักประวัติศาสตร์ที่บันทึกว่า กรุงโรมพลุกพล่านไปด้วยพวกไสยเวทและนักพยากรณ์ ทั้งๆที่มีกฎหมายเล็กซ์ คอร์เนเลีย แต่การซื้อขายยาพิษนั้นแทบจะเป็นไปอย่างเปิดเผยและการลอบสังหารเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ความย้อนแย้งปรากฎขึ้นดังเช่นจักรพรรดิอย่าง จักรพรรดิเอากุสตุส จักรพรรดิติแบริอุส และจักรพรรดิแซ็ปติมิอุส แซเวรุส ซึ่งทรงเนรเทศนักทำนายและพ่อมดหมอผีออกจากจักรวรรดิทั้งหมด และบางส่วนถูกประหารชีวิต แต่พวกโหราจารย์และผู้วิเศษกลับถูกไว้ชีวิตเป็นผู้ติดตามเพื่อความรื่นรมย์ส่วนพระองค์ เป็นที่ปรึกษาด้านงานศิลปะในวาระสำคัญๆ และพบปะบ่อยครั้งในทุกวันและชีวิตประจำวัน การดำเนินการกวาดล้างพ่อมดแม่มดนี้มีความสำคัญ การตั้งกฎหมายและบทลงโทษที่มีความรุนแรงที่สุดคือ การประหารชีวิต จะเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นผลผลิตของคริสต์ศาสนา แต่มีการกำหนดกฎหมายเหล่านี้มาอย่างยาวนานในสังคมที่นับถือพระเจ้าหลายพระองค์

กฎหมายทางศาสนาเป็นไปในแนวทางที่คล้ายคลึงกัน แต่ละมุนละม่อมกว่า การสังคยานาเอลบีรา (ค.ศ. 306) กฎหมายศาสนจักรที่ 6 ปฏิเวธการให้วีอาติคัม (ศีลมหาสนิทที่ไม่มีการเจิม) แก่ผู้ที่ฆ่ามนุษย์ด้วยกันด้วยวิธี "เปอ มาเลฟีซีอุม" (per maleficium) ซึ่งแปลว่า "ผลจากเจตนาร้ายที่มองเห็นได้" และเพิ่มเหตุผลที่ว่าอาชญากรรมดังกล่าวไม่อาจเกิดขึ้นได้ "หากไม่มีรูปเคารพ" ซึ่งอาจหมายความว่า หากปราศจากความช่วยเหลือจากปีศาจ การบูชาปีศาจ และรูปเคารพ ซึ่งการบูชาสิ่งเหล่านี้อาจจะเปลี่ยนทำให้อาชญากรรมนี้เกิดขึ้นได้ คล้ายคลึงกับกฎหมายศาสนจักรที่ 24 ในการสังคายนาอังไซรา (ค.ศ. 314) กำหนดให้มีการปลงอาบัติหรือการสำนึกผิด 5 ปี สำหรับผู้ที่ไปปรึกษาหารือกับพวกผู้วิเศษ อันเป็นอาบัติฐานไปมีส่วนร่วมในการปฏิบัติลัทธินอกศาสนา กฎหมายนี้แสดงถึงแนวคิดของศาสนจักรมายาวนานหลายศตวรรษ คล้ายคลึงกับบทลงโทษของสภาสังคายนาตะวันออกทรูโล (ค.ศ. 692) ในขณะที่กฎหมายศาสนจักรของชาวไอริชทางตะวันตกในยุคแรกๆ ตีตราว่าการใช้เวทมนตร์เป็นอาชญากรรมซึ่งจะต้องถูกการตัดขาดจากศาสนาจนกว่าจะมีการปลงอาบัติอย่างเพียงพอ

ประมวลกฎหมายยุคแรกๆ ของชาติยุโรปโดยส่วนใหญ่มีกฎหมายต่อต้านการใช้เวทมนตร์คาถา ตัวอย่างเช่น เอกสารที่เก่าแก่ที่สุดของประมวลกฎหมายแฟรงค์ คือ กฎหมายแซลิก ซึ่งมีการปรับปรุงเป็นรุปแบบลายลักษณ์อักษรและประกาศใช้ภายใต้กษัตริย์โคลวิสที่ 1 ซึ่งสวรรคตในวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 511 พระองค์ทรงลงโทษผู้ใช้เวทมนตร์ด้วยการจ่ายค่าปรับโทษต่างๆ โดยเฉพาะเมื่อพิสูจน์ได้ว่า ผู้ต้องหาใช้คำสาปมรณะหรือทำสัญลักษณ์ปมแม่มด กฎหมายของชาววิซิกอท ตราขึ้นตามกฎหมายโรมัน ซึ่งทำการลงโทษพ่อมดแม่มดที่สังหารผู้คนด้วยเวทมนตร์มรณะ เมื่อมีการพิสูจน์ได้ว่าปฏิบัติตนเป็นแม่มดและใช้เวทมนตร์มานานก็จะถูกบทลงโทษที่รุนแรงด้วยการเป็นทาสตลอดชีวิต

คริสต์ศาสนาและสมัยกลางตอนต้น

ในแพ็คตัส เลจีส อลามันโนรุม เป็นประมวลกฎหมายในคริสต์ศตวรรษที่ 7 ของชนอลามันน์เป็นหนึ่งในชนเผ่าเยอมานิก ได้แสดงกฎหมายเกี่ยวกับเวทมนตร์คาถาที่มีบทลงโทษเท่าเทียมกับการวางยาพิษ หากชายใดกล่าวหาหญิงใดว่าใช้เวทมนตร์คาถาหรือวางยาพิษ ผู้ถูกกล่าวหาจะถูกปลดเปลื้องจากข้อหาก็ต่อเมื่อมีคนสิบสองคนให้สัตย์สาบานต่อความบริสุทธิ์ของเธอ หรือญาติคนใดคนหนึ่งของเธอออกมาปกป้องเธอจากข้อกล่าวหาด้วยการขอตัดสินโดยการประลอง ในกรณีนี้ผู้กล่าวหาจะต้องจ่ายค่าปรับ (แพ็คตัส เลจีส อลามันโนรุม 13)

ในทางศาสนาคริสต์ ความเชื่อเรื่องการใช้เวทมนตร์คาถาถูกมองว่าเป็นความงมงาย การสังคยานาเลปตินเนส ในค.ศ. 744 ได้มีการจัดทำ "รายการสิ่งงมงาย" ซึ่งห้ามการประกอบการบูชายัญแก่นักบุญและการสร้างแนวทางพิธีบัพติศมาที่กำหนดให้ละทิ้งการบูชาปีศาจ โดยเฉพาะการขานชื่อ ทอร์หรือโอดินน์ อย่างไรก็ตรมการปราบปรามการใช้เวทมนตร์คาถายังคงมีตลอดในช่วงยุคกลางตอนต้นจนถึงศตวรรษที่ 10

เมื่อชาร์เลอมาญทรงกำหนดให้ประชาชนในแซกโซนีนับถือศาสนาคริสต์ ในปีค.ศ. 789 พระองค์ทรงประกาศว่า

หากใครก็ตามถูกหลอกลวงโดยปีศาจ หรือเชื่อตามธรรมเนียมของศาสนานอกรีต ชายหรือหญิงเหล่านั้นจะเป็นพ่อมด-แม่มดยามวิกาล และกินมนุษย์ ดังนั้นจะต้องมีการเผาบุคคลนั้นให้ตาย...เขาจะต้องถูกประหารชีวิต[4]

ภาพวาดเฟรสโกใยุคแรกๆ ของนักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป ในศตวรรษที่ 6 ณ ลาเทอรัน กรุงโรม

คล้ายคลึงกับประมวลกฎหมายลอมบาร์ด ค.ศ. 643 ที่มีความว่า

อย่าให้ใครถือสิทธิเอาเองในการสังหารหญิงรับใช้ต่างชาติหรือทาสหญิงในฐานะแม่มด เพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และไม่ควรมีความเชื่อเหล่านั้นในจิตใจของคริสเตียน[4]

สิ่งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของนักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป ซึ่งสอนว่าการใช้เวทมนตร์คาถาไม่มีอยู่จริงและความเชื่อนี้เป็นความเชื่อของพวกนอกรีต[5]

ในปีค.ศ. 814 จักรพรรดิหลุยส์ผู้ศรัทธาขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงใช้มาตรการที่แข็งขันในการจัดการพวกพ่อมดและหมอผี และทรงใช้พระราชอำนาจและอิทธิพลของพระองค์ในการประชุมสภาปารีส ในปีค.ศ. 829 ทรงเรียกร้องให้ศาลฆราวาสดำเนินการตัดสินคดีตามที่เหล่าบิชอปได้วินิจฉัยแล้ว ผลที่ตามมาคือ โทษของการใช้เวทมนตร์คาถาคือความตาย และมีหลักฐานว่าหากองค์กรที่มีการจัดตั้งขึ้นไม่ว่าเป็นของทางสงฆ์หรือทางพลเรือน ก็ดูเหมือนจะพยายามลดอำนาจในการใช้กฎหมายของประชาชนจึงทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่ากลัวอย่างมาก

ในอังกฤษ การรับผิดทางศาสนาในยุคแรกจะเป็นการปราบปรามประเพณีนอกรีต ซึ่งอยู่ภายใต้ประเพณีการเฉลิมฉลองของชาวคริสต์โดยส่วนใหญ่ที่ถือปฏิบัติกันในวันคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่ พิธีกรรมเหล่านี้เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการใช้เวทมนตร์คาถา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามคำสอนของนักบุญธีโอดอร์แห่งทาร์ซัส นักบุญอัลด์เฮล์ม และอักเบิร์ตแห่งยอร์ก รวมถึงพระราชาคณะคนอื่นๆ ห้ามไม่ให้ผู้คนสวมหน้ากากสัตว์ที่มีเขา เช่น กวาง หรือ กระทิง ซึ่งนักบุญเซซาเรียสแห่งอาร์ล ได้ประณามว่าเป็น "ประเพณีที่ไม่ดี" "ประเพณีที่ชั่วร้าย" "สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุด" ตามกฎหมายของพระเจ้าแอเทลสแตนแห่งอังกฤษ (924 - 940) มีความสอดคล้องกับกฎหมายฝรั่งเศสในยุคแรก ที่ให้มีการลงโทษบุคคลใดๆ ก็ตามที่ร่ายมนตร์ซึ่งส่งผลให้ถึงแก่ความตาย จะต้องโทษที่รุนแรงสูงสุด

ในบรรดากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์ชาวพิคท์ พระเจ้าเคนเนธ แม็กอัลปิน (ครองราชย์ค.ศ. 843 ถึง 858) เป็นกฎหมายสำคัญที่บัญญัติถึงเรื่องพ่อมดและแม่มดทั้งหมด และรวมถึงพวกที่เซ่นสรวงเรียกวิญญาณ "และแสวงหาความช่วยเหลือจากเขาเหล่านั้น พวกมันจะต้องถูกเผาทั้งเป็น" แม้จะเห็นได้ชัดว่าบทลงโทษนี้ไม่ใช่บทลงโทษใหม่ แต่ก็เป็นกฎหมายที่มีการตราและใช้มาอย่างยาวนาน ดังนั้นเมื่อเหล่าแม่มดแห่งฟอร์เรส พยายามจะปลงพระชนม์พระเจ้าดัฟแห่งสกอตแลนด์ ในปีค.ศ. 968 โดยใช้สารพิษละลายรูปขี้ผึ้งอย่างช้าๆ เมื่อแผนการถูกเปิดโปงจึงถูกเผาทั้งเป็นตามกฎหมาย

เนื้อหาในคานอน เอพิสโคปี ในโคโลญ ต้นฉบับของ เดเครตุม บูร์ชาร์ดี ราวค.ศ. 1020

ตามคานอน เอพิสโคปี ซึ่งเขียนขึ้นราวค.ศ. 900 (แม้ว่าบางหลักฐานบอกว่าเขียนขึ้นในปี 314) ได้มีบทกฎหมายตามคำสอนของนักบุญออกัสติน ซึ่งประกาศว่าพ่อมดแม่มดไม่มีอยู่จริง ใครก็ตามที่นับถือในพวกเขาถือว่าเป็นพวกนอกรีต ข้อความสำคัญของคานอน เอพิสโคปี มีดังนี้

เราไม่ควรมองข้ามเหล่าผู้หญิงที่ไร้พันธนาการบางคน ที่ถูกล่อลวงโดยซาตาน ด้วยภาพลวงตาและสิ่งลวงหลอกของปีศาจ ซึ่งนางเชื่อและนับถืออย่างเปิดเผย พวกนางขี่สัตว์ร้ายบางตัวในตอนกลางคืนร่วมกับเทพีของพวกนอกรีตอย่าง ไดอานา พวกผู้หญิงเหล่านั้นยกโขยงอย่างนับไม่ถ้วน และในความเงียบงันของยามค่ำคืน พวกนางบินไปตามแผ่นดินอันกว้างใหญ่ และปฏิบัติตามคำสั่งของเทพีเสมือนนายหญิงของพวกนาง และจะถูกเรียกตัวไปรับใช้ในคืนอื่นๆด้วย แจ่จะดีกว่าถ้าพวกนางสิ้นชีพอย่างลำพังด้วยความนอกรีตของพวกนาง และไม่ล่อลวงให้คนอื่นๆ จำนวนมากมาตกหลุมพรางแห่งความไร้ศรัทธาของพวกนาง สำหรับคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกล่อลวงด้วยความเห็นผิดเป็นชอบนี้ และเชื่อว่าสิ่งนี้คือความจริง ความเชื่อเช่นนั้นเป็นการหลงทางจากศรัทธาที่ถูกต้องและหวนกลับไปสู่ความผิดพลาดของพวกนอกรีต เมื่อพวกเขามองว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออำนาจอื่นใดที่ทรงพลังนอกเหนือจากพระเจ้าพระองค์เดียว[5]

ในโลกของสมัยโบราณตอนปลายหรือสมัยกลางตอนต้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะนิยามว่าใครเป็นแม่มด (ในทางตรงกันข้ามกลับมีพวกนักสมุนไพรมือสมัครเล่น คนนอกศาสนา หรือนักเทศนา) และไม่มีกฎหมายใดๆ ในช่วงเวลานั้นที่ระบุอย่างชี้ชัด จำเลยจะถูกไต่สวนว่าเป็นผู้กระทำความผิดด้วยวัดจากการกระทำต่างๆ หรือสวมใส่วัตถุต่างๆที่กฎหมายประณามหรือสั่งห้าม โดยจากการปฏิบัติ คำว่า "แม่มด" ยังไม่ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้น จะมีเพียงแต่ผู้ฝึกฝนเวทมนตร์ประเภทต่างๆ ทั้งชายและหญิง ซึ่งอาจอยู่ในตำแหน่งใดๆ ทั้งในทางสงฆ์และฆราวาส และการกระทำเหล่านั้นจะถูกเข้ามาตัดสินในเข็มทิศศีลธรรมของกฎหมายทางโลกหรือทางธรรม ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น หรือเรื่องทั่วไป

พี.จี. แม็กซ์เวลล์-สจวต, ดิเอเมอเกนซ์ออฟคริสเตียนวิช

การล่าแม่มดในสมัยใหม่ตอนต้น

ดูสารนิเทศเพิ่มเติมที่: การพิจารณาคดีแม่มดในสมัยใหม่ตอนต้น

จุดเริ่มต้นการกล่าวหาแม่มดในสมัยใหม่ตอนต้น มาจากการพิจารณาคดีต่อต้านพวกนอกรีต ซึ่งเป็นการกล่าวหาเกี่ยวกับการประชุมลับ การมีเพศสัมพันธ์แบบรวมหมู่ และการกินทารก ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 แนวคิดเรื่องการทำสัญญามีความสำคัญ โดยมองว่าใครๆ ก็สามารถถูกปีศาจเข้าครอบงำได้ และไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเพราะถูกปีศาจสิงสู่ แต่ในการเป็นแม่มดนั้นต้องทำสัญญากับมาร โดยต้องบูชาปีศาจบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นพิธีกรรมนอกรีตและต้องถูกประณาม แนวคิดเกี่ยวกับการทำสัญญาเชิงพิธีกรรมที่ชัดเจนกับปีศาจมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการทางแนวคิดการใช้เวทมนตร์คาถา เพราะมันเป็นการอธิบายความแตกต่างระหว่างบุคคลภาพของแม่มดที่แตกต่างจากผู้วิเศษที่คงแก่เรียน หรือพวกนักพยากรณ์ (ซึ่งคนพวกนี้ถูกมองว่าใช้เวทมนตร์อันมีที่มาจากปีศาจ แต่สามารถควบคุมพลังได้โดยการประยุกต์ใช้เพื่อการศึกษาอย่างเคร่งครัดและมีพิธีกรรมที่ซับซ้อน) การฝึกฝนเรื่องการใช้เวทมนตร์คาถาปรากฎเด่นชัดในศตวรรษที่ 12 ซึ่งเกิดจากการหลั่งไหลของตำราเกี่ยวกับเวทมนตร์และการเคารพบูชาภูตผีปีศาจที่มาจากโลกอิสลาม อันสร้างความตื่นตัวต่อผู้มีอำนาจในศาสนจักรให้เห็นถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้จากเวทมนตร์ที่ชั่วร้าย[6] ความกังวลที่เกิดขึ้นนี้ได้แพร่ขยายไปยังความกังวลที่มีต่อพวกแม่มดทั่วไป และบาทหลวงต้องการคำอธิบายด้วยว่าเหตุใดสามัญชนที่ไม่มีการศึกษาสามารถแสดงเวทมนตร์ที่ร้ายกาจเทียบเคียงเหมือนกับเหล่าผู้วิเศษที่คงแก่เรียนและมีประสบการณ์สูง[7] แนวคิดที่ว่าแม่มดได้รับพลังเหล่านั้นผ่านการทำสัญญากับปีศาจ เป็นคำอธิบายที่น่าพอใจและสามารถทำให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้เป็นเหตุผลที่เหมือนกันกับการกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรรมที่เกี่ยวกับพวกนอกรีต ที่เคยกวาดล้างมาแล้วในอดีต ด้วยพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับพวกนอกรีตต่างๆ (การร่วมประเวณีในเครือญาติ การร่วมเพศสัมพันธ์แบบรวมหมู่ การกินเนื้อมนุษย์ การสังหารทารกเพื่อประกอบพิธีกรรมและการบูชาปีศาจ) เขามองว่าเป็นภัยคุกคามมาจากการใช้เวทมนตร์ที่ชั่วร้าย[8] การทำสัญญาและพิธีเหล่านี้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในชื่อ สะบาโตของแม่มด[9]

ในปีค.ศ. 1300 องค์ประกอบต่างๆ ได้ถูกนำมารวมเพื่อใช้ในการล่าแม่มดและในอีกศตวรรษข้างหน้า ความกลัวแม่มดก็ค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วยุโรป ในตอนท้ายของสมัยกลาง (ราวค.ศ. 1450) ความกลัวแม่มดได้กลายเป็นความบ้าคลั่งที่กินเวลานานกว่า 200 ปี เมื่อแนวคิดได้แพร่หลายออกไปที่ว่า เวทมนตร์ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการทำสัญญากับปีศาจ การลงโทษทางกฎหมายในเรื่องการใช้เวทมนตร์คาถาก็เริ่มรุนแรงมากขึ้น การตัดสินว่ากระทำผิดในแต่ละครั้งได้เสริมความเชื่อทางศาสนาด้วยวิธีการต่างๆ (การทรมานและการสอบสวนแบบชี้ชัดว่าเป็นคนผิด) ถูกใช้เพื่อล่อให้รับสารภาพและเป็นการสารภาพยอมรับว่าเป็น "แม่มด" ด้วย การเพิ่มขึ้นความคลั่งกลัวแม่มดเกิดขึ้นพร้อมกับเวทมนตร์เรอเนซองส์ในหมู่นักมนุษยนิยมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (สิ่งนี้ถูกเรียกว่าเวทมนตร์ชั้นสูง และนักลัทธิเพลโตใหม่กับนักลัทธิอริสโตเติลได้ฝึกฝนเวทมนตร์เหล่านี้เพื่อขจัดความเจ็บปวด เป็นการยืนยันว่าเวทมนตร์ระดับนี้มีความฉลาดและมีเมตตา ไม่เหมือนกับเวทมนตร์คาถาของแม่มด) พวกเวทมนตร์เรอเนซองส์นี้ทำให้เกิดความคลั่งกลัวเวทมนตร์คาถาที่ไม่ใช่ของตนมากขึ้น เวทมนตร์คาถาถูกจัดให้เป็นลัทธินอกรีตที่เลวร้ายที่สุด และความฉงนสงสัยเกี่ยวกับเวทมนตร์ในช่วงแรกได้จางหายไปหมดสิ้น

มัลเลอุส มาเลฟีคารุม มีอิทธิพลในการพิจารณาคดีแม่มดในศตวรรษที่ 17 ของยุโรป

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 14 มีการกล่าวหานักบวชและผู้ที่คงแก่เรียนคนอื่นๆ ซึ่งมีความสามารถในการอ่านเขียนตำราเวทมนตร์ อาทิเช่น สมเด็จพระสันตะปาปาโบนิฟาซที่ 8 (สวรรคตปี 1303) ทรงถูกกล่าวหาหลังจากสวรรคตไปแล้วว่า ทรงละทิ้งจากศาสนา ก่อการฆาตกรรม และร่วมเสพสังวาสอย่างผิดธรรมชาติ นอกจากนี้ทรงถูกกล่าวหาทรงทำสัญญากับปีศาจ (แต่ก่อนมีการกล่าวหาว่าสมเด็จพระสันตะปาปาทรงก่ออาชญากรรม ถึงกระนั้นข้อหาเรื่องปีศาจถือเป็นเรื่องใหม่) อัศวินเทมพลาร์ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีต โดนเรียกว่าเป็น ผู้ปลุกปีศาจ ในปีค.ศ. 1305 - 1314 ช่วงกลางศตวรรษที่ 17 เรื่องราวต่างๆ ก็เงียบลง แต่ในช่วงปลายศตวรรษการล่าแม่มดก็เพิ่มขึ้นอีก มีการใช้ข้อกล่าวหาแก่สามัญชนคนธรรมดาบ่อยขึ้น ในปีค.ศ. 1398 มหาวิทยาลัยปารีสประกาศว่าสนธิสัญญากับปีศาจจะมีผลโดยชัดเจน โดยไม่จำเป็นต้องลงนามในเอกสารใดๆ เนื่องจากการอัญเชิญปีศาจถือเป็นนัยของสัญญานั้นอยู่แล้ว การไต่สวนนับหมื่นดำเนินไปในยุโรปจากคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า วิลเลียม เชกสเปียร์ เขียนถึงตัวละครที่ไม่โด่งดังอย่าง นางแม่มดทั้งสามในโศกนาฏกรรมอย่างแม็คเบ็ธ ที่เขียนในรัชสมัยพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ ผู้ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะการฟ้องร้องไต่สวนผู้ใช้เวทมนตร์อย่างโหดเหี้ยม[10]

การกล่าวหาแม่มดเกือบจะมีความคล้ายคลึงกับคนนับถือเพแกนในศตวรรษที่ 3 ที่ต่อต้านชาวคริสต์ในยุคแรก

ในบทที่ 6 - 11 ของ ออคเตวีอุส, ซีซิลิอุส ซึ่งเป็นเพแกนต่อต้านศาสนาคริสต์ กล่าวหาว่าชาวคริสต์ปฏิเสธความเชื่อของบรรพบุรุษ และไม่ทำตามขนบการนับถือศาสนาของชาวโรมัน (บทที่ 6) ไม่สามารถทำความเข้าใจในการสื่อสารระหว่างเทพเจ้ากับมนุษย์ (บทที่ 7) การปฏิเสธตัวตนของพระเจ้าหลายพระองค์และยอมรับแต่เพียงกากเดนของสังคม เป็นผู้คนที่น่าละอายใจที่สุด การชุมนุมของพวกเขาเป็นสิ่งที่น่ากลัว พวกเขาออกหากินตอนกลางคืนและมีการประชุมลับ (บทที่ 8) พวกเขาปฏิบัติกิจกรรมทางเพศตามอำเภอใจ บูชาหัวของลา บูชาอวัยวะสืบพันธุ์ของนักบวชของพวกเขา และต้อนรับผู้เข้ารีตใหม่ด้วยการให้ไปฆ่าเด็กทารกและกินเนื้อทารกเหล่านั้น (บทที่ 9) พิธีกรรมของพวกเขาถูกเก็บเป็นความลับ และไม่มีศาสนสถาน (บทที่ 10) สุดท้ายพวกเขาก็เป็นนิกายที่ถูกโค่นล้มซึ่งคุกคามความมั่นคงของโลกทั้งใบ (บทที่ 11)[11]

ความคลั่งกลัวแม่มดเกิดอีกครั้งในศตวรรษที่ 15 และในปีค.ศ. 1486 ไฮน์ริช เครเมอร์ สมาชิกคณะดอมินิกัน ได้ตีพิมพ์เรื่อง มัลเลอุส มาเลฟีคารุม ("ค้อนปราบแม่มด") หนังสือนี้ถูกสั่งห้ามเผยแพร่โดยศาสนจักรในปีค.ศ. 1490 และนักวิชาการยังไม่ชัดเจนว่าหนังสือมัลเลอุสมีอิทธิพลมากน้อยเพียงใดในสมัยนั้น ไม่ถึงร้อยปีหลังงานเขียนนี้สภาไต่สวนของสเปนได้ลดความน่าเชื่อถือของงานเขียนนี้ เพราะมองว่ามีข้อผิดพลาดมากมาย

การประหัตประหารยังคงดำเนินการต่อไปในช่วงการปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ในศตวรรษที่ 16 ทั้งโปรแตสแตนต์และคาทอลิกต่างยังคงมีการไต่สวนแม่มดโดยมีการประหารชีวิตในจำนวนที่แตกต่างกันไป "ประมวลกฎหมายแคโรไลน์" เป็นประมวลกฎหมายหลักของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ค.ศ. 1532) มีการกำหนดบทลงโทษอย่างหนักสำหรับการใช้เวทมนตร์คาถา เมื่อสังคมมีการเรียนรู้มากขึ้น (ส่วนใหญ่มาจากการประดิษฐ์แท่นพิมพ์ในทศวรรษที่ 1440) ทำให้จำนวนหนังสือและใบปลิวเพิ่มขึ้นมากได้เติมเชื้อไฟให้เกิดความกลัวแม่มด

ความคลั่งกลัวแม่มดระหว่างค.ศ. 1560 ถึง 1660 หลังปีค.ศ. 1580 คณะเยซูอิตเข้ามาแทนที่คณะดอมินิกันในการออกล่าแม่มด และจักรพรรดิรูด็อล์ฟที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (1576-1612) ทรงใช้พระราชอำนาจในการกวาดล้างแม่มดในออสเตรียอย่างยาวนาน เทือกเขาจูราทางเยอรมนีตอนใต้ได้ทุเลาจากความบ้าคลั่งนี้ไปเล็กน้อย บริเวณนั้นมีการกำหนดให้การทรมานมีขอบเขตที่ชัดเจนตามประมวลกฎหมายแคโรไลน์ปีค.ศ. 1532 เท่านั้น และไม่ให้ความสนใจต่อข้อกล่าวหาเยาวชน และกำหนดให้ต้องแจ้งข้อกล่าวหาก่อนที่จะจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ ด้วยข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้ความคลั่งกลัวเกิดขึ้นมากในพื้นที่นั้น

เหล่าแม่ชีแห่งลูดัง (1630) ได้ถูกนำเรื่องมาเขียนเป็นนิยายโดยอัลดัส ฮักซลีย์ และถูกนำมาสร้างภาพยนตร์โดยผู้กำกับเคน รัสเซลล์ ได้บรรยายถึงความคลั่งกลัวแม่มดที่เกิดในยุคนั้น เหล่าแม่ชีได้สมคบคิดกันกล่าวหาบาทหลวงอูร์เบน กรันดีเยร์ว่าใช้เวทมนตร์คาถาใส่พวกเธอ และแสร้งทำเป็นถูกสิงและได้รับความทุกข์ทรมาน พวกเธอแกล้งชักกระตุก และแกล้งพูดไม่รู้เรื่อง อีกทั้งกล่าวหาว่าบาทหลวงกรีนดีเยร์ทำอนาจาร กรันดีเยร์ถูกตัดสินให้เผาทั้งเป็น แต่หลังจากแผนการประสบความสำเร็จ อาการของเหล่าแม่ชีก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ และพวกเธอก็มีความต้องการทางเพศมากขึ้น เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความบ้าคลั่งที่มีอยู่ในการพิจารณาคดีแม่มด

ในปีค.ศ. 1687 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสออกพระราชกฤษฎีกาต่อต้านเวทมนตร์คาถาที่ค่อนข้างรอมชอมมากกว่าในอดีต กฎหมายนี้ไม่สนใจเรื่องแมวดำ หรือจินตนาการอื่นๆ ที่เกิดจากการคลั่งกลัวแม่มด หลังจากปีค.ศ. 1700 จำนวนของแม่มดที่ถูกกล่าวหาและถูกประณามก็ลดลงอย่างรวดเร็ว

การใช้เวทมนตร์คาถาในบริเตน

ใกล้เคียง

การใช้ลิขสิทธิ์ของผู้อื่นโดยชอบ การใช้เวทมนตร์คาถาในยุโรป การใช้ดนตรีเป็นกลยุทธ์รับมือ การใช้ปากกับอวัยวะเพศชายของตัวเอง การใช้ความรุนแรงกับแฟน การให้วัคซีน การใช้ยาเกินขนาด การใช้ความเย็นกระตุ้นให้ออกดอก การใช้เหตุผลโดยเข้าข้าง การใช้และการตั้งราคาแก๊สโซลีนและน้ำมันดีเซล