ประวัติ ของ ความเอนเอียงเพื่อยืนยัน

รูปวาดของฟรานซิส เบคอน

ข้อสังเกตในยุคต้น ๆ

ก่อนที่จะมีการศึกษาทางจิตวิทยาในเรื่องความลำเอียงเพื่อยืนยัน มีนักเขียนหลายท่านที่ได้สังเกตเห็นปรากฏการณ์นี้รวมทั้งนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกทิวซิดิดีส (460– 395 ก่อนคริสต์ศักราช), กวีชาวอิตาเลียนดันเต อาลีกีเอรี (ค.ศ. 1265–1321), นักปราชญ์และนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษฟรานซิส เบคอน (ค.ศ. 1561–1626),[61] และนักเขียนชาวรัสเซียเลโอ ตอลสตอย (ค.ศ. 1828–1910)ทิวซิดิดีสเขียนในหนังสือสงครามเพโลพอนนีส ว่า"...มันเป็นนิสัยมนุษย์ที่จะวางใจไว้ในความหวังที่ไร้เหตุผลที่ตนต้องการและใช้เหตุผลเป็นผู้พิพากษาในการผลักไสสิ่งที่ตนไม่ชอบใจออกไป"[62] ในหนังสือดีวีนากอมเมเดีย ทอมัส อไควนัสเตือนดันเตเมื่อพบกันในสวรรค์ว่า"ความเห็น...ที่หุนหันพลันแล่น...มักเอนเอียงไปในข้างที่ผิด หลังจากนั้นความรักใคร่ในความเห็นของตนก็จะมัดและกักตัวความคิดไว้ (ในความเห็นผิดนั้น ๆ)"[63] ส่วนเบคอนเขียนไว้ว่า

ความเข้าใจของมนุษย์เมื่อได้ลงความเห็นแล้วก็จะดึงทุกสิ่งทุกอย่างอื่นเพื่อที่จะสนับสนุนและปรับให้เข้ากับความเห็นนั้นและแม้ว่าจะมีหลักฐานมากกว่าโดยทั้งจำนวนและทั้งน้ำหนักของความเห็นด้านตรงกันข้ามแต่ว่า ความเห็นนั้นก็จะถูกมองข้ามหรือดูถูก หรือว่าถูกวางเอาไว้ก่อนหรือปฏิเสธโดยอ้างเหตุผลบางอย่าง[64]

เบคอนกล่าวไว้ว่า การประเมินหลักฐานแบบเอนเอียงนำไปสู่ "ความเชื่อไร้เหตุผลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโหราศาสตร์ ความฝัน ลาง การตัดสินของพระเจ้า หรือเรื่องที่คล้ายกันอื่น ๆ"[64]

ในบทความชื่อว่า "What Is Art? (อะไรเรียกว่าศิลปะ)" ตอลสตอยได้เขียนไว้ว่า

ผมรู้ว่าคนโดยมาก ไม่ใช่เพียงแต่ผู้ที่คนถือว่าฉลาด แต่แม้แต่ผู้ที่ฉลาดมาก ๆเป็นผู้สามารถที่จะเข้าใจปัญหาทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และปรัชญาที่ยากที่สุดน้อยครั้งสามารถจะแยกแยะความจริงที่ง่ายที่สุดที่ชัดที่สุดถ้าการกระทำอย่างนั้นบีบบังคับคนเหล่านั้นให้ต้องยอมรับความผิดพลาดของข้อสรุปที่ตนเป็นคนตั้ง ซึ่งอาจจะตั้งขึ้นด้วยความยากยิ่งเป็นข้อสรุปที่ตนมีความภูมิใจ ที่ตนสอนให้กับคนอื่นเป็นฐานที่ตนได้สร้างชีวิตของตนขึ้น[65]

งานวิจัยของวาสันเรื่องการทดสอบสมมติฐาน

นักจิตวิทยาชาวอังกฤษปีเตอร์ วาสันได้บัญญัติคำว่า confirmation bias ไว้[66] คือในผลงานทดลองที่พิมพ์ในปี ค.ศ. 1960 เขาได้ท้าทายให้ผู้ร่วมการทดลองระบุสูตรที่กำหนดระเบียบของตัวเลขชุดละสามในเบื้องต้น เขาบอกว่า (2,4,6) มีระเบียบนี้หลังจากนั้น ก็ให้ผู้ร่วมการทดลองตั้งเลขสามตัวขึ้นเพื่อให้ผู้ทำการทดลองบอกว่า อยู่ในระเบียบนี้หรือไม่[67][68]

ในขณะที่สูตรจริง ๆ ที่ใช้เป็นสูตรง่าย ๆ ว่า "เป็นลำดับเลขที่เพิ่มขึ้น" ผู้ร่วมการทดลองกลับประสบความยากลำบากอย่างยิ่งในการกำหนดสูตรนั้นและมักหาสูตรที่มีความเฉพาะเจาะจงเป็นอย่างยิ่งเช่น "เลขตัวกลางเป็นค่าเฉลี่ยของเลขต้นและเลขปลาย"[67] ดูเหมือนว่า ผู้ร่วมการทดลองจะทดสอบตัวอย่างในเชิงบวกเท่านั้น คือตั้งเลขสามตัวที่ใช้สูตรที่ตนตั้งขึ้นเป็นสมมติฐาน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคิดว่าสูตรคือ "เลขแต่ละตัวบวกสองจากเลขตัวก่อน"ก็จะให้เลขสามตัวที่เข้ากับสูตรนี้เช่น (11,13,15) แต่ไม่ให้เลขสามตัวที่ไม่เข้ากัน เช่น (11,12,19)[69]

วาสันเป็นผู้ยอมรับความคิดเรื่อง falsificationism ซึ่งแสดงว่า การทดสอบสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นความพยายามที่จริงจังที่จะพิสูจน์ว่าสมมติฐานนั้นผิดเขาตีความหมายของผลการทดลองนี้ว่า มนุษย์ชอบใจที่จะยืนยันความเห็นฝ่ายตนมากกว่าที่จะพิสูจน์ว่าผิดดังนั้นจึงบัญญัติคำว่า "ความเอนเอียงเพื่อยืนยัน (confirmation bias)"[upper-alpha 4] [70]

วาสันยังใช้ปรากฏการณ์ความเอนเอียงเพื่อยืนยันเพื่ออธิบายผลของการทดลองที่ใช้วิธี Wason selection task (แปลว่า งานเลือกของวาสัน) อีกด้วย[71] ในงานนี้ มีการให้ข้อมูลบางส่วนแก่ผู้ร่วมการทดลองเกี่ยวกับวัตถุจำนวนหนึ่งและผู้ร่วมการทดลองต้องกำหนดว่า มีข้อมูลอะไรอีกที่ต้องการเพื่อที่จะบอกว่ากฎมีเงื่อนไขเช่น "ถ้า ก ต้องเป็น ข" นั้น ถูกต้องมีการพบอย่างซ้ำ ๆ กันว่า มนุษย์ไม่สามารถทำงานแบบนี้ได้ดีคือโดยมากแล้ว มักไม่สนใจข้อมูลที่อาจจะพิสูจน์กฎนั้นว่าผิด[72][73]

คำวิจารณ์ของเคลย์แมนและฮา

ในบทความปี ค.ศ. 1987 โจชัว เคลย์แมน และยังวอนฮา เสนอว่างานทดลองของวาสันไม่ได้แสดงความเอนเอียงเพื่อยืนยันจริง ๆแต่ว่าพวกเขาอธิบายผลการทดลองของวาสันว่า มนุษย์มักทำการทดลองที่เข้ากับสมมติฐานที่ใช้งานอยู่[74] พวกเขาเรียกวิธีนี้ว่า "กลวิธีทดสอบเชิงบวก" (positive test strategy)[7] ซึ่งเป็นตัวอย่างของวิธีการศึกษาโดยทดลอง (heuristic) ซึ่งเป็นทางลัดในการหาเหตุผลที่ไม่สมบูรณ์แต่ง่ายที่จะทดสอบ[2]

เคลย์แมนและฮาใช้ความน่าจะเป็นแบบเบส์ (Bayesian probability) และทฤษฎีสารสนเทศ (information theory) เป็นมาตรฐานในการทดสอบสมมติฐานแทนที่หลัก falsificationism ซึ่งต้องพยายามพิสูจน์ว่าสมมติฐานนั้นผิดตามที่วาสันใช้ แต่ว่าตามเคลย์แมนและฮา คำตอบของแต่ละคำถามให้ข้อมูลมากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับความคิดความเชื่อที่มีอยู่ก่อนดังนั้น การทดสอบสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์จึงเป็นวิธีการทดสอบที่หวังว่าจะได้ข้อมูลมากที่สุดและการทดสอบเชิงบวกอาจจะให้ความรู้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความน่าจะเป็นเบื้องต้นเคลย์แมนและฮาเสนอว่า เมื่อบุคคลกำลังขบปัญหาจริง ๆ ในโลก นั่นเป็นการหาคำตอบเฉพาะที่มีความน่าจะเป็นเบื้องต้นต่ำ (คือกฎธรรมชาติหรือคำอธิบายของธรรมชาติเป็นกฎเกณฑ์เฉพาะที่ไม่ได้เป็นกฎเกณฑ์แบบกว้าง ๆ) และในกรณีเช่นนี้ การทดสอบเชิงบวกจะให้ความรู้มากกว่าการทดสอบเชิงลบ (ดูแผนภาพเวนน์ภาพที่ 2 และ 3)[12]

(แสดงแบบข้อทดสอบที่วาสันใช้) ถ้าสูตรที่สืบหา (T) รวมสูตรที่เป็นสมมติฐาน (H) เข้าไว้ด้วย คือสูตรที่ค้นหากว้างขวางกว่าสมมติฐาน การทดสอบเชิงบวกที่ตรวจสอบดูว่า H ใช่ T หรือไม่ จะไม่สามารถแสดงว่า สมมติฐานนั้นผิดพลาด ตามป้ายและลูกศรจากซ้ายไปขวา (1) ไม่ใช่ T ไม่ใช่ H ไม่สามารถสรุป (2) เป็น T แต่ไม่ใช่ H สรุปได้ว่า T ไม่ใช่ H (3) เป็นทั้ง T เป็นทั้ง H ไม่สามารถสรุป
ถ้าสูตรที่สืบหา (T) มีส่วนเหมือนกับสูตรที่เป็นสมมติฐาน (H) การทดสอบเชิงบวกหรือลบอาจจะสามารถพิสูจน์ว่า H ผิดพลาด ตามป้ายและลูกศรจากซ้ายไปขวา (1) เป็น H แต่ไม่ใช่ T สรุปได้ว่า T ไม่ใช่ H (2) เป็นทั้ง T เป็นทั้ง H ไม่สามารถสรุป (3) ไม่ใช่ H แต่เป็น T สรุปได้ว่า T ไม่ใช่ H (4) ไม่ใช่ T ไม่ใช่ H ไม่สามารถสรุป
เมื่อสูตรที่เป็นสมมติฐาน (H) รวมสูตรที่สืบหา (T) เข้าไว้ด้วย การทดสอบเชิงบวกเป็นวิธีเดียวที่จะพิสูจน์ว่า H ผิดพลาด ตามป้ายและลูกศรจากซ้ายไปขวา (1) ไม่ใช่ T ไม่ใช่ H ไม่สามารถสรุป (2) เป็น H แต่ไม่ใช่ T สรุปได้ว่า T ไม่ใช่ H (3) เป็นทั้ง T เป็นทั้ง H ไม่สามารถสรุป

แต่ว่า ในงานหาสูตรของวาสันซึ่งก็คือ เลขสามตัวที่เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ เป็นกฎที่กว้างมาก (คือมีความน่าจะเป็นเบื้องต้นสูง ดูแผนภาพเวนน์ด้านซ้ายสุด) ดังนั้น โอกาสที่การทดสอบเชิงบวกจะให้ความรู้ที่ดีก็มีน้อย เคลย์แมนและฮาสนับสนุนการวิเคราะห์ของตนโดยอ้างงานทดลองที่ใช้ป้าย "DAX" และ "MED" สำหรับสูตรสองสูตรที่ผู้รับการทดลองต้องหา แทนที่ป้าย "เข้ากันกับสูตร" และ "ไม่เข้ากันกับสูตร"ซึ่งเป็นการป้องกันการบอกผู้รับการทดลองเป็นนัยว่า จุดมุ่งหมายก็เพื่อจะเสาะหาสูตร ๆ หนึ่งที่มีความน่าจะเป็นต่ำผลปรากฏว่า ผู้รับการทดลองประสบผลสำเร็จดีกว่าในรูปแบบนี้ของการทดลอง[75][76]

เพราะคำวิจารณ์นี้และอื่น ๆ จุดสนใจของงานวิจัยได้เปลี่ยนไปจากการทดสอบเชิงยืนยันและเชิงปฏิเสธไปเช็คดูว่า มนุษย์ตรวจสอบสมมติฐานโดยวิธีที่ให้เกิดความรู้ หรือว่าเป็นวิธีที่ไม่ทำให้เกิดความรู้แต่ว่าเป็นการทดสอบเชิงบวก การค้นหาความลำเอียงเพื่อยืนยัน "แท้" เป็นประเด็นทำให้นักจิตวิทยาทำการตรวจสอบปรากฏการณ์ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เพื่อแสดงกระบวนการประมวลข้อมูลของมนุษย์[77]

ใกล้เคียง

ความเจ็บปวด ความเสียวสุดยอดทางเพศ ความเท่าเทียมทางเพศ ความเอนเอียงเพื่อยืนยัน ความเอนเอียงโดยการมองในแง่ดี ความเหนือกว่าเทียม ความเครียด (จิตวิทยา) ความเสี่ยงมหันตภัยทั่วโลก ความเอนเอียงรับใช้ตนเอง ความเป็นมาของตัวละครในเพชรพระอุมา

แหล่งที่มา

WikiPedia: ความเอนเอียงเพื่อยืนยัน http://hosted.xamai.ca/confbias/ http://www.amazon.com/Emerging-Perspectives-Judgme... http://www.amazon.com/Handbook-Social-Psychology-S... http://www.boston.com/bostonglobe/ideas/articles/2... http://books.google.com/books?id=0SYVAAAAYAAJ&pg=P... http://web.mac.com/kstanovich/Site/YUP_Reviews_fil... http://www.myfoxal.com/story/23395758/camm-trial-9... http://www.scientificamerican.com/article.cfm?id=t... http://skepdic.com/confirmbias.html http://www.skepdic.com/backfireeffect.html