ยุคคั่นกลาง ของ จักรวรรดิซาเซเนียน

ในคริสต์ศตวรรษต่อมาการทำสงครามย้ายมาอยู่ที่พรมแดนตะวันออก ราวปี ค.ศ. 425 กลุ่มชนที่ชาวกรีกเรียกว่าชาวเอฟธาลิต หรือชาวฮันขาว เข้ายึดพื้นที่ระหว่างแม่น้ำโอซอสกับแม่น้ำแย็กซาตีส กษัตริย์ซาสซานิยะห์นามว่าพระเจ้าวาห์รามที่ 5 (ค.ศ. 420-438) กำราบชาวเอฟธาลิตได้สำเร็จ แต่หลังพระองค์สวรรคต ชาวเอฟธาลิตขยายจำนวนเพิ่มลูกหลานและทำสงครามขยายอาณาเขตจนสร้างจักรวรรดิใหม่ที่ครองอาณาเขตตั้งแต่ทะเลแคสเปียนจนถึงแม่น้ำสินธุ มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงกอร์กาน และมีเมืองสำคัญคือเมืองบอลค์ ชาวเอฟธาลิตสังหารพระเจ้าเปโรซ (ค.ศ. 459-484) และบังคับให้พระเจ้าวาลาคช์ (ค.ศ. 484-488) จ่ายบรรณาการให้ตน

ฝั่งตะวันออกยังคงถูกคุกคาม ขณะที่ภายในเปอร์เซียได้เกิดสงครามแย่งชิงอำนาจกันระหว่างกษัตริย์กับคณะขุนนางและเหล่านักบวช พระเจ้าคาวาดที่ 1 (ค.ศ. 588-531) วางแผนตัดกำลังศัตรูด้วยการสนับสนุนกลุ่มคอมมิวนิสต์ เพื่อเบนเข็มให้ศัตรูหันไปจัดการกับกลุ่มคอมมิวนิสต์แทน ในปี ค.ศ. 490 มัซดัก นักบวชโซโรอัสเตอร์ ประกาศตนเป็นผู้ที่พระเจ้าส่งให้มาเทศนาข้อบัญญัติศาสนาแบบเก่าที่กล่าวว่าผู้ชายทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ไม่มีใครมีสิทธิ์ครอบครองเหนือใคร ทรัพย์สมบัติและการแต่งงานเป็นสิ่งที่มนุษย์ปรุงแต่งขึ้นและเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง สมบัติทุกชิ้นและผู้หญิงทุกคนเป็นทรัพย์สมบัติร่วมกันของผู้ชายทุกคน มัซดักถูกฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาว่าเพิกเฉยต่อการขโมย การคบชู้ และการร่วมประเวณีกันในเครือญาติ และมีแนวคิดต่อต้านการมีทรัพย์สมบัติและการแต่งงาน แนวคิดยูโทเปียแบบสุดโต่งทำให้มัซดักเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ยากไร้ ทั้งกษัตริย์ยังให้การสนับสนุน กลุ่มสาวกของมัซดักจึงเริ่มออกปล้นบ้านเรือนไปจนถึงฮาเร็มเศรษฐี ขโมยนางบำเรอรูปงามราคาแพงมาใช้งานเอง เหล่าขุนนางคับแค้นใจจึงจับพระเจ้าคาวาดขังคุกและให้พระอนุชานามว่าจามาสป์ขึ้นครองบัลลังก์แทน

หลังถูกขังลืมในปราสาทสามปีพระเจ้าคาวาดหนีออกมาได้ ทรงหนีไปหาชาวเอฟธาลิตเพื่อขอกำลังมายึดเมืองเตซีโฟนและตำแหน่งกษัตริย์แห่งเปอร์เซียคืน พระเจ้าจามาสป์ถูกถอดออกจากตำแหน่ง เหล่าขุนนางหนีกลับไปดินแดนทรัพย์สินของตน

ใกล้เคียง

จักรวรรดิออตโตมัน จักรวรรดิญี่ปุ่น จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิบริติช จักรวรรดิมองโกล จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ จักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิเยอรมัน จักรวรรดิรัสเซีย