ราชอาณาจักรรัตนโกสินทร์ (
สยาม)
สงครามพม่า–อังกฤษครั้งที่หนึ่ง (
อังกฤษ: First Anglo-Burmese War) เป็น
สงครามระหว่าง
จักรวรรดิอังกฤษกับ
ราชวงศ์โก้นบองของ
พม่า เป็นระยะเวลา 2 ปี ในระหว่าง ค.ศ. 1824–1826 ถือเป็นสงครามครั้งแรกของ
สงครามพม่า–อังกฤษ ซึ่งเกิดขึ้นทั้งหมด 3 ครั้ง รวมทั้งครั้งนี้สงครามครั้งนี้เกิดจาก พม่าได้ครอบครอง
แคว้นอัสสัมของ
อินเดียได้สำเร็จ ในรัชสมัย
พระเจ้าจักกายแมง ก็ต้องเผชิญหน้ากับจักรวรรดิอังกฤษที่กำลังอยู่ในระหว่างล่าอาณานิคมอยู่ในรัชสมัย
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งในช่วงเวลานั้นอังกฤษก็กำลังคุกคามอินเดียอยู่ในระยะแรก กองทัพอังกฤษยังไม่จัดเจนในการสงครามครั้งนี้ เนื่องจากไม่คุ้นกับสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศ และยุทธวิธีการรบ แต่ทว่า ผลของการสู้รบมาถึงจุดพลิกผันที่ให้ถึงที่สิ้นสุดเอาเมื่อถึงวันที่ 1 ธันวาคม – 14 ธันวาคม ค.ศ. 1824 ซึ่งเป็นสมรภูมิใน
ปริมณฑลย่างกุ้ง มหาพันธุละ แม่ทัพใหญ่ของฝ่ายพม่า ซึ่งนำกองกำลังประมาณ 60,000 นาย จากกรุง
รัตนปุระอังวะ ซึ่งเป็น
เมืองหลวง ปะทะกับกองทัพอังกฤษ ซึ่งประกอบด้วย ทหารสัญชาติอังกฤษไม่เกิน 1,300 นาย และทหารแขก (
ซีปอย) 2,500 นาย ในเวลาเพียง 15 วัน กองทัพพม่าสูญเสียเป็นอย่างยิ่ง จนมหาพันธุละเหลือกำลังทหารเพียง 7,000 นายเท่านั้น ต้องถอยร่นไปตั้งรับที่เมืองดนูพยู หรือทุนพยู จนลำน้ำปันฮะลาย ซึ่งเป็นลำน้ำสำคัญที่ตัดออกสู่
แม่น้ำอิระวดี ซึ่งเป็นแม่น้ำสายใหญ่ มหาพันธุละใช้ยุทธวิธีการรบแบบสมัยโบราณ ที่เคยกระทำใช้ได้ผลสำเร็จมาแล้วในการรบแต่ละครั้งในประวัติศาสตร์ภูมิภาค
เอเชียอาคเนย์ คือ การตั้งค่ายและป้อมปืนขึ้นริมน้ำทั้งสองฟากเพื่อดักยิงเรือของข้าศึกที่ผ่านมา แต่ด้วยเทคโนโลยีทางอาวุธที่ทันสมัยกว่าและระเบียบวิธีการรบของกองทัพอังกฤษ มหาพันธุละเป็นฝ่ายแพ้อย่างยับเยิน และหลังจากนั้นในวันที่
1 เมษายน ปีถัดมา มหาพันธุละก็เสียชีวิตลงด้วยสะเก็ดปืนใหญ่ระเบิดที่เมืองดนูพยูนั่นเอง เมื่อถูกฝ่ายอังกฤษใช้ปืนใหญ่ที่ทันสมัยกว่ารวมทั้ง
ปืนครก ขึ้นตั้งเป็นหอรบระดมยิงกระหน่ำค่ายของพม่า
[1]สงครามสิ้นสุดลงที่การทำ
สนธิสัญญารานตะโบ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1826 ซึ่งมีเนื้อหาสำคัญ คือ อังกฤษจะผนวกเอา
อะระกันและ
ตะนาวศรี ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญด้าน
ทะเลอันดามันไปเป็นสิทธิ์ขาดอย่างที่จะเรียกเอาคืนไม่ได้ พร้อมทั้งพม่าต้องสัญญาว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของดินแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ คือ แคว้นอัสสัม,
กะจาร์,
ซินเตีย และ
มณีปุระ ซึ่งภายหลัง อังกฤษผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของ
บริติชราช ซึ่งปกครองโดย ข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษที่
กัลกัตตา นอกจากนี้แล้ว พม่ายังต้องชดใช้
ค่าปฏิกรรมสงครามให้อังกฤษเป็นจำนวนเงิน 2,000,000
ปอนด์สเตอร์ลิง และต้องยอมให้อังกฤษตั้งสถานกงสุลขึ้นในกรุงรัตนปุระอังวะ ซึ่งมี
จอห์น ครอว์ฟอร์ด เป็นกงสุลคนแรก ซึ่งสงครามครั้งนี้ ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่ออาณาจักรโก้นบอง ที่ถือได้ว่ามีอำนาจสูงสุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ขณะนั้น ซึ่งนับจากนี้ต่อไป พม่าไม่อาจจะแสดงอิทธิพลหรือแผ่แสนยานุภาพใด ๆ อีกต่อไป และนำไปสู่การสิ้นสุดลงของราชวงศ์โก้นบอง ซึ่งเป็น
ราชวงศ์สุดท้ายในประวัติศาสตร์พม่า และถือเป็นสิ้นสุดของ
ระบอบราชาธิปไตยของพม่าในปี ค.ศ. 1885 หลังสิ้นสุด
สงครามพม่า-อังกฤษ ครั้งที่ 3[2][3][4]