การดำเนินงานของสภาแห่งชาติ ของ สภาแห่งชาติลาว

การประชุมของสภาแห่งชาติ

สภาแห่งชาติมีการประชุม 4 ประเภท[26] ดังนี้

  1. การประชุมปฐมฤกษ์
  2. การประชุมสมัยสามัญ
  3. การประชุมสมัยวิสามัญ
  4. การประชุมสมัยพิเศษ[27]

การประชุมปฐมฤกษ์ คือ การประชุมครั้งแรกของสภาแห่งชาติชุดใหม่ จะมีขึ้นไม่เกิน 60 วัน หลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติชุดนั้น ประธานสภาแห่งชาติชุดเดิมจะทำหน้าที่ประธานการประชุมปฐมฤกษ์จนกว่าจะได้เลือกตั้งประธานสภาแห่งชาติชุดใหม่

ที่ประชุมปฐมฤกษ์มีภารกิจ[28] ดังนี้

  1. รับรองรายงานของประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้ง และสมาชิกภาพของสมาชิกสภาแห่งชาติชุดใหม่
  2. แต่งตั้งประธานและรองประธานสภาแห่งชาติ กรรมการคณะประจำสภาแห่งชาติ หัวหน้า รองหัวหน้าและกรรมาธิการประจำคณะกรรมาธิการ หัวหน้าห้องว่าการสภาแห่งชาติ และผู้แทนประจำคณะรัฐสภาระหว่างประเทศของสภาแห่งชาติ
  3. แต่งตั้งประธานและรองประธานประเทศ กำหนดองค์คณะของรัฐบาล แต่งตั้ง โยกย้าย หรือถอดถอนสมาชิกคณะรัฐบาล
  4. แต่งตั้งประธานศาลประชาชนสูงสุดและอัยการประชาชนสูงสุด[29]
  5. พิจารณาและรับรองโครงการดำเนินงานของสภาแห่งชาติ

สภาแห่งชาติเปิด การประชุมสมัยสามัญ ปีละ 2 ครั้ง โดยมีคณะประจำสภาแห่งชาติเป็นผู้เรียกประชุม[30]ครั้งที่ 1 มีขึ้นระหว่างเดือนกุมภาพันธ์และครั้งที่ 2 ระหว่างเดือนกันยายน หนึ่งสมัยประชุมของสภาแห่งชาติมีระยะเวลาประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ โดยมีการกำหนดวาระที่ชัดเจนก่อนจะเริ่มการประชุมแล้วการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ 1 พิจารณากฎหมาย ข้อตัดสินใจหรือปัญหาทั่วไปของสภาแห่งชาติ ส่วนการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ 2 นั้น มีหน้าที่รับฟังคำนำเสนอและพิจารณาบทรายงาน (ผลการปฏิบัติงาน) ประจำปีของรัฐบาล พิจารณารับรองแผนพัฒนาเศรษฐกิจ - สังคมและแผนงบประมาณแห่งรัฐ รับฟังคำนำเสนอและพิจารณาบทรายงาน (ผลการปฏิบัติงาน) ประจำปีของประธานศาลประชาชนสูงสุดและอัยการประชาชนสูงสุดนอกจากนี้ อาจพิจารณากฎหมาย ข้อตัดสินใจ หรือปัญหาสำคัญอื่นเพิ่มเติมได้สภาแห่งชาติอาจเปิด การประชุมสมัยวิสามัญ หรือ การประชุมสมัยพิเศษ ได้ ตามมติของคณะประจำสภาแห่งชาติโดยการเสนอของประธานประเทศหรือนายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาแห่งชาติจำนวน 1 ใน 4 ของสมาชิกทั้งหมดการประชุมสมัยวิสามัญ ของสภาแห่งชาติเปิดขึ้นในระหว่างที่มิได้มีการประชุมสมัยสามัญ เพื่อพิจารณาตัดสินและรับรองปัญหาที่มีความจำเป็นการประชุมสมัยพิเศษ ของสภาแห่งชาติอาจเปิดขึ้นเพื่อพิจารณาตัดสินและรับรองปัญหาเฉพาะหน้าหรือปัญหาเร่งด่วนที่สำคัญของประเทศการประชุมของสภาแห่งชาติให้ดำเนินงานอย่างเปิดเผย โดยในกรณีจำเป็นคณะประจำสภาแห่งชาติจะตกลงให้ประชุมลับตามการเสนอของประธานประเทศหรือนายกรัฐมนตรีก็ได้การประชุมของสภาแห่งชาติจะเปิดประชุมได้ก็ต่อเมื่อมีสมาชิกเข้าร่วมการประชุมมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด และมติของที่ประชุมสภาแห่งชาติจะบังคับใช้ได้ก็ต่อเมื่อได้รับคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่เข้าร่วมการประชุม (เว้นแต่กรณีที่ได้กำหนดไว้ในมาตรา 54, 66 และ 97 ของรัฐธรรมนูญ) [31]

แผน โครงการ และการดำเนินงานของสภาแห่งชาติ

การดำเนินงานของในสภาแห่งชาติแต่ละชุดนั้นจะเป็นไปตามแผนการปฏิบัติงาน 5 ปี และแผนปฏิบัติงานประจำปีของสภาแห่งชาติองค์ประกอบของแผนการปฏิบัติงาน 5 ปี และแผนปฏิบัติงานประจำปี นั้น มีองค์ประกอบเนื้อหาด้านต่างๆ อาทิ การตราหรือการปรับปรุงกฎหมาย การพัฒนาทรัพยากรบุคคลและองค์กร ความสัมพันธ์กับรัฐสภาต่างประเทศและองค์การรัฐสภาระหว่างประเทศ นโยบายและแผนหรือ ทิศทางการดำเนินงาน การบริหารและการเงิน ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติ ซึ่งแผนการปฏิบัติงาน 5 ปีนี้ จะได้มีการจัดทำร่างขึ้นก่อนที่สภาแห่งชาติชุดเดิมจะหมดวาระ และรับรองในที่ประชุมการประชุมปฐมฤกษ์ของสภาแห่งชาติชุดใหม่ซึ่งถือเป็นการส่งต่อและส่งมอบงานที่เป็นระบบ ถ่ายทอดและสืบทอดงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งจากแผนการปฏิบัติงาน 5 ปี ข้างต้น คณะประจำสภาแห่งชาติจะเป็นผู้ “ผันขยาย” (ปรับ) แผนปฏิบัติงาน 5 ปี ไปสู่แผนการปฏิบัติงานประจำปี ซึ่งในด้านกฎหมาย (รวมทั้งด้านอื่นด้วยนั้น) จะมีวาระว่าแต่ละปีนั้นจะมีกฎหมายใดเข้าสู่การพิจารณาของสภาแห่งชาติบ้างซึ่งแผนการทั้ง 2 ระดับนั้น คือ ทั้งแผนปฏิบัติงาน 5 ปี และแผนการปฏิบัติงานประจำปี จะจัดทำขึ้นโดย

  1. ตามความต้องการและนโยบายการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ ของรัฐบาล ศาลประชาชน องค์การอัยการ ประชาชน และสภาแห่งชาติ
  2. ตามรัฐธรรมนูญ และ
  3. ตามหลักกฎหมายสากล

เฉพาะในด้านการตรากฎหมายนั้น ให้พิจารณาตามแผนการปฏิบัติงานประจำปี โดยองค์การและบุคคลผู้มีสิทธิเสนอร่างกฎหมายจะได้ค้นคว้าข้อมูลประกอบพร้อมกับจัดทำร่างกฎหมายเสนอต่อสภาแห่งชาติ ซึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้รวบรวมความเห็นเสนอ (ปกติร่างกฎหมายที่จะผ่านที่ประชุมสภาแห่งชาติชุดนั้น จะต้องเสนอความเห็นผ่านที่ประชุมปฐมฤกษ์ของสภาแห่งชาติชุดนั้นก่อนเท่านั้น ดังนั้น ขั้นรับร่างกฎหมายตามกระบวนการพิจารณากฎหมายไทย จึงอาจนับว่าเริ่มมีขึ้นตั้งแต่การประชุมปฐมฤกษ์ของสภาแห่งชาติชุดนั้น)

สมาชิกสภาแห่งชาติลาว ชุดที่ 5 จำนวน 109 ท่าน

การตรากฎหมาย

ลำดับขั้นหรือศักดิ์ของกฎหมายของ สปป.ลาว นั้น ประกอบด้วย ดังนี้

  1. รัฐธรรมนูญ (Constitution)
  2. “กฎหมาย” (Law)
  3. รัฐบัญญัติ (Decree) (เทียบเท่ากับ พระราชกำหนด ลาวเรียก “กฎหมายน้อย”)
  4. รัฐดำรัส (หรือดำรัสประธานประเทศ) (Presidential Edict) (กฎหมายซึ่งประกาศบังคับใช้โดยประธานประเทศ และนายกรัฐมนตรี โดยมิต้องผ่านการพิจารณาของสภาแห่งชาติ ศักดิ์ของกฎหมายเทียบเท่ากับ พระราชกฤษฎีกา[32]) ซึ่งการศึกษานี้จะกล่าวถึงเฉพาะ “กฎหมาย” เท่านั้น เนื่องจากกระบวนการตราและการบังคับใช้ “กฎหมาย” เป็นกระบวนการบังคับใช้กฎหมายหลักของลาว ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับระบบกฎหมายของไทยแล้ว “กฎหมาย” นี้ อาจเทียบกับศักดิ์กฎหมายได้กับ “พระราชบัญญัติ

ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย สปป.ลาว องค์การจัดตั้งและบุคคลที่มีสิทธิเสนอร่างกฎหมายเพื่อให้สภาแห่งชาติพิจารณา[33] มีดังนี้

  1. ประธานประเทศ
  2. คณะประจำสภาแห่งชาติ
  3. รัฐบาล
  4. ศาลประชาชนสูงสุด
  5. องค์การอัยการประชาชนสูงสุด และ
  6. แนวลาวสร้างชาติหรือองค์การจัดตั้งมหาชนขั้นศูนย์กลางอื่น (ศูนย์กลางชาวหนุ่มลาวสหพันธ์กรรมบาลลาว ศูนย์กลางสหพันธ์แม่หญิงลาว)

งานระบบกฎหมายและการออกกฎหมายของ สปป.ลาว นั้น แบ่งพิจารณาได้เป็น 2 ด้านหลัก ซึ่งหลักการนี้ได้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและให้ความสำคัญมากเท่าๆ กันทั้ง 2 ด้าน และเป็นหลักการที่ประเทศซึ่งปกครองตามระบอบประชาธิปไตยประชาชนหรือสังคมนิยม - คอมมิวนิสต์ถือปฏิบัติ แบ่งได้ดังนี้

  1. การตราและปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย
  2. งานประชาสัมพันธ์และเผยแพร่การบังคับใช้กฎหมาย

การตราและปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย

กระบวนการตราและปรับปรุงแก้ไขกฎหมายจะดำเนินการตามแผนการปฏิบัติงาน 5 ปี ของสภาแห่งชาติ ซึ่งจะกำหนดว่าจะมีการตราหรือปรับปรุงแก้ไขกฎหมายใดบ้าง ทั้งในรอบ 5 ปี ซึ่งครบตามวาระของสภาแห่งชาติชุดนั้นและโครงการในแต่ละปีเมื่อจะมีการพิจารณาเสนอกฎหมายใด รัฐบาลโดยหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายนั้นหรือหน่วยงาน (เจ้าของ) ผู้รักษาการตามกฎหมายนั้นจะมีการประสานงานรวบรวมความเห็นและข้อมูลเพื่อประกอบความเห็นต่อร่างกฎหมายนั้นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันจัดทำร่างกฎหมายนั้นขึ้น เมื่อได้จัดทำร่างกฎหมายเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเสนอกระทรวงยุติธรรมเพื่อพิจารณารับรอง แล้วจึงเสนอต่อรัฐบาล เมื่อคณะรัฐบาลลงมติรับรองแล้วจึงเสนอต่อสภาแห่งชาติก่อนที่สมัยประชุมสภาแห่งชาติจะเปิดขึ้นไม่น้อยกว่า 60 วันต่อไป

เมื่อสภาแห่งชาติรับร่างกฎหมายไว้พิจารณาแล้ว สภาแห่งชาติจะมอบหมายให้คณะกรรมาธิการกฎหมายและคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องพิจารณาร่วมกันเพื่อทำความเห็น ตลอดจนตรวจสอบข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อ “การประชุมเปิดกว้าง” (เป็นการประชุมที่หน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน ตลอดจน ตัวแทนประชาชน รวมทั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ และส่วนท้องถิ่น สามารถเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นต่างๆ ในที่ประชุมได้ ซึ่งประเด็นในที่ประชุมเปิดกว้างนั้นก็เป็นประเด็นเปิดกว้างที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและการบริหารงานภาพรวมทั้งหมดของชาติด้วย) เพื่อนำความเห็นมาประกอบการพิจารณาปรับปรุงร่างกฎหมาย เมื่อปรับปรุงแล้วจึงเสนอให้คณะประจำสภาแห่งชาติอนุมัติ กรณีเป็นร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ (ได้เสีย) ของประชาชนหรือผลประโยชน์แห่งชาติก่อนเสนอเพื่อให้คณะประจำสภาแห่งชาติพิจารณาอนุมัติ ต้องมีการขอความเห็นหรือ “ประชาพิจารณ์” จากประชาชนก่อนด้วย (กระบวนการเสนอความเห็นและประชาพิจารณ์กฎหมายลาวนั้น เรียกว่า “การทาบทาม”กระบวนการนี้ สมาชิกสภาแห่งชาติจะลงพื้นที่เพื่อขอความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ตามแขวงต่างๆ แล้วสรุปความเห็นที่เกี่ยวข้องเสนอต่อคณะกรรมาธิการกฎหมายและคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อนำมาปรับปรุงอีกครั้งตามความเหมาะสม เมื่อปรับร่างกฎหมายแล้วจึงเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะประจำสภาแห่งชาติ)

เมื่อคณะประจำสภาแห่งชาติเห็นเหมาะสมแล้วจึงเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาแห่งชาติ ถ้าคณะประจำสภาแห่งชาติเห็นว่ายังไม่ครบถ้วนเพียงพออาจเสนอให้คณะกรรมาธิการกฎหมายและคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลเพื่อปรับปรุงให้ครบถ้วนสมบูรณ์และเสนอใหม่อีกครั้งได้

ขั้นตอนการพิจารณาร่างกฎหมายในการประชุมสภาแห่งชาตินั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องเป็นผู้รับผิดชอบนำเสนอร่างกฎหมายร่วมกับคณะกรรมาธิการกฎหมายและคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้อง โดยรัฐมนตรีทำหน้าที่เสนอจุดประสงค์ของกฎหมายต่อที่ประชุมสภาแห่งชาติ กรรมาธิการผู้รับผิดชอบร่างกฎหมายนั้นนำเข้าสู่การพิจารณารายมาตรา (อ่านและพิจารณาเรียงตามรายมาตรา) ถ้ามีข้อคิดเห็นหรือมีการขอแปรญัตติเพิ่มเติมให้ประธานสภาแห่งชาติหรือสมาชิกเสนอต่อที่ประชุม คณะกรรมาธิการกฎหมายและคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่ชี้แจง กรณีกฎหมายใดพิจารณาได้ง่าย คือ ไม่ซับซ้อนหรือเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติอาจผ่านความเห็นหรือขอมติเป็นรายหมวดหรือรายภาค ถ้ากฎหมายฉบับใดยากหรือซับซ้อนหรือเกี่ยวข้องกับสิทธิและผลประโยชน์ของประชาชน อาจพิจารณาผ่านความเห็นหรือขอมติเป็นรายมาตราการลงคะแนนเสียงให้ลงคะแนนเสียงแบบปิดลับ (ลงคะแนนเสียงโดยลับ) การผ่านความเห็นหรือมติจะมีผลบังคับใช้เมื่อได้รับคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่เข้าร่วมการประชุมเมื่อกฎหมายนั้นได้รับมติเห็นชอบจากสภาแห่งชาติแล้ว ให้คณะกรรมาธิการกฎหมายปรับปรุงตามความเห็นและคำนำเสนอ แล้วนำกลับเข้าที่ประชุมสภาแห่งชาติอีกครั้งในวันสุดท้ายของสมัยการประชุมนั้นเพื่อรับรองให้ประกาศบังคับใช้ต่อไป

งานประชาสัมพันธ์และเผยแพร่กฎหมาย

เมื่อกฎหมายใดได้รับการลงมติบังคับใช้จากสภาแห่งชาติแล้ว กระทรวงผู้รับผิดชอบบังคับใช้กฎหมายจะต้องเสนอให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายนั้นต่อหน่วยงานขึ้นตรงและเกี่ยวข้องของตนก่อนจากตั้งแต่ส่วนกลางถึงท้องถิ่น ซึ่งเป็นการให้ความรู้เพื่อการบังคับใช้กฎหมายและปฏิบัติงานได้

กระบวนการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่กฎหมายนั้นมีความหลากหลายนับแต่การประชาสัมพันธ์และโฆษณาทางสื่อ ตลอดจน การจัดทำเอกสารทางวิชาการ อาทิ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เอกสาร หนังสือ นอกจากนี้ อาจมีการจัดสอนในชั้นเรียนหรือสัมมนาตามสถาบันการศึกษาด้วย กฎหมายบางฉบับอาจจะจัดเข้าไปอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนภาคบังคับด้วย ซึ่งทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสำคัญของกฎหมายนั้นเป้าหมายของงานประชาสัมพันธ์และเผยแพร่กฎหมาย คือ จะเร่งให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายนั้นก่อน จึงขยายสู่กลุ่มพนักงาน (ข้าราชการ) ทั่วไป และสู่ภาคประชาชน เป็นการกระจายสู่ทุกระดับตั้งแต่จากศูนย์กลางสู่ท้องถิ่นตามลำดับ

ในการพิจารณาร่างกฎหมายและร่างรัฐบัญญัติ สภาแห่งชาติจะแต่งตั้งกรรมาธิการเพื่อจัดทำความเห็นเสนอต่อคณะประจำสภาแห่งชาติและประธานประเทศ[34] นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการแต่ละคณะยังมีหน้าที่สนับสนุนสภาแห่งชาติและคณะประจำสภาแห่งชาติเพื่อดำเนินการตามอำนาจในการตรวจสอบการดำเนินงานของคณะรัฐบาล ศาลประชาชน และองค์การอัยการประชาชน อันจะเป็นการรวบรวมข้อมูลเพื่อสนับสนุนการจัดทำร่างกฎหมายในอนาคตด้วย (รายละเอียดเกี่ยวกับคณะกรรมาธิการโปรดพิจารณาตามหัวข้อ “คณะกรรมาธิการของสภาแห่งชาติ” หน้า 28 - 29) กฎหมายที่สภาแห่งชาติได้รับรองแล้วนั้นประธานประเทศต้องประกาศบังคับใช้ภายในไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับรอง

ในระยะเวลาดังกล่าวนั้น ประธานประเทศมีสิทธิเสนอกลับคืนให้สภาแห่งชาติพิจารณาใหม่ได้ กฎหมายที่พิจารณาใหม่นั้น ถ้าหากสภาแห่งชาติมีมติยืนยันตามเดิมแล้ว ประธานประเทศต้องประกาศใช้ภายในกำหนดสิบห้าวัน[35]โดยปกติ 1 ปี สภาแห่งชาติจะผ่านกฎหมายประมาณ 12 ฉบับ (มากสุดอาจถึง 14 ฉบับ) สมัยประชุมละประมาณ 6 - 7 ฉบับ

ญัตติ

“ญัตติ[36]” หรือข้อพิจารณา ในภาษาลาวหรือตามกฎหมายของลาวนั้น เรียกว่า “บันหา” หรือ “ปัญหา” “บันหา” คือ ข้อเสนอที่มีความมุ่งหมายเพื่อให้สภาแห่งชาติลงมติหรือวินิจฉัยว่าจะปฏิบัติอย่างไร ซึ่งการเสนอเรื่องหรือข้อพิจารณาเพื่อให้ที่ประชุมสภาแห่งชาติพิจารณานั้นจะต้องเสนอเป็น “ญัตติ” หรือ “บันหา” “บันหา” จึงเป็นกลไกหนึ่งในการดำเนินงานของสภาแห่งชาติ เพราะ “บันหา” ทุกเรื่องย่อมมีจุดมุ่งหมาย อันทำให้รู้ถึงประโยชน์หรือผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น “บันหา” จึงมีความสำคัญต่อการดำเนินงานของสภาแห่งชาติ 3 ประการ ดังนี้

  1. เป็นกลไกในการตรากฎหมาย
  2. เป็นกลไกในการควบคุมการบริหาร
  3. เป็นกลไกในการประชุมสภา

โดยทั่วไปลักษณะการเสนอ “บันหา” แบ่งออก 2 ประเภท คือ 1. “บันหา” ที่เสนอด้วยวาจา และ 2. “บันหา” ที่เสนอเป็นหนังสือ

“บันหา” ที่เสนอโดยถูกต้องแล้วประธานสภาแห่งชาติจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมตามกระบวนการพิจารณา กระบวนการพิจารณา “บันหา” มี 3 ขั้นตอน คือ 1. การอภิปราย 2. การแปร “ญัตติ” หรือการอภิปราย “บันหา”และ 3. การลงมติ “บันหา” หรือ “ญัตติ” หรือข้อตัดสินใจที่เกี่ยวกับ “ชะตากรรม” ของชาติและผลประโยชน์อันสำคัญของประชาชนต้องผ่านการพิจารณาของสภาแห่งชาติหรือคณะประจำสภาแห่งชาติกรณีสภาแห่งชาติมิได้เปิดการประชุม[37] เท่านั้น

กระทู้ถาม

การทู้ถาม[38] คือ คำถามที่สมาชิกสภาแห่งชาติตั้งเพื่อถามนายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกรัฐบาล (รัฐมนตรีและหัวหน้าองค์กรเทียบเท่ากระทรวง) ประธานศาลประชาชนสูงสุด และอัยการประชาชนสูงสุด ในเรื่องอันเกี่ยวกับงานในหน้าที่หรือนโยบายการบริหารงาน

สมาชิกสภาแห่งชาติมีสิทธิตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกรัฐบาล ประธานศาลประชาชนสูงสุด และอัยการประชาชนสูงสุด บุคคลที่ถูกซักถามนั้น ต้องชี้แจงต่อที่ประชุมสภาแห่งชาติด้วยวาจาหรือเป็นลายลักษณ์อักษร[39]แต่นายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกรัฐบาล ประธานศาลประชาชนสูงสุด อัยการประชาชนสูงสุด หรือผู้ที่เกี่ยวข้องมีสิทธิที่จะยังไม่ตอบกระทู้นั้นก็ได้ ถ้าผู้เกี่ยวข้องนั้นเห็นว่าเรื่องหรือกรณีนั้นยังไม่ควรเปิดเผย เพราะอาจเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือประโยชน์สำคัญของประเทศกระทู้ถามที่สมาชิกตั้งถามนายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกรัฐบาล ประธานศาลประชาชนสูงสุด และอัยการประชาชนสูงสุด มีอยู่ 2 ลักษณะ คือ

  1. คำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับงานในหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกรัฐบาล ประธานศาลประชาชนสูงสุด และอัยการประชาชนสูงสุด ซึ่งส่วนใหญ่จะถามเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบนั้น
  2. คำถามเกี่ยวกับนโยบายการบริหารของนายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกรัฐบาล ประธานศาลประชาชนสูงสุด และอัยการประชาชนสูงสุด ซึ่งเป็นคำถามที่สมาชิกสภาแห่งชาติตั้งขึ้น เมื่อเห็นว่าการบริหารงานแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกรัฐบาล ประธานศาลประชาชนสูงสุด และอัยการประชาชนสูงสุด ไม่เป็นไปตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อสภาแห่งชาติ หรือดำเนินการบริหารงานผิดพลาดไม่ตรงตามนโยบาย

กระทู้ถามนับเป็นวิธีการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาแห่งชาติ เพราะทำให้ฝ่ายปฏิบัติงานมีความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดียิ่งขึ้น มิฉะนั้น อาจถูกสมาชิกสภาแห่งชาติตั้งกระทู้ถามอันแสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดหรือบกพร่องในการปฏิบัติงานได้กระทู้ถามมี 2 ประเภท คือ 1. กระทู้ถามสด และ 2. กระทู้ถามทั่วไป

การเปิดอภิปรายทั่วไป

การเปิดอภิปราย[40]ทั่วไปเป็นมาตรการควบคุมการบริหารงานวิธีหนึ่ง ซึ่งถือเป็นมาตรการที่สำคัญและมีประสิทธิภาพมาก เพราะสามารถเป็นเครื่องมือเหนี่ยวรั้ง ถ่วงดุลอำนาจ และควบคุมการบริหารงานของฝ่ายต่างๆ จากสภาแห่งชาติให้อยู่ในภาวะสมดุลได้ดีที่สุด แม้สภาแห่งชาติจะมิได้มีการใช้มาตรการการเปิดอภิปรายทั่วไปนี้มากนัก (ตามสถิติสภาแห่งชาติลาวเปิดอภิปรายทั่วไปทั้งกรณีการลงมติและไม่ลงมติน้อยมาก ระบอบการปกครองของลาว คือ ระบอบประชาธิปไตยประชาชนหรือ “สังคมนิยม-คอมมิวนิสต์” นั้น เป็นระบบที่เน้นทั้ง “พรรค” และ “รัฐ” “พรรค-รัฐ” ควบคู่และเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นมักแก้ปัญหากันเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ภายใน “พรรค” แล้ว ซึ่งถือเป็น “หลังฉาก” ขณะที่ระดับ “รัฐ” หรือ “หน้าฉาก” นั้น การบริหารงานมักเป็นไปด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย “ใสสะอาด” และปราศจากความขัดแย้ง)

ลักษณะของการอภิปรายทั่วไปแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. การเปิดอภิปรายทั่วไปโดยมีการลงมติ และ 2. การเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติกรณีการเปิดอภิปรายทั่วไปโดยมีการลงมตินั้น รัฐบาลหรือสมาชิกคณะรัฐบาลอาจถูกสภาแห่งชาติ “พิจารณา”และ “ลงมติ” ไม่ไว้วางใจได้ตามการเสนอของคณะประจำสภาแห่งชาติหรือสมาชิกสภาแห่งชาติอย่างน้อยหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดในระยะเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงหลังจากที่สภาแห่งชาติได้ลงมติไม่ไว้วางใจ ประธานประเทศมีสิทธิเสนอให้สภาแห่งชาติพิจารณาใหม่การพิจารณาครั้งที่สองต้องห่างจากการพิจารณาครั้งที่หนึ่งสี่สิบแปดชั่วโมง ถ้าการลงมติครั้งใหม่ไม่ได้รับความไว้วางใจ รัฐบาลหรือสมาชิกคณะรัฐบาลผู้นั้นต้องลาออก[41]

ใกล้เคียง

สภาแห่งชาติ (ประเทศลาว) สภาแห่งรัฐ (ฝรั่งเศส) สภาแห่งชาติเพื่อการคุ้มกันบ้านเกิดเมืองนอน สภาแห่งรัฐ (อังกฤษ) สภาแห่งรัฐ สภาแห่งชาติ (ออสเตรีย) สภาแห่งรัฐ (เนเธอร์แลนด์) สภาแห่งชาติเพื่อการฟื้นฟูติมอร์ สภาแห่งชาติแห่งสหภาพพม่า สภาแห่งชาติลิเบีย