อาการ ของ โรคจิต

ประสาทหลอน

ภาพวาดแสดงอาการภาพหลอนของ ดอน กิโฮเต้

ประสาทหลอน (hallucination) นิยามว่าเป็นการรับรู้ทางประสาทสัมผัสโดยไม่มีสิ่งเร้าภายนอกจริง ๆผิดไปจากสิ่งลวงประสาทสัมผัส (illusion) หรือความบิดเบือนทางการรับรู้ (perceptual distortion) ซึ่งเป็นการแปลสิ่งเร้าภายนอกที่มีอยู่จริง ๆ ผิดไปประสาทหลอนอาจเกิดทางประสาทสัมผัสใด ๆ ก็ได้ มีรูปแบบเช่นไรก็ได้อาจเป็นการรับรู้อย่างง่าย ๆ (เช่น แสง สี เสียง รส หรือกลิ่น) หรือเป็นประสบการณ์ที่ซับซ้อนละเอียดยิ่งกว่า (เช่น เห็นและมีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์หรือบุคคล ได้ยินเสียงคน หรือมีการสัมผัสที่ซับซ้อน)โดยทั่วไปปรากฏอย่างชัดเจนและควบคุมไม่ได้[17]ตัวอย่างรวมทั้งได้ยินเสียงคนที่ตายไปแล้ว ได้ยินเสียงกระแสจิต หรือเห็นภาพที่คนอื่นไม่เห็น ได้กลิ่นที่คนอื่นไม่ได้กลิ่น หูแว่วโดยเฉพาะที่ได้ยินเสียงพูดเป็นประสบการณ์สามัญสุดและเด่นสุดของภาวะโรคจิต

ประชากรทั่วไปถึง 15% อาจประสบกับหูแว่วความชุกในคนไข้โรคจิตเภททั่วไประบุว่าอยู่ที่ 70% แต่อาจมีถึง 98%ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 หูแว่วจัดว่าเกิดบ่อยเป็นอันดับสองต่อจากประสาทหลอนทางตา แต่ปัจจุบันปรากฏบ่อยสุดในโรคจิตเภท แม้อัตราจะต่างกันบ้างในวัฒนธรรมต่าง ๆ และเขตภูมิภาคต่าง ๆ หูแว่วมักจะเป็นเสียงพูดที่จับความไม่ได้จำนวนเสียงบุคคลที่คนไข้ได้ยินโดยเฉลี่ยประเมินว่าอยู่ที่ 3 คนรายละเอียดต่าง ๆ เช่นความบ่อยครั้งที่ได้ยิน จะต่างกันอย่างสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อเทียบทางวัฒนธรรมและกลุ่มประชากรต่าง ๆคนที่หูแว่วบ่อยครั้งสามารถระบุความดัง แหล่งเกิดเสียง และอาจระบุเสียงว่าเป็นของบุคคลต่าง ๆ ได้คนในวัฒนธรรมตะวันตกมักจะหูแว่วในเรื่องศาสนา บ่อยครั้งเกี่ยวกับบาปประสาทหลอนอาจผลักดันให้บุคคลทำอะไรที่เป็นอันตรายเมื่อมีอาการหลงผิดประกอบด้วย[18]

extracampine hallucination เป็นการรับรู้เกินพิสัยของอวัยวะรับความรู้สึก (เช่น เสียงที่รับรู้ด้วยเข่า)[18]

ประสาทหลอนทางตาเกิดขึ้นกับคนไข้โรคจิตเภทในอัตราประมาณ 1 ใน 3 แต่ก็มีรายงานว่าอาจถึง 55%สิ่งที่เห็นบ่อยครั้งเป็นสิ่งเคลื่อนที่ แต่สิ่งที่รับรู้ผิดปกติอาจรวมระดับแสง เงา ริ้วลาย และเส้นการเห็นผิดปกติอาจขัดกันกับการรับรู้อากัปกิริยา เช่น อาจเห็นว่าพื้นเอียง (โดยไม่ได้รู้สึกว่าพื้นเอียง)การเห็นวัตถุใหญ่ เล็ก ใกล้ไกลเกินความเป็นจริง (Lilliputian hallucination)จะเกิดน้อยกว่าในโรคจิตเภท และเกิดบ่อยกว่าในโรคสมองต่าง ๆ (เช่นใน ภาวะประสาทหลอนเหตุก้านสมอง คือ peduncular hallucinosis)[18]ประสาทหลอนภายใน (visceral hallucination, cenesthetic hallucination) เป็นความรู้สึกเกี่ยวกับอวัยวะภายในโดยไม่มีสิ่งเร้าจริง ๆ ซึ่งอาจทำให้รู้สึกเหมือนถูกเผาถูกไหม้ หรือว่ามีการจัดเรียงอวัยวะใหม่[18]

อาการหลงผิด

ภาวะโรคจิตอาจมีอาการหลงผิด (delusion)ซึ่งก็คือความรู้สึกมั่นใจในเรื่องผิด ๆ อย่างไม่ลดละแม้จะมีหลักฐานที่แสดงว่าไม่จริง การตัดสินว่าอะไรเป็นความหลงผิดจะขึ้นอยู่กับบริบทและวัฒนธรรม ความเชื่อที่ทำให้ไม่สามารถทำสิ่งที่ควรและจัดว่าเป็นความหลงผิดในประชากรกลุ่มหนึ่งอาจเป็นเรื่องสามัญ (แม้จนกระทั่งเป็นการปรับตัวที่ดี) ในอีกกลุ่มหนึ่ง หรือแม้แต่ในกลุ่มประชากรเดียวกันต่อ ๆ มาแต่เพราะความเชื่อความเห็นปกติอาจไม่ตรงกับหลักฐานความจริงเอง ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องฝ่าฝืนความเชื่อของสังคมเพื่อที่จะจัดว่า เป็นความหลงผิดตัวอย่างรวมทั้งคิดว่ามีคนจะมาฆ่า ทั้งที่จริง ๆ ไม่มี หรือคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้ากลับชาติมาเกิด หรือคิดว่ามนุษย์ต่างดาวได้จับตนไปฝังเครื่องส่งสัญญาณ โดยที่ไม่มีรายละเอียดหรือเหตุผลใดที่น่าเชื่อถือ

คู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (DSM-5) จัดความหลงผิดบางอย่างว่า แปลกประหลาด (bizarre) ถ้าชัดเจนว่าเป็นไปไม่ได้ หรือว่าไม่เข้ากับบริบททางสังคมและวัฒนธรรมแต่แนวคิดเรื่องนี้ก็มีข้อวิพากษ์วิจารณ์หลายอย่าง ที่เด่นสุดก็คือการตัดสินว่าคนไข้มีหรือไม่มีอาการนี้ เชื่อถือได้ไม่มากแม้ในบุคคลที่ได้ฝึกมาแล้ว[18]ความหลงผิดอาจมีตีมหลายอย่างแบบสามัญที่สุดก็คือ ความหลงผิดว่ามีคนตามรังควาน (persecutory delusion) คือเชื่อว่า บุคคลหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งกำลังพยายามทำร้ายตนแบบอื่น ๆ รวมทั้ง

  • การหลงผิดว่าหมายเพื่อตนเอง (delusions of reference) เป็นความเชื่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดเป็นการกระทำที่ตั้งใจโดยเฉพาะ ๆ หรือเป็นการส่งสารจากบุคคลหรือสิ่งที่มีตัวตนอื่น ๆ
  • ภาวะหลงผิดคิดตนเขื่อง (delusions of grandiosity) เป็นความเชื่อว่าตนมีอำนาจหรือมีอิทธิพลพิเศษเกินกว่าที่มีจริง ๆ
  • การกระจายความคิด (thought broadcasting) เป็นความเชื่อว่า ความคิดของตนคนอื่นได้ยินได้
  • การแทรกความคิด (thought insertion) เป็นความเชื่อว่า ความคิดที่มีไม่ใช่ของตน

ตามประวัติ จิตแพทย์ชาวเยอรมันคือ คาร์ล จัสเปอร์ (Karl Jaspers) ได้แบ่งความหลงผิดเหตุโรคจิตออกเป็นปฐมภูมิ (primary) และทุติยภูมิ (secondary)โดยแบบปฐมภูมินิยามว่า เกิดอย่างฉับพลัน อธิบายไม่ได้ว่าเป็นกระบวนการทางจิตที่ปกติ เทียบกับแบบทุติยภูมิที่ปกติจะได้อิทธิพลจากประวัติหรือสถานการณ์ปัจจุบันของบุคคลนั้น ๆ (เช่น ชาติพันธุ์ ศาสนา ความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ และความเชื่อทางการเมือง)[19]

ความสับสนวุ่นวาย (disorganization)

ความสับสนแยกเป็นทางคำพูดหรือทางความคิด และการเคลื่อนไหวที่สับสนคำพูดที่สับสน ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า formal thought disorder[upper-alpha 1] เป็นความสับสนทางความคิดที่รู้ได้โดยคำพูดลักษณะของคำพูดสับสนรวมทั้งการเปลี่ยนประเด็นไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งเรียกว่า derailment หรือ loose associationการเปลี่ยนประเด็นไปในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเรียกว่า tangential thinkingคำพูดที่จับใจความไม่ได้เรียกว่า word salad หรือ incoherence (คำพูดไม่ปะติดปะต่อ)

การเคลื่อนไหวสับสนรวมการเคลื่อนไหวที่ซ้ำ ๆ แปลก ๆ หรือไม่มีจุดมุ่งหมายการเคลื่อนไหวสับสนน้อยครั้งที่จะรวมอาการเคลื่อนไหวน้อยหรือมากเกิน (catatonia) แม้นี่จะเป็นอาการเด่นตามประวัติ แต่ก็ไม่ค่อยเห็นในปัจจุบันแต่เป็นเพราะการรักษาที่เคยใช้หรือการไม่ได้รักษาก็ไม่ชัดเจน[18][17]

อาการเคลื่อนไหวน้อยหรือมากเกิน (catatonia) เป็นภาวะกายใจไม่สงบอย่างรุนแรงที่การรับรู้ความจริงพิการโดยทั่วไปมีพฤติกรรมที่ปรากฏสองอย่างโดยหลักอาการคลาสสิกก็คือไม่เคลื่อนไหว ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมเมื่อตื่นโดยประการทั้งปวงซึ่งมักประกอบกับอาการจัดท่าทางได้เหมือนหุ่นขี้ผึ้ง (waxy flexibility)คือคนอื่นสามารถปรับท่าทางแขนขาของบุคคลนั้นแล้วดำรงอยู่ในท่านั้นแม้จะเป็นท่าที่แปลกหรือไม่ได้ช่วยอะไร เช่น ยกแขนของบุคคลนั้นตั้งขึ้นแล้วก็คงอยู่อย่างนั้น

อีกรูปแบบหนึ่งมีอาการเป็นกายใจไม่สงบอย่างรุนแรงคือคลื่อนไหวมากเกิน ไม่มีจุดมุ่งหมาย โดยประกอบกับคิดอะไรอยู่ทางใจที่ทำให้ไม่สามารถรับรู้ความจริงได้ตัวอย่างเช่น เดินอย่างเร็ว ๆ เป็นวงกลมโดยไม่สนใจอะไรอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการเดิน ซึ่งไม่ปกติสำหรับบุคคลนั้นก่อนจะมีอาการคนไข้ทั้งสองแบบปกติจะไม่ตอบสนองต่ออะไร ๆ นอกเหนือสิ่งที่ตนทำการแยกแยกภาวะเช่นนี้กับคราวฟุ้งพล่าน (mania) ที่เกิดจากโรคอารมณ์สองขั้วเป็นเรื่องสำคัญ แต่บุคคลหนึ่ง ๆ ก็สามารถมีอาการทั้งสองอย่างพร้อม ๆ กัน

อาการนี้ถ้าในช่วงแรกจะสังเกตได้ยาก ต้องเป็นคนใกล้ชิดเท่านั้นที่พอทราบ แต่ช่วงหลังจะเปลี่ยนไปอย่างหนัก เช่น ไม่หลับไม่นอน ไม่กินอาหาร เดินทั้งคืน พูดคนเดียว

อาการเชิงลบ/บกพร่อง (negative symptoms)

อาการเชิงลบ หรืออาการบกพร่อง (negative symptoms) รวมการแสดงออกทางอารมณ์ที่ลดลง ไม่มีแรงจูงใจทำอะไร และพูดเองน้อยลงเป็นการขาดความสนใจและการไม่ทำอะไรเอง และไม่สามารถเกิดความยินดี[20]

แหล่งที่มา

WikiPedia: โรคจิต http://www.clinicalevidence.bmj.com/x/systematic-r... http://documentarystorm.com/psychology/madness-in-... http://www.emedicine.com/med/topic3113.htm# http://www.icd9data.com/getICD9Code.ashx?icd9=290 http://www.icd9data.com/getICD9Code.ashx?icd9=299 http://www.medicalnewstoday.com/articles/190678.ph... http://www.mercksource.com/pp/us/cns/cns_hl_dorlan... http://www.priory.com/psych/hypg.htm http://www.psychiatrictimes.com/forensic-psychiatr... http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S...