การแบ่งแยกโลกตะวันตกในประวัติศาสตร์แต่ละยุคสมัย ของ โลกตะวันตก

การแบ่งจักรวรรดิโรมันหลังจากปีค.ศ. 395 ออกเป็นภาคตะวันตกและตะวันออก การแบ่งในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรปซึ่งทำให้เกิดฝ่ายตะวันตกและตะวันออกนั้นมีต้นกำเนิดจากจักรวรรดิโรมัน[22]

การแบ่งยุโรปในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งทำให้เกิดฝ่าย ตะวันตก และ ตะวันออก มีต้นกำเนิดจากจักรวรรดิโรมัน[22] ในสมัยนั้นด้านตะวันออกของบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนจะเป็นสังคมเมืองซึ่งเป็นที่อยู่ของเหล่าผู้มีวัฒนธรรมสูงและใช้ภาษากรีกเป็นภาษากลาง (โดยเป็นผลมาจากการปกครองของในอดีตของอเล็กซานเดอร์มหาราชและผู้สืบทอดอำนาจในสมัยเฮลเลนิสติก) ในขณะที่ฝั่งตะวันตกจะมีรูปแบบเป็นสังคมชนบทและนิยมใช้ภาษาละตินเป็นภาษากลาง หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกจะเห็นได้ว่าดินแดนยุโรปตะวันตกและยุโรปกลางนั้นถูกตัดออกจากฝั่งตะวันออกโดยสิ้นเชิงโดยที่ จักรวรรดิไบแซนไทน์หรือจักรวรรดิโรมันตะวันออก ซึ่งมีวัฒนธรรมกรีกและนับถือศาสนาคริสต์ตะวันออก กลายเป็นผู้เริ่มเผยแพร่อิทธิพลให้กับชนชาติอาหรับ/ประวัติศาสตร์ของศาสนาอิสลามและชาวสลาฟซึ่งอาศัยทางตะวันออกและใต้ของยุโรป ดังนั้นจะเห็นได้ว่าคริสตจักรโรมันคาทอลิกซึ่งตั้งอยู่บริเวณตะวันตกและกลางของยุโรปยังคงสามารถรักษาเอกลักษณ์ของตัวเองไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ศาสนจักรเริ่มที่กลับมาพัฒนาตัวเองใหม่ในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา และแม้กระทั่งภายหลังจากการปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ชาวโปรเตสแตนต์ในยุโรปก็ยังคงเห็นว่าตัวเองนั้นมีความผูกพันกับคริสตจักรโรมันคาทอลิกโรมันคาทอลิกในยุโรปมากกว่ามากกว่าชนชาติอื่นๆ

คำว่า โลกตะวันตก ได้เริ่มถูกนำไปใช้ในในการบอกวัฒนธรรมและภูมิรัฐศาสตร์ทางการเมืองในช่วงยุคแห่งการสำรวจซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยุโรปได้แพร่กระจายวัฒนธรรมของตนไปยังส่วนอื่นๆของโลก ในอดีตสองศตวรรษที่ผ่านมาคำว่า โลกตะวันตก และ โลกของชาวศาสนาคริสต์ มักจะสามารถถูกใช้แทนกันเนื่องจากจำนวนของผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์มากกว่าจำนวนของผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายอื่นๆ รวมถึงผู้ที่ยังคงนับถือความคิดโรมันแบบโบราณและความเชื่อนอกรีต ในขณะที่ความเชื่อยึดติดกับศาสนาของคนเริ่มเสื่อมคลายลงในยุโรปและที่อื่นๆในช่วงศตวรรษที่ 19 และ 20 คำว่า ตะวันตก จึงมีความหมายในแง่ของศาสนาน้อยลงและเริ่มมีความหมายทางการเมืองมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามเย็น นอกจากนั้นความใกล้ชิดที่มากขึ้นระหว่าง ตะวันตก กับเอเชียและส่วนอื่นๆ ของโลกในเร็วๆนี้ก็มีผลให้ความหมายของคำไม่ชัดเจนเหมือนก่อน

ยุคเฮลเลนิสติก

โลกในสมัยกรีกโบราณ, 550 ปีก่อนคริสตกาล

การแบ่งแยกระหว่างอนารยชนและชาวกรีกในสมัยเฮลเลนิสติกเป็นการเทียบความแตกต่างระหว่างอารยธรรมของชนชาติที่พูดภาษากรีกซึ่งอาศัยอยู่บริเวณเมดิเตอร์เรเนียน และอารยธรรมของชนชาติที่ไม่ได้พูดภาษากรีกซึ่งอาศัยอยู่บริเวณรอบนอก เฮอรอโดทัสมองว่าสงครามเปอร์เซียในช่วงต้นศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล เป็นความขัดแย้งระหว่างยุโรปกับเอเชีย (ซึ่งตามความคิดของเขาคือการต่อสู้ระหว่างชาวยุโรปซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของทะเลมาร์มารากับชาวเอเชียซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของทะเล) คำว่าฝ่าย "ตะวันตก" หรือ "ตะวันออก" มิได้ถูกนักเขียนชาวกรีกในสมัยนั้นนำมาใช้อธิบายความขัดแย้งที่เกิดขึ้น แต่เมื่อคำว่าฝ่าย "ตะวันตก" ได้ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกกลับหมายถึงผู้ที่ต่อต้านชาวกรีกและอารยธรรมของชนชาติที่พูดภาษากรีก

สังคมตะวันตกมักชี้ให้เห็นว่าต้นกำเนิดของอารยธรรมของตัวเองมีพื้นฐานจากแนวคิดของชาวกรีกและศาสนาคริสต์ ดังนั้นสังคมตะวันตกในปัจจุบันจึงเป็นเพียงการวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องของสังคมใน​​กรีกโบราณและเลแวนต์ซึ่งผ่านเข้าสู่จักรวรรดิโรมันและแพร่กระจายไปทั่วยุโรป อาจกล่าวได้ว่าแนวคิดของชาวกรีกซึ่งเกี่ยวกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ และ ศิลปะนั้นยังคงสามารถรักษาเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ได้ในสังคมตะวันตก ดังที่จะเห็นได้จากการที่แนวคิดกรีกยังทรงอิทธิพลต่อสังคมตะวันตกหลังหมดยุคเฮลเลนิสติกและยุคมืด การฟื้นตัวใหม่ของแนวคิดกรีกในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา และการที่แนวคิดนี้ยังคงมีบทบาทอย่างกว้างขวางในสังคมตะวันตกยุคปัจจุบัน

โลกตะวันตกยุคใหม่ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในฐานะอารยธรรมใหม่ยังคงได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการตีความแนวคิดกรีก ซึ่งได้รับการเก็บรักษาโดยจักรวรรดิโรมันและโลกของชาวอิสลามในช่วงยุคมืดและได้รับการสืบทอดต่อมาโดยการอพยพของนักวิชาการกรีก การแต่งงานและการแปลภาษาละติน

จักรวรรดิโรมัน

จักรวรรดิโรมันภายใต้การปกครองของจักรพรรดิทราจันในปีค.ศ. 117

โรมโบราณ (510 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 476) เป็นอารยธรรมที่พัฒนามาจากนครรัฐบนคาบสมุทรอิตาลีซึ่งถือกำเนิดขึ้นในศตวรรษที่ 9 ก่อนคริสตกาล และภายหลังกลายเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่กินเนื้อที่รอบๆทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด ในช่วงเวลา 12 ศตวรรษของอารยธรรมโรมันได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากราชาธิปไตยเป็นสาธารณรัฐโรมันและในที่สุดระบอบเผด็จการในรูปแบบจักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิโรมันได้เข้ามามีอิทธิพลทางภาคตะวันตก กลางและตะวันออกเฉียงใต้ของยุโรปรวมไปถึงบริเวณโดยรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมดโดยการใช้กำลังจากกองทหารโรมันและการผสานกลืนทางวัฒนธรรมด้วยการให้สิทธิพิเศษแก่ชาวโรมันและในที่สุดการให้สัญชาติพลเมืองโรมันกับอาณาจักรที่ยอมสวามิภักดิ์

การขยายตัวของอาณาจักรโรมันเริ่มมีมานานก่อนที่จะเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นจักรวรรดิและถึงจุดสูงสุดในสมัยของจักรพรรดิทราจันด้วยการยึดครองดาเซียในปีค.ศ. 106 ในช่วงสูงสุดของอารยธรรมจักรวรรดิโรมันครอบครองเขตพื้นที่บนบกประมาณ 5,900,000 ตารางกิโลเมตร (2,300,000 ตารางไมล์) และมีประชากรถึง 100 ล้านคน จากสมัยของจูเลียส ซีซาร์จนถึงการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกจักรวรรดิโรมันครอบครอบดินแดนส่วนตะวันตกของยูเรเซียเกือบทั้งหมด (เช่นเดียวกับชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนเหนือของแอฟริกา) รวมไปถึงประชากรส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ภายในและทำการค้ากับประชากรที่อาศัยอยู่รอบนอกผ่านเส้นทางสายอำพัน กรุงโรมโบราณมีส่วนสำคัญอย่างมากในการพัฒนากฎหมาย สงคราม ศิลปะ วรรณกรรม สถาปัตยกรรม เทคโนโลยีและภาษาของโลกตะวันตก และประวัติศาสตร์โรมยังคงมีอิทธิพลสำคัญกับโลกยุคปัจจุบัน

จักรวรรดิโรมันเป็นที่ที่แนวคิด "ตะวันตก" กำเนิดขึ้นมา เนื่องจากทำเลที่ตั้งของกรุงโรมนั้นถือเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันคำว่า "ตะวันตก" และ "ตะวันออก" จึงถูกใช้เพื่อกล่าวถึงหัวเมืองทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออกของกรุงโรม ดังนั้นไอบีเรีย (โปรตุเกสและสเปน), กอล (ฝรั่งเศส), ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของทวีปแอฟริกา (ตูนิเซีย แอลจีเรียและโมร็อกโก) และอังกฤษจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของ "ตะวันตก" ในขณะที่กรีซ ไซปรัส อนาโตเลีย เลบานอน ซีเรีย อิสราเอล ปาเลสไตน์ อียิปต์และลิเบียเป็นส่วนหนึ่งของ "ตะวันออก" ส่วนอิตาลีได้รับการพิจารณาว่าเป็นส่วนกลางจนถึงสมัยการปฏิรูปโดยจักรพรรดิไดโอคลีเชียน ซึ่งมีความคิดที่จะแบ่งจักรวรรดิแบ่งออกสองส่วนอย่างเป็นทางการคือ ตะวันออกและตะวันตก

ในค.ศ. 395 จักรวรรดิโรมันได้แยกเป็นจักรวรรดิโรมันตะวันตกและตะวันออกอย่างเป็นทางการโดยแต่ละฝ่ายมีจักรพรรดิ เมืองหลวงและรัฐบาลของตัวเองแม้ว่าทั้งสองฝ่ายยังคงถือเป็นหนึ่งอาณาจักร การสลายตัวของจักรวรรดิโรมันตะวันตก (ซึ่งเกิดในปีค.ศ. 476 และจบลงในปีค.ศ. 500) ทำให้เหลือเพียงจักรวรรดิโรมันตะวันออก อย่างไรก็ดีการยึดครองจักรวรรดิโรมันตะวันตกที่ล่มสลายโดยกลุ่มชนเจอร์แมนิก และการปกครองในระบบพระสันตะปาปาโดยคริสตจักรโรมันคาทอลิก (ซึ่งเป็นการรวมอำนาจทางการเมืองและทางจิตวิญญาณที่ไม่สามารถพบได้ในอารยธรรมของกรีก) ในเวลาต่อมาส่งผลให้การใช้ภาษาละตินร่วมกับการมีแนวคิดแบบกรีกมีอันต้องให้แยกออกจากกัน[23] การแบ่งแยกครั้งใหญ่ซึ่งถือเป็นจุดแตกแยกระหว่างคริสต์จักรโรมันคาทอลิกและชาวคริสต์นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์และสงครามครูเสดครั้งที่ 4 ถือเป็นการยืนยันข้อสมมติฐานนี้

ยุคล่าอาณานิคมของฝั่ง "ตะวันตก"

การปฏิวัติอุตสาหกรรมซึ่งเริ่มขึ้นในบริเตนใหญ่ในช่วงกลางทศวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกเปลี่ยนไปตลอดกาล

การปฏิรูปและการล่มสลายของคริสตจักรตะวันตกในฐานะรูปแบบทางการเมืองอย่างหนึ่งก่อให้เกิดสงครามสามสิบปี สงครามนี้สิ้นสุดลงด้วยการทำสนธิสัญญาสันติภาพเวสต์ฟาเลีย ซึ่งเป็นการบัญญัติแนวคิดของรัฐชาติและหลักการอธิปไตยของประเทศไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศ

แนวคิดของโลกที่เต็มไปด้วยรัฐชาติควบคู่กับอุดมการณ์ของยุคเรืองปัญญา การมาถึงของยุคแห่งความทันสมัย​​ การป​​ฏิวัติทางวิทยาศาสตร์[24] และการปฏิวัติอุตสาหกรรม[25]ได้สร้างสถาบันทางการเมืองและเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพและทรงอิทธิพลต่อนานาประเทศในโลกปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์ยอมรับว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์[26]

การขยายแนวคิดและอุดมการณ์นี้มีจุดเริ่มต้นจากการเดินทางเพื่อ การค้นพบ การล่าอาณานิคม การยึดครอง และการหาประโยชน์ของประเทศโปรตุเกสและสเปน ซึ่งได้รับการสานต่อโดยความก้าวหน้าของบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์รวมถึงการสร้างและขยายอาณานิคมของจักรวรรดิบริติชและจักรวรรดิฝรั่งเศส เนื่องจากการขยายตัวของจักรวรรดิเหล่านี้ขนบธรรมเนียมต่างๆของชาติตะวันตกจึงแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมของโลกและยังคงหลงเหลืออยู่ในหลายๆประเทศแม้ประเทศเหล่านั้นจะได้ประกาศอิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกแล้วก็ตาม หนึ่งในตัวอย่างของธรรมเนียมที่ยังคงหลงเหลืออยู่คือความต้องการของสังคมหลังยุคล่าอาณานิคมที่จะสร้างรูปแบบของรัฐชาติ (ตามประเพณีตะวันตก) ด้วยการปักหลักและสร้างเส้นแบ่งเขตประเทศโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความเหมือนหรือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคน เชื้อชาติและวัฒนธรรม และสิ่งนี้คงยังเป็นสาเหตุของความขัดแย้งระหว่างประเทศในปัจจุบัน แม้ว่ายุคสมัยของการล่าอาณานิคมจะได้ผ่านพ้นไปแล้วประเทศตะวันตกซึ่งมีความมั่งคั่งในเรื่องของเงิน อาวุธและวัฒนธรรมยังคงสามารถรักษาความมีอิทธิพลต่อโลกใบนี้ได้อยู่

สงครามเย็น

โลก ตะวันตก และ ตะวันออก ในค.ศ. 1980 ซึ่งถูกนิยามโดยสงครามเย็น สงครามเย็นได้แบ่งยุโรปออกเป็นส่วนตะวันตกและตะวันออกโดยมีม่านเหล็กกั้นกลาง

คำว่าโลกตะวันตกมีความหมายเปลี่ยนไปในช่วงสงครามเย็น ในสมัยดังกล่าวโลกได้ถูกแบ่งออกเป็นสามใบ โลกที่หนึ่งซึ่งถูกเรียกว่าโลกตะวันตกในสมัยนั้นประกอบไปด้วยประเทศสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโตและประเทศอื่นๆที่เป็นพัทธมิตรของสหรัฐอเมริกา โลกที่สองคือสหภาพโซเวียต (ประกอบไปด้วย 15 สาธารณรัฐ ปัจจุบันเอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนียขอแยกออกมาแล้ว) ประเทศในกลุ่มตะวันออกอื่นๆ (ซึ่งอยู่ในเขตอิทธิพลของสหภาพโซเวียต) และประเทศที่ร่วมทำสนธิสัญญาวอร์ซอเช่นโปแลนด์ บัลแกเรีย ฮังการี โรมาเนีย เยอรมนีตะวันออก (ซึ่งขณะนี้รวมกับเยอรมนีตะวันตก) สโลวาเกีย (ตอนนี้แยกออกเป็นสาธารณรัฐเช็กและสโลวาเกีย)

โลกที่สามประกอบด้วยประเทศต่างๆซึ่งไม่เข้ากับฝ่ายใดๆ สมาชิกที่สำคัญของโลกที่สามประกอบไปด้วยอินเดีย ยูโกสลาเวีย ฟินแลนด์และสวิตเซอร์แลนด์ การจัดสาธารณรัฐประชาชนจีนให้เข้ากับกลุ่มประเทศโลกที่สามได้รับการโต้แย้งในบางโอกาสเนื่องจากสาธารณรัฐประชาชนจีนมีระบอบปกครองแบบคอมมิวนิสต์และมีความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรกับประเทศในกลุ่มสหภาพโซเวียตอีกทั้งยังมีความสำคัญในการเมืองระดับโลก

ฟินแลนด์อยู่ภายใต้เขตอิทธิพลทางการทหารของสหภาพโซเวียตแต่ยังคงรักษาไว้ซึ่งความเป็นกลาง ฟินแลนด์ไม่ได้มีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ไม่ได้เป็นสมาชิกของประเทศที่ร่วมทำสนธิสัญญาวอร์ซอหรือสภาขอความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจร่วมกัน แต่เป็นสมาชิกของสมาคมการค้าเสรียุโรปหรือเอฟตาและอยู่ทางตะวันตกของม่านเหล็ก ออสเตรียได้รับเอกราชในฐานะสาธารณรัฐในปีค.ศ. 1955 ภายใต้เงื่อนไขไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ออสเตรียอยู่ทางตะวันตกของม่านเหล็กและอยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของสหรัฐ สเปนไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มนาโตจนกระทั่งปีค.ศ. 1982 ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของสงครามเย็นและเกิดขึ้นภายหลังการตายของจอมพลฟรันซิสโก ฟรังโกถึง 7 ปี

แหล่งที่มา

WikiPedia: โลกตะวันตก http://www.es.flinders.edu.au/~mattom/science+soci... http://industrialrevolution.sea.ca/innovations.htm... http://www.amnation.com/vfr/archives/005372.html http://www.britannica.com/EBchecked/topic/195896/h... http://www.foreignpolicy.com/articles/2014/03/04/w... http://www.infoplease.com/ce6/bus/A0813037.html http://nbn-resolving.de/urn:nbn:de:0159-2011112107 http://www.fordham.edu/halsall/mod/lect/mod07.html http://mars.wnec.edu/~grempel/courses/wc2/lectures... http://www.aei.org/publications/pubID.11413/pub_de...