การอพยพออกจากเมือง ของ การยึดกรุงไซ่ง่อน

การรุกคืบอย่างรวดเร็วของเวียดนามเหนือในเดือนมีนาคมและต้นเมษายนทำให้เกิดความวิตกในไซง่อน ซึ่งเป็นเมืองที่เงียบสงบมาตลอดสงคราม และไม่ค่อยความลำบากใดๆ กับชาวเมือง กลับกลายเป็นเมืองที่กำลังจะถูกโจมตีโดยตรง[10] คนจำนวนมากกลัวว่าเมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ยึดครองเมืองแล้ว จะเกิดการล้างแค้นด้วยเลือด เมื่อปี พ.ศ. 2511 กองกำลังผสมระหว่างกองทัพเวียดนามเหนือ และแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติ (เวียดกง) สามารถยึดครองเมืองเว้มาได้เกือบเดือน หลังจากที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ถูกตีโต้ออกไปจากเมือง กองกำลังอเมริกันและเวียดนามใต้ก็พบสุสานขนาดใหญ่ การศึกษาเพื่อเตรียมภารกิจของสหรัฐฯ ในเวียดนามระบุว่า ฝ่ายคอมมิวนิสต์พุ่งเป้าไปที่นายทหารเวียดนามใต้, ชาวแคทอลิก, ปัญญาชน, นักธุรกิจและผู้ที่ต้องสงสัยเป็นนักต่อต้านการปฏิวัติคนอื่นๆ[11] และก่อนการบุกไม่นาน ก็มีชาวอเมริกาแปดนายถูกจับตัวไปในเมืองบานเมอถวก พวกเขาหายตัวไปและมีข่าวมาถึงเมืองเว้และดานังว่าพวกเขาถูกตัดศีรษะหรือถูกประหารด้วยวิธีการอื่นๆ แต่รายงานดังกล่าวส่วนใหญ่ถูกปฏิเสธโดยโฆษณาสงครามของรัฐบาลเวียดนามใต้[12] ชาวอเมริกันและชาวตะวันตกเป็นจำนวนมากต้องการอพยพออกจากไซ่ง่อน ก่อนที่กรุงจะแตก ในขณะที่ชาวเวียดนามใต้ส่วนใหญ่ก็ต้องหนีออกจากเมืองเช่นกัน

เมื่อถึงตอนปลายเดือนมีนาคม ก็เริ่มมีชาวอเมริกันบางส่วนหนีออกจากเมืองบ้างแล้ว อย่างในวันที่ 31 มีนาคม[13] ก็มีกว่าสิบครอบครัวที่ออกจากเมือง เที่ยวบินออกจากไซ่ง่อน ซึ่งปกติมักจะไม่มีคนจองนั้นเต็มหมด[14] ตลอดเดือนเมษายน การอพยพเป็นไปอย่างเร่งรีบยิ่งขึ้น เมื่อสำนักงานประสานงานกลาโหม (DAO) เริ่มที่จะส่งบุคลากรที่ไม่สำคัญออกไปทางเครื่องบิน ชาวอเมริกันเป็นจำนวนมากที่เป็นผู้ประสานงานให้กับ DAO ปฏิเสธที่จะออกจากเมือง ถ้าไม่ได้นำเพื่อนและบริวารชาวเวียดนาม ซึ่งรวมไปถึงภรรยาตามกฎหมายและลูก การจะนำบุคคลเหล่านี้เข้าไปในสหรัฐอเมริกานั้นถือว่าผิดกฎหมาย ทำให้ DAO ไม่สามารถยินยอมตามข้อเรียกร้อง และทำให้อัตราการออกเมืองช้าลงไปเล็กน้อยในช่วงแรก แต่ท้ายที่สุดแล้วเมื่อ DAO ก็เริ่มส่งชาวเวียดนามที่ไม่มีเอกสารเข้าเมืองไปยังฐานทัพอากาศคลาร์คในฟิลิปปินส์อย่างผิดกฎหมาย[15]

ในวันที่ 3 เมษายน ประธานาธิบดีเจอรัลด์ อาร์. ฟอร์ดแห่งสหรัฐอเมริกา ก็ประกาศให้เริ่มปฏิบัติการเบบีลิฟท์ ซึ่งเป็นการอพยพเด็กกำพร้าประมาณ 2,000 คนออกมาจากประเทศ แต่เครื่องบิน C-5A กาแลคซี ลำหนึ่งที่เข้าร่วมปฏิบัติการเกิดตก ทำให้ผู้โดยสาย 138 คนเสียชีวิต และบั่นทอนกำลังใจของเจ้าหน้าที่อเมริกันอย่างมาก[16] นอกจากเด็กกำพร้า 2,000 คนที่ถูกอพยพในปฏิบัติการเบบีลิฟท์แล้ว ปฏิบัติการนิวไลฟ์ยังทำการอพยพชาวเวียดนามอีกกว่า 110,000 คน

แผนของรัฐบาลอเมริกันสำหรับการอพยพครั้งสุดท้าย

เมื่อรัฐบาลของ ปธน. ฟอร์ดเริ่มวางแผนที่จะอพยพบุคลากรอเมริกันทั้งหมดออกจากเวียดนาม ก็ต้องประสบกับความยุ่งยากในด้านการนำแผนไปปฏิบัติงาน อีกทั้งยังมีความกังวลเกี่ยวปัญหาทางยุทธศาสตร์และทางกฎหมาย คนในรัฐบาลเห็นไม่ตรงกันว่าควรจะดำเนินการอพยพเร็วแค่ไหน กระทรวงกลาโหมต้องการให้อพยพคนออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุอื่นๆ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำเวียดนามใต้ แกรห์ม มาร์ติน ซึ่งในทางเทคนิคแล้วจะต้องเป็นผู้ควบคุมการอพยพใดๆ ในภาคสนาม เนื่องจากการอพยพนั้นตกอยู่ในขอบเขตอำนาจของกระทรวงการต่างประเทศ มาร์ตินได้รับเสียงตำหนิจำนวนมากจากคนในกระทรวงกลาโหมเนื่องจากเขาต้องการให้การอพยพเป็นไปอย่างสงบและเป็นระเบียบมากที่สุด เพื่อป้องการไม่ให้เกิดความโกลาหล และลดความเป็นไปได้ของการที่ชาวเวียดนามใต้จะหันมาต่อต้านชาวอเมริกัน และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการนองเลือดอย่างไม่ยั้งมือ

ปธน. ฟอร์ดอนุมัติแผนที่เป็นทางสายกลาง โดยชาวอเมริกันทั้งหมด ลบ 1,250 คน (จำนวนที่ถูกลบคือจำนวนคนที่น้อยพอที่จะอพยพทางเฮลิคอปเตอร์ได้ภายในวันเดียว) จะถูกอพยพอย่างเร่งด่วน ส่วนอีก 1,250 คนทีเหลือจะอพยพก็ต่อเมื่อสนามบินถูกคุมคาม ระหว่างนั้น จะทำการอพยพชาวเวียดนามให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้[17]

ในขณะเดียวกัน มาร์ตินเริ่มทยอยปล่อยวีซ่าออกนอกประเทศมาเพื่ออนุญาตให้ทุกคนที่ต้องการจะออกจากกรุงไซ่ง่อน สามารถทำได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ นอกจากนี้ มาร์ตินกับรองเอกอัครราชทูต วูลฟ์แกง เลห์แมน ยังเริ่มปล่อยให้ชาวเวียดนามใต้ออกนอกประเทศโดยไม่แจ้งกระทรวงกลาโหม

แผนการอพยพของอเมริกามีขึ้นทั้งที่ขัดแย้งกับนโยบายอื่นๆ ของรัฐบาล ปธน. ฟอร์ดยังหวังที่จะขอความช่วยเหลือทางทหารเพิ่มเติมให้กับเวียดนามใต้ได้ ตลอดทั้งเดือนเมษายน เขาพยายามที่จะขอให้รัฐสภาคองเกรสอนุมัติการจัดสรรงบประมาณ 722 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะนำไปใช้ในการฟื้นฟูกองกำลังเวียดนามใต้บางส่วนที่ถูกทำลายไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เฮนรี คิสซินเจอร์คัดค้านการอพยพเต็มรูปแบบตราบใดที่ตัวเลือกที่จะส่งความช่วยเหลือยังอยู่บนโต๊ะเจรจา เนื่องจากการถอนกำลังอเมริกันออกจะส่งสัญญาณออกไปว่า ปธน. เตี่ยวเสียความไว้วางใจของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้อำนาจทางการเมืองของเขาอ่อนแอลงอย่างยิ่ง[18]

นอกจากนี้ ยังเกิดความกังวลภายในรัฐบาลว่าการใช้กำลังทหารเพื่อสนับสนุนการอพยพนั้นถูกกฎหมายหรือไม่ ภายใต้ข้อมติอำนาจยามสงครามที่เพิ่งผ่านเป็นกฎหมายออกมา ในที่สุด นักกฎหมายของรัฐบาลก็ตีความข้อกฎหมายออกมาได้ว่า การใช้กำลังทหารอเมริกันในการช่วยเหลือพลเรือนในยามฉุกเฉินนั้นไม่น่าจะฝ่าฝืนข้อกฎหมาย แต่ประเด็นว่าด้วยการใช้ทรัพยากรทางทหารเพื่ออพยพผู้ลี้ภัยนั้นไม่ทราบแน่ชัดว่าผิดกฎหมายหรือไม่[19] การอพยพออกจากกรุงไซ่ง่อนยังต้องแย่งทรัพยากรกับการอพยพที่กำลังเกิดขึ้นที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ซึ่งถูกยึดครองในวันที่ 17 เมษายน

ผู้อพยพ

ในขณะที่พลเมืองอเมริกันได้รับการรับรองว่าจะออกจากประเทศได้อย่างง่ายดาย แค่เพียงรายงานตัวที่ศูนย์อพยพ ชาวเวียดนามใต้ที่ต้องการออกจากไซ่ง่อนก่อนที่เมืองจะถูกยึด จำเป็นต้องไปหาทางกันเอาเอง การใช้เงินใต้โต๊ะเพื่อขอหนังสือเดินทางและวีซ่าออกนอกประเทศเพิ่มขึ้นถึงหกเท่าตัว และราคาของค่าขึ้นเรือออกทะเลเพิ่มขึ้นสามเท่า[20] ผู้ที่เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในเมืองถูกบังคับให้ขายสินทรัพย์ในราคาที่ขาดทุนจากเดิมมา หรือไม่ก็ต้องทิ้งที่ดินไปเลย ราคาสอบถามของบ้านสวยหลังหนึ่งถูกหั่นลงไปร้อยละ 75 ภายในระยะเวลาสองสัปดาห์[21] วีซ่าอเมริกันมีมูลค่ามหาศาล และคนเวียดนามที่ต้องการได้ผู้อนุเคราะห์ชาวอเมริกันต่างก็ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ นี่คือข้อความตัวอย่างจากโฆษณาเหล่านี้อันหนึ่ง "หาพ่อแม่บุญธรรม เด็กนักเรียนยากไร้ใจขยัน" ตามด้วยชื่อ, วันเกิดและเลขบัตรประจำตัวประชาชน[22]

ใกล้เคียง

การยึดกรุงไซ่ง่อน การยึดครองญี่ปุ่น การยึดครองเซอร์เบียของออสเตรีย-ฮังการี การยึดครองเยอรมนีของสยาม การยึดครองกลุ่มรัฐบอลติก การยึดกรุงคาบูล (พ.ศ. 2564) การยึดครองโรมาเนียของโซเวียต การยึดครองพม่าของญี่ปุ่น การยึดครองกัมพูชาของญี่ปุ่น การยึดครองเมืองซารันจ์