ช่วงสุดท้าย ของ การยึดกรุงไซ่ง่อน

เวลาสำหรับทุกเหตุการณ์ตามเวลาไซ่ง่อน

ในวันที่ 27 เมษายน ไซง่อนถูกโจมตีจากจรวดของกองทัพเวียดนามเหนือ 3 ลูก เป็นจรวดชุดแรกในระยะกว่า 40 เดือน[9]

ปฏิบัติการฟรีเควียนท์วินด์

ผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามใต้เดินทางมาถึงเรือรบของสหรัฐฯ ระหว่างปฏิบัติการฟรีเควียนท์วินด์

ก่อนรุ่งสางของวันที่ 29 เมษายน ท่าอากาศยานเตินเซินเญิ้ตถูกโจมตีจากจรวดและกระสุดปืนใหญ่หนัก ในการระดมยิงชุดแรก เครื่องบิน C-130R แห่งกองบินขนส่งทางอากาศเชิงกลยุทธที่ 314 ที่ถูกควบคุมโดยเจ้าหน้าที่จากกองบินขนส่งทางอากาศเชิงกลยุทธที่ 374 ที่บินมาจากฐานทัพอากาศคลาร์คในฟิลิปปินส์ถูกจรวดทำลายในขณะที่กำลังเคลื่อนที่ไปบนลานบินเพื่อรับผู้อพยพ นักบินและเจ้าหน้าที่สามารถอพยพออกมาจากเครื่องบินที่กำลังลุกไหม้ได้ทันเวลา และขึ้นเครื่องบิน C-130 อีกลำหนึ่งที่ลงจอดก่อนหน้านี้ออกจากสนามบิน การระดมยิงจรวดอย่างต่อเนื่องและเศษซากบนลานบินทำให้พลเอกโฮเมอร์ ดี. สมิธ ผู้ประสานงานกลาโหมในไซ่ง่อน แนะนำให้ท่านทูตมาร์ตินทราบว่าลานบินไม่เหมาะกับการใช้ และให้ดำเนินการอพยพฉุกเฉินทางเฮลิคอปเตอร์แทน[29]

ก่อนหน้านี้ ท่านทูตมาร์ตินตั้งใจเต็มที่ ที่จะใช้เครื่องบินปีกตรึงในการอพยพออกจากฐานทัพ แผนนี้ต้องเปลี่ยนอย่างกะทันหันระหว่างช่วงเวลาวิกฤต เมื่อนักบินเวียดนามใต้คนหนึ่งตัดสินใจที่จะเปลี่ยนฝ่าย และทิ้งระเบิดลงมาบนทางขึ้นเครื่องบินที่ยังไม่ถูกทำลายจากการระดมยิง

ภายใต้แรงกดดันจากคิสซิงเจอร์ มาร์ตินสั่งบังคับให้นาวิกโยธินที่คุ้มกันเขาอยู่พาเขาไปยังฐานทัพอากาศระหว่างที่มีการระดมยิงอยู่ เพื่อที่เขาสืบให้แน่ใจด้วยตนเอง หลังจากที่เห็นแล้วว่าการอพยพโดยใช้เครื่องบินปีกตรึงไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม (เป็นสิ่งที่มาร์ตินไม่อยากตัดสินใจ โดยที่ไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงเสียก่อน ในกรณีที่การอพยพโดยเฮลิคอปเตอร์ล้มเหลว) มาร์ตินจึงอนุญาตให้การอพยพโดยเฮลิคอปเตอร์เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง

มีรายงานเข้ามาจากรอบนอกเมืองว่าฝ่ายเวียดนามกำลังเคลื่อนทัพเข้ามา[30] ในเวลา 10.48 น. มาร์ตินชี้แจงกับคิสซิงเจอร์ว่าเขาต้องการให้เริ่มดำเนินตามแผนอพยพฟรีเควียนท์วินด์ อีก 3 นาที คิสซิงเจอร์จึงออกคำสั่ง สถานีวิทยุอเมริกันเริ่มเล่นเพลงไวท์คริสต์มาส ของเออร์วิง เบอร์ลินต่อเนื่องกัน เพื่อเป็นสัญญาณให้บุคลากรอเมริกันเดินทางไปยังจุดอพยพในทันที[31]

นาวิกโยธินนายหนึ่งกำลังรักษาความปลอดภัย ในขณะที่เฮลิคอปเตอร์ลงจอดที่สำนักงานประสานงานกลาโหม (DAO)

ในแผนนี้ เฮลิคอปเตอร์รุ่น CH-53 และ CH-46 จะถูกใช้ในการอพยพคนอเมริกันและคนเวียดนามที่เป็นมิตรไปยังเรือ ซึ่งรวมไปถึงเรือในกองเรือรบที่ 7 ที่อยู่ในทะเลจีนใต้[32] ศูนย์อพยพหลักอยู่ที่สำนักงาน DAO ที่เตินเซินเญิ้ต รถโดยสารวิ่งตัดเมืองเพื่อรับผู้โดยสารและพาผู้โดยสารไปยังสนามบิน รถโดยสารชุดแรกมาถึงเตินเซินเญิ้ตก่อนเที่ยงตรงไม่นานนัก เฮลิคอปเตอร์ CH-53 ลำแรกลงจอดที่สำนักงาน DAO ในตอนบ่าย และเมื่อถึงตอนเย็น ชาวอเมริกัน 395 คน และชาวเวียดนามกว่า 4,000 คนได้รับการอพยพเมื่อถึงเวลา 23.00 น. นาวิกโยธินสหรัฐฯ ที่ให้การคุ้มกัน เริ่มถอนกำลังออกและจัดการเตรียมระเบิดทะลายสำนักงาน DAO รวมไปถึงอุปกรณ์, เอกสาร, และเงินของฝ่ายอเมริกัน เฮลิคอปเตอร์ UH-1 ของสายการบินแอร์อเมริกายังมีส่วนร่วมในการอพยพอีกด้วย.[33]

แผนการอพยพดั้งเดิมนั้นไม่ได้รวมการอพยพขนานใหญ่ที่สถานเอกอัคราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำกรุงไซ่ง่อน แต่มอบหมายให้เฮลิคอปเตอร์และรถโดยสารขนย้ายคนจากสถานทูตไปยังสำนักงาน DAO อย่างไรก็ตาม ระหว่างการอพยพ มีคนติดอยู่สถานทูตอยู่หลายพันคน ซึ่งมีรวมไปถึงชาวเวียดนามเป็นจำนวนมาก และยังมีพลเรือนชาวเวียดนามที่อยู่ข้างนอกสถานทูตพยายามปีนกำแพงเข้ามา โดยหวังที่จะได้สถานะผู้ลี้ภัย พายุฝนที่กระหน่ำลงทำให้ปฏิบัติการโดยใช้เฮลิคอปเตอร์ยุ่งยากขึ้นไปอีก แต่การอพยพคนจากสถานทูตก็ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเย็นและกลางคืน

ในเวลา 3.45 น. ของวันที่ 30 เมษายน การอพยพผู้ลี้ภัยหยุดชะงักลง ก่อนหน้านี้ท่านทูตมาร์ตินยังคงสั่งให้ชาวเวียดนามใต้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปกับคนอเมริกัน แต่คิสซิงเจอร์และฟอร์ดสั่งให้มาร์ตินอพยพเฉพาะคนอเมริกันเท่านั้นจากจุดนี้ไป

มาร์ตินประกาศอย่างไม่เต็มใจว่าให้อพยพเฉพาะคนอเมริกันตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เนื่องจากกังวลว่าฝ่ายเวียดนามเหนือจะยึดเมืองได้เสียก่อน และเนื่องจากรัฐบาล ปธน. ฟอร์ดต้องการให้ดำเนินการอพยพชาวอเมริกันให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว[34] ฟอร์ดยังสั่งให้มาร์ตินขึ้นเฮลิคอปเตอร์อพยพด้วย

แบบจำลองสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงไซ่ง่อน บันไดขึ้นดาดฟ้าที่เห็นในแบบจำลอง ตัวจริงถูกจัดแสดงถาวรอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ประธานาธิบดีเจรัลด์ อาร์ ฟอร์ด ในแกรนด์แรพิดส์, มิชิแกน

รหัสเรียกเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นคือ "เลดี้เอซ 09" โดยเจรี เบอร์รี นักบินเฮลิคอปเตอร์ได้รับคำสั่งโดยตรงจากประธานาธิบดีฟอร์ด ให้พาเอกอัครราชทูตมาร์ตินขึ้นมาบนเครื่องให้ได้ โดโรธี ภรรยาของท่านทูตมาร์ตินถูกอพยพไปก่อนหน้านี้แล้ว และทิ้งกระเป๋าเอกสารส่วนตัวของเธอเพื่อให้ผู้หญิงชาวเวียดนามใต้เบียดขึ้นมาบนเครื่องได้

เลดี้เอซ 09 จากกองบินโรเตอร์เอียงขนาดกลางแห่งนาวิกโยธินที่ 165 ที่มีเบอร์รีเป็นนักบิน ออกบินเวลาประมาณ 5.00 น. ถ้ามาร์ตินปฏิเสธที่จะขึ้นเครื่อง ทหารนาวิกโยธินได้รับคำสั่งพิเศษให้จับกุมเขาและพาเขาออกไปเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะปลอดภัย[35] การอพยพสถานทูตสามารถอพยพชาวอเมริกัน 978 คน และชาวเวียดนามอีก 1,100 คน นาวิกโยธินที่คุ้มกันสถานทูตตามออกมาเมื่อรุ่งสาง โดยเฮลิคอปเตอร์ลำสุดท้ายออกมาตอน 7.53 น. มีคนเวียดนาม 420 คนถูกทิ้งไว้ในสถานทูต[36] และยังมีฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่นอกกำแพงอีก

ชาวอเมริกันและผู้ลี้ภัยที่ถูกพาออกไป สามารถอพยพออกไปได้โดยไม่ถูกแทรกแซงจากทั้งเวียดนามเหนือและใต้ นักบินเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเตินเซินเญิ้ตทราบดีว่าปืนต่อสู้อากาศยานของกองทัพเวียดนามเหนือกำลังจับเป้าอยู่แต่ไม่ยิง เนื่องจากฝ่ายบริหารจากฮานอยรู้ว่าความสำเร็จของการอพยพจะช่วยลดความเสี่ยงที่ฝ่ายอเมริกันจะกลับมาแทรกแซง และได้ให้คำสั่งกับจุ๋งอย่างชัดเจนว่าไม่ให้โจมตีการอพยพทางอากาศ[37] ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจในไซ่ง่อนได้รับการสัญญาว่าจะถูกอพยพออกเพื่อแลกเปลี่ยนกับการคุ้มกันรถโดยสารที่ขนผู้อพยพของอเมริกา และควบคุมฝูงชนภายในเมืองระหว่างการอพยพ[38]

แม้ว่านี่จะเป็นจุดสิ้นสุดของปฏิบัติการอพยพของอเมริกา ชาวเวียดนามยังคงพยายามออกนอกประเทศทางเรือและทางอากาศถ้าเป็นไปได้ นักบินชาวเวียดนามใต้ที่สามารถเข้าถึงเฮลิคอปเตอร์ได้บินออกนอกชายฝั่งไปยังกองเรือรบอเมริกัน ที่ๆ เขาสามารถลงจอดได้ คนที่หนีออกจากเวียดนามใต้ยังด้วยวิธีนี้รวมไปถึงพลเอกเหวน เกา เก่ เฮลิคอปเตอร์ของเวียดนามใต้ส่วนใหญ่ที่ลงจอดบนเรืออเมริกันถูกทิ้งลงทะเลเพื่อเปิดทางบนดาดฟ้าเรือให้กับเฮลิคอปเตอร์ลำอื่น[38] นอกจากนี้ยังมีเครื่องบินขับไล่และเครื่องบินขนาดเล็กอื่นๆ ที่ลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบินอเมริกันอีกด้วย[39]

ท่านทูตมาร์ตินบินออกจากสถานทูตไปยังเรือ ยูเอสเอส บลูริดจ์ ที่ซึ่งเขาขอร้องให้เฮลิคอปเตอร์กลับไปยังสถานทูตเพื่อรับผู้ที่ยังหวังจะลี้ภัยอีกสองสามร้อยคน แต่คำร้องของเขาถูกประธานาธิบดีฟอร์ดปฏิเสธ ถึงกระนั้น มาร์ตินยังสามารถโน้มน้าวให้กองเรือรบที่เจ็ดอยู่กับที่อีกหลายวันเพื่อรอคนเวียดนามที่อาจหนีมาได้ทางเรือหรือเครื่องบิน เพื่อให้ทหารอเมริกันที่รออยู่ช่วยเหลือ

ชาวเวียดนามเป็นจำนวนมากที่อพยพออกมาได้รับอนุญาตให้เข้ามาอาศัยในสหรัฐอเมริกาภายใต้รัฐบัญญัติช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและการอพยพจากอินโดจีน

หลายทศวรรษต่อมา เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังมาสานความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนามอีกครั้ง สถานทูตประจำกรุงไซ่ง่อนก็ถูกส่งคืนให้กับสหรัฐฯ ขั้นบันไดที่นำไปสู่เฮลิคอปเตอร์บนดาดฟ้าถือเป็นวัตถุที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และถูกนำไปจัดแสดงอย่างถาวรที่พิพิธภัณฑ์ประธานาธิบดีเจอรัลด์ อาร์ ฟอร์ดในเมืองแกรนด์แรพิดส์ รัฐมิชิแกน

การยอมจำนนของฝ่ายเวียดนามใต้

ในเวลา 6.00 น. ของวันที่ 29 เมษายน พลเอกจุ๋งได้รับคำสั่งจากคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์ (โพลิตบูโร) "ให้โจมตีด้วยความมุมานะสูงสุดเพื่อเข้าไปสู่ฐานที่มั่นสุดท้ายของศัตรู"[40]

ในตอนเช้าของวันที่ 29 เมษายน ยังมีเฮลิคอปเตอร์ของสายการบินแอร์อเมริกาเป็นจำนวนมากที่ยังอยู่ในเตินเซินเญิ้ต หลังเวลา 7.35 น. ไม่นานนัก เฮลิคอปเตอร์ UH-1 เป็นจำนวนเริ่มบินออกจากลานจอดบนดาดฟ้ารอบเมือง ไปยังเรือรบของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่อยู่นอกชายฝั่ง เครื่องบินปีกตรึงแต่ละลำมีนักบินประจำเครื่อง แต่เพราะเกิดความสับสน นักบินเป็นจำนวนมากจึงไม่สามารถเดินไปถึงสนามบินได้ เรืออากาศเอกอี.จี. อะดัมส์ได้รับมอบหมายให้เป็นนักบินของเครื่องบินที่ชื่อว่าโวลพาร์ บีช และจะเป็นนักบินคนที่สุดท้ายที่จะออกจากลานจอดของแอร์อเมริกา (บุคลากรคนอื่นอพยพไปยังศูนย์บัญชาการช่วยเหลือทางทหารหมดแล้ว) และยังมีเครื่องบิน C-46 ที่เต็มไปด้วยผู้อพยพจอดอยู่ อะดัมส์ขึ้นเครื่องบินและเป็นเครื่องบินปีกตรึงลำสุดท้ายที่บินออกจากไซ่ง่อนในการอพยพ

หลังจากทำการยิงถล่มและค่อยๆ รุกคืบเข้าไปเป็นเวลาหนึ่งวัน ฝ่ายเวียดนามเหนือก็พร้อมที่จะทำการบุกตะลุยครั้งใหญ่เข้าไปในเมือง ในช่วงเช้าของวันที่ 30 เมษายน จุ๋งได้รับคำสั่งจากโพลิตบูโรให้โจมตี เขาจึงสั่งให้ผู้บัญชาการภาคสนามเคลื่อนทัพตรงไปยังสาธารณูปโภคสำคัญและจุดยุทธศาสตร์ในเมือง[41] หน่วยของกองทัพเวียดนามเหนือหน่วยแรกที่เข้าไปในเมืองคือกองร้อยที่ 324[42] ประธานาธิบดีดูง วัน มินห์แห่งเวียดนามใต้ ที่เพิ่งดำรงตำแหน่งมาได้สามวัน ออกแถลงการณ์ยอมจำนนเมื่อเวลา 10.24 น. และขอให้กองกำลังเวียดนามใต้ "หยุดต่อสู้ อยู่ในความสงบ และไม่เคลื่อนพลไปไหน" และเชิญรัฐบาลปฏิวัติเฉพาะกาลมาร่วม "พิธีถ่ายโอนอำนาจอย่างเป็นระเบียบเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อของประชากรอย่างไม่จำเป็น"[43]

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเวียดนามเหนือไม่สนใจที่จะเจรจาเพื่อครอบครองเมืองอย่างสันติ และใช้กำลังเข้ายึดเมือง และจับกุมมินห์ ประตูทำเนียบอิสรภาพถูกทำลายโดยรถถังของกองทัพเวียดนามเหนือขณะที่กำลังเข้าไป และธงเวียดกงถูกเชิญขึ้นเหนือทำเนียบในเวลา 11.30 น. ในเวลา 15.30 น. มินห์กระจายเสียงไปทางวิทยุ โดยแถลงว่า "ข้าพเจ้าประกาศรัฐบาลไซ่ง่อนสิ้นสุดลงในทุกระดับขั้น" การล่มสลายของรัฐบาลเวียดนามใต้จึงถือเป็นการยุติสงครามเวียดนามอย่างมีประสิทธิผล

ใกล้เคียง

การยึดกรุงไซ่ง่อน การยึดครองญี่ปุ่น การยึดครองเซอร์เบียของออสเตรีย-ฮังการี การยึดครองเยอรมนีของสยาม การยึดครองกลุ่มรัฐบอลติก การยึดกรุงคาบูล (พ.ศ. 2564) การยึดครองโรมาเนียของโซเวียต การยึดครองพม่าของญี่ปุ่น การยึดครองกัมพูชาของญี่ปุ่น การยึดครองเมืองซารันจ์