จุดเริ่มต้น ของ ความแตกแยกระหว่างตีโต้-สตาลิน

ตีโตกับกลุ่มกองโจร,พฤษภาคม พ.ศ. 2487
กลุ่มตะวันออก
พันธมิตรในสนธิสัญญาวอร์ซอ
ความไม่พอใจและการต่อต้าน

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองยูโกสลาเวียถูกครอบครองโดยฝ่ายอักษะ ได้เกิดกลุ่มต่อต้านหลายแห่ง หนึ่งในนั้นเป็นกลุ่มกองโจรคอมมิวนิสต์ของยอซีป บรอซ ตีโตซึ่งเป็นกองกำลังต่อต้านใหญ่สุดในยูโกสลาเวีย โดยมีการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักรและสหภาพโซเวียตในตอนท้าย สหภาพโซเวียตได้แทรกแซงให้ ตีโต เข้าควบคุมประเทศโดยปี พ.ศ. 2488 จึงทำให้ยูโกสลาเวียเป็นพันธมิตรอันดีต่อโซเวียต บทบาทของตีโต้ ไม่เพียงผู้ปลดปล่อยยูโกสลาเวีย แต่ผู้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของคนในชาติ

แม้ว่าตีโต้อย่างเป็นทางการเป็นพันธมิตรของสตาลิน หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองโซเวียตได้นำสายลับแฝงตัวในพรรคยูโกสลาเวียเป็นช่วงต้นปี พ.ศ. 2488 ส่งผลให้ในการเป็นพันธมิตรเริ่มไม่มั่นคง[2]

หลังจากที่สงครามยูโกสลาเวียประสบความสำเร็จในการผนวกเขตของอิสเตรีย, เช่นเดียวกับเมืองซาดาร์ก้าที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2463 การผนวกครั้งนี้เป็นประโยชน์โดยตรงกับประชากรสลาฟในภูมิภาค ผู้นำยูโกสลาเวียพยายามผนวกเอสเตเข้ามาในประเทศซึ่งเป็นแคว้นอิสระจัดตั้งโดยฝ่ายพันธมิตรตะวันตกจึงได้รับการต่อต้านทั้งฝ่ายพันธมิตรตะวันตกและสตาลิน ความขัดแย้งนำไปสู่เหตุการณ์เครื่องบินรบยูโกสลาเวียได้ยิงเครื่องบินขนส่งอเมริกันตก ก่อให้เกิดความขัดแย้งและสตาลิน จาก พ.ศ. 2488-พ.ศ. 2491, มีเครื่องบินสหรัฐอย่างน้อย 4ลำถูกยิงตก[3] สตาลินรู้สึกว่าสหภาพโซเวียตก็ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพันธมิตรตะวันตกในสงครามเร็ว ๆ นี้หลังจากความสูญเสียในสงครามโลกครั้งที่สอง

นอกจากนี้ตีโต้ ได้สนับสนุนคอมมิวนิสต์กรีซในสงครามกลางเมืองกรีซ ขณะที่สตาลินรักษาระยะห่างจากการสนับสนุนตามความตกลงอัตราส่วนร้อย(Percentages agreement) ที่ทำกับวินสตัน เชอร์ชิลที่จะไม่เข้าแทรกแซงทางการเมืองในกรีซ ตีโต้วางแผนที่จะสร้างรัฐคอมมิวนิสต์อิสระร่วมกับแอลเบเนีย กรีซและบัลแกเรียในออกจากการควบคุมของโซเวียต ซึ่งสตาลินไม่สามารถทนต่อภัยคุกคามนี้ได้[4]

อย่างไรก็ตามโลกยังคงเห็นทั้งสองประเทศยังเป็นพันธมิตร นี้เห็นได้ชัดในการประชุมองค์การโคมินฟอร์มครั้งที่หนึ่งในปี พ.ศ. 2490 ที่โซเวียตเห็นด้วยกับการที่ตั้งสำนักงานใหญ่โคมินฟอร์มในเบลเกรด แต่ทั้งหมดไม่ได้ช่วยให้ข้อพิพาทระหว่างสองประเทศดีขึ้น

ใกล้เคียง