การถูกรวมเข้ากับจีนครั้งแรก ของ ประวัติศาสตร์ทิเบต

ทิเบตภายใต้ราชวงศ์ถัง

"เขตแดนยุคจักรพรรดิถังไท่จง" 616-649
การขยายอำนาจของจักรวรรดิถัง:
   ซันซี (617 : his father is governor, Taizong encouraged him to revolt.)
   Sui's China by 622-626.(618). Tang dynasty 618. Controlled all of Sui's China by 622-626.
   Submit the Oriental Turks territories (630-682)
   Tibetan's King recognizes China as their emperor(641-670)
   Submit the Occidental Turks territories (642-665)
(idem) add the Oasis (640-648 : northern Oasis ; 648 : southern Oasis)
   [Not shown in the map : Conquest of Goguryeo by his son (661-668)]
The two darkest area are truly the Chinese empire, the 3 lightest area are temporaly vasalised. Borders are not factual, they are indicatives.

ทิเบตเริ่มมีความสัมพันธ์กับประเทศจีน ในช่วงสมัยราชวงศ์ถัง ค.ศ. 618-906 ทิเบตยอมสยบต่ออำนาจอิทธิพลของจีน ยอมส่งเครื่องราชบรรณาการให้ อีกทั้งจักรพรรดิถังไท่จงในสมัยราชวงศ์ถังจึงสร้างสัมพันธไมตรีด้วยการยกเจ้าหญิงบุนเซ้งกงจู๊เป็นมเหสี ในขณะเดียวกันทิเบตก็เริ่มคุกคามเนปาล กษัตริย์เนปาลจึงสร้างสัมพันธไมตรีด้วยการยกเจ้าหญิงกฤกุฎเทวีเป็นมเหสี ซึ่งองค์หญิงทั้งสองต่างเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา และได้อัญเชิญพระพุทธรูปและพระคัมภีร์เข้าไปในทิเบต ซึ่งทำให้พระเจ้าซรอนซัน กัมโปแห่งทิเบตได้ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาพร้อมทั้งสร้างวัดทางพระพุทธศาสนาขึ้นเป็นครั้งแรกในทิเบต ชื่อวัด “โจกัง” (Jokhang) ณ เมืองลาซา และเป็นช่วงที่ทิเบตเริ่มต้นรับศาสนาพุทธนิกายมหายานเข้ามาสู่ประเทศ

สมัยพระเจ้าซรอนซัน กัมโป

พระเจ้าซรอนซัน กัมโป (กลาง) เจ้าหญิงเวนเชิง (ขวา) และเจ้าหญิงภริคุติ (ซ้าย)

ใน พ.ศ. 1173 ถือว่าเป็นยุคประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของทิเบต พระเจ้าซรอนซันกัมโป สนับสนุนให้มีการศึกษาพุทธศาสนาจากคัมภีร์ที่นำเข้ามาตั้งแต่ยุคต้น (พ.ศ. 976) พร้อมดำเนินการปฏิรูปศรัทธาทิเบต ต่อมาประกาศให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ โดยการสนับสนุนของพระมเหสี 2 พระองค์ คือพระนางเหวินเฉิง พระธิดาของกษัตริย์ถังไท้จงแห่งจีน และพระนางภริคุติเทวี พระธิดาของพระเจ้าอัมสุวารมาแห่งเนปาล ทั้งสองพระองค์ทรงนับถือพระพุทธศาสนามหายานอย่างเคร่งครัด จึงได้นำพระพุทธรูปมาด้วยทั้งสองพระองค์ คือเจ้าหญิงเหวินเฉิง นำพระพุทธรูปชื่อโจโว มาประดิษฐานที่วัดซิลลากัง ในกรุงลาซา และเจ้าหญิงภริคุตเทวีได้นำพระพุทธรูปศากยมุนีที่สำคัญมาประดิษฐานที่วัดราโมเช ซึ่งเป็นวัดหลวง และมีความสำคัญรองเป็นอันดับสองในกรุงลาซา ช่วงนี้ได้มีชาวทิเบตเชื้อพระวงศ์ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไปศึกษาในจีน และพระภิกษุชาวจีนก็มาศึกษาในทิเบตเพื่อแปลพระคัมภีร์และพระสูตรจำนวนมาก ในยุคนี้พระเจ้าซรอนซันกัมโปได้ทรงส่งทูตชื่อ ทอนมี สัมโภตะ ไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา แล้วกลับทิเบต ท่านได้เริ่มงานประดิษฐ์อักษร และเขียนไวยากรณ์สอนชาวทิเบต โดยใช้อักษรพราหมี ที่นิยมใช้กันในกัศมีร์ (แคชเมียร์) และดำเนินงานเผยแผ่พุทธศาสนาทำให้ประชาชนเลื่อมใส

สมัยพระเจ้าตริมัง โลนซัน (1193 – 1220)

สมัยนี้เป็นสมัยที่เสนาบดีตระกูลคัรมีอำนาจ เสนาบดีคัร ซงซัน เป็นผู้รวมเขตอาซาเข้ากับทิเบต เขาตายเมื่อ พ.ศ. 1210 ทิเบตชนะและเข้ายึดครองโกตันในช่วง พ.ศ. 1208 – 1213 พระเจ้าตริมัง โลนซัน อภิเษกกับเจ้าหญิงทริมาโล ซึ่งต่อมาเป็นผู้มีบทบาทมากในประวัติศาสตร์ทิเบต พระเจ้าตริมังสิ้นพระชนม์ในปลายปี พ.ศ. 1219 หลังจากนั้นอาณาจักรจางจุงก่อกบฏต่อทิเบต[8] และเป็นปีเดียวกับที่ตริดู ซงซัน โอรสของพระเจ้าตริมัง โลนซันประสูติ

สมัยพระเจ้าตริดู ซงซัน (1220 – 1247)

พระเจ้าตริดู ซงซันปกรองทิเบตภายใต้การบงการของมารดาคือพระนางทริมาโล และเสนาบดีคัร ตันยาดมบู พ.ศ. 1228 เสนาบดีผู้นี้ถึงแก่กรรม น้องชายของเขาคือคัร ตริดริงซันโดร ขึ้นมากุมอำนาจแทน [9] พ.ศ. 1235 ทิเบตเสียที่ราบตาริมให้จีน ตริดริงซันโดรรบชนะจีนได้ในพ.ศ. 1239 และมีการทำสัญญาสงบศึกกัน ใน พ.ศ. 1241 พระเจ้าตริดู ซงซันเชิญตระกูลคัร (มากกว่า 2,000 คน) มาในงานเลี้ยงแล้วจับประหารชีวิตทั้งหมด มีเพียงตริดริงซันโดรที่ได้รับอนุญาตให้ฆ่าตัวตาย กองทหารที่ภักดีต่อเขาหนีไปสวามิภักดิ์ต่อจีน อำนาจของตระกูลคัรจึงสิ้นสุดลงตั้งแต่ พ.ศ. 1243 จนสวรรคต พระเจ้าตริดู ซงซันได้ขยายอำนาจออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของเขตทิเบตกลางโดยให้มารดาของพระองค์คือพระนางทริมาโลบริหารประเทศแทน [10] พ.ศ. 1245 จีนกับทิเบตทำสัญญาสงบศึก ในปลายปีนั้นทิเบตเข้าครอบครองเขตซุมรูทางตะวันออกเฉียงเหนือ ในฤดูร้อนของ พ.ศ. 1246 พระเจ้าตริดู ซงซันยกทัพไปถึงแม่น้ำยังเซและรุกรานดินแดนยาง (Jang) พ.ศ. 1247 ยกทัพไปตีเมียวา (Mywa) บริเวณลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงแต่พระองค์สิ้นพระชนม์ในการรบครั้งนี้ [11]

สมัยพระเจ้าตริเด ซุกซัน (1247 – 1297)

กยัล ซุกรูที่ต่อมาจะขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าตริเด ซุกซัน เกิดเมื่อ พ.ศ. 1247 เมื่อพระเจ้าตริดู ซงซันสิ้นพระชนม์ พระนางทริมาโลจึงเป็นผู้กุมอำนาจทางการเมือง พี่ชายที่แก่กว่ากยัล ซุกรู 1 ปี คือ ลาบัลโพถูกตัดสิทธิในการขึ้นครองบัลลังก์ [12] พระนางทริมาโลเชิญเจ้าหญิงซินเชิงจากจีนแต่ไม่ทราบว่าอภิเษกกับใครระหว่างกยัล ซุกรูที่อายุเพียง 7 ปีหรือลาบัลโพ [13][14] กยัล ซุกรูขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 1255 ในนามพระเจ้าตริเด ซุกซันหลังจากที่พระนางทริมาโลสิ้นพระชนม์ ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่พวกอาหรับและเตอร์กิสมีอำนาจมากขึ้นระหว่าง พ.ศ. 1253 – 1263 ทิเบตทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับอาหรับและเติร์กตะวันออก ทิเบตทำสงครามกับจีนใน พ.ศ. 1272 ช่วงแรกทิเบตและชาวเติร์กที่เป็นพันธมิตรไดรับชัยชนะแต่มาเพลี่ยงพล้ำในช่วงหลัง จนกระทั่งเกิดกบฏในจีนตอนใต้และทิเบตกลับมาชนะอีกครั้งในพ.ศ. 1273 จึงมีการสงบศึก

ใน พ.ศ. 1277 มีการอภิเษกระหว่างเจ้าหญิงดรอนมาโลนของทิเบตกับข่านสูงสุดของชาวเติร์ก จีนเป็นพันธมิตรกับอาหรับเข้ารุกรานชาวเติร์ก เมื่อสงครามจีน – เติร์ก สิ้นสุดลง จีนหันมาโจมตีทิเบต ทิเบตประสบชัยชนะในแนวรบด้านตะวันออกและยันไว้ได้ในแนวรบด้านตะวันตก เมื่อจักรวรรดิของชาวเติร์ก ล่มลงด้วยปัญหาภายใน ทิเบตได้เข้าโจมตีดินแดนของชาวเติร์ก เมื่อ พ.ศ. 1280 กษัตริย์บรูซาของเติร์กขอให้จีนช่วย แต่ทิเบตก็เข้ายึดครองดินแดนของชาวเติร์กไว้ได้จน พ.ศ. 1290 อำนาจของทิเบตในเอเชียกลางอ่อนแอลงจนสูญเสียเมืองขึ้นไปเกือบหมด ทั้งนี้เนื่องด้วยความสามารถของนายพลเถา เซียนฉี ของจีนที่มุ่งมั่นจะเปิดการติดต่อโดยตรงระหว่างจีนกับเอเชียกลางและแคชเมียร์อีกครั้ง หลังจากสงครามระหว่างจีนกับอาหรับใน พ.ศ. 1294 อำนาจของจีนในเอเชียกลางเริ่มอ่อนแอลงอีก ส่วนอำนาจของทิเบตเริ่มฟื้นตัวขึ้นมา พ.ศ. 1298 พระเจ้าตริเด ซุกซันถูกปลงพระชนม์โดยเสนาบดีจังและบัล เจ้าชายซอง เดซันได้ขึ้นครองราชย์ต่อมา

สมัยพระเจ้าตริสอง เดซัน

ใน พ.ศ. 1298-1340 พระเจ้าตริสอง เดซัน กษัตริย์องค์ที่ 5 นับจากพระเจ้าซรอนซันกัมโปได้ไปอาราธนา พระศานตรักษิต ที่เคยศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยนาลันทามาเผบแผ่หลักคำสอนอันบริสุทธิ์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากท่านสอนแต่หลักธรรม แต่ไม่สอนเวทมนตร์คาถา แต่ชาวทิเบต มีความเชื่อเรื่องอำนาจภูติผีของลัทธิบอน และขณะนั้นเกิดโรคระบาด และภัยธรรมชาติ ทำให้ประชาชนเชื่อว่าท่านนำเหตุการณ์นี้มาด้วย ท่านได้กลับไปอินเดีย แล้วไปอาราธนา พระปัทมสัมภวะ พระราชโอรสของพระเจ้าอินทรภูมิ แห่งแคว้นอุทยานซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศอัฟกานิสถานให้ไปเผยแผ่พุทธศาสนาลัทธิตันตระ ถูกกับอัธยาศัยของประชาชน ท่านมีความชำนาญในเรื่องไสยศาสตร์สามารถปราบปีศาจ และทำให้ภูติผีปีศาจกลับมาสนับสนุนปกป้องพระพุทธศาสนาด้วย เหตุการณ์จึงสงบประชาชนฝ่ายข้าราชการ และฝ่ายราชสำนักก็ยอมรับนับถือท่านว่าเป็น คุรุรินโปเช คือพระอาจารย์ใหญ่ของพวกเขา ท่านปัทมสัมภวะได้สร้างวัดในพุทธศาสนาแห่งแรกของทิเบตในนาม วัดสัมเย ตามความเชื่อของอินเดียที่มีเขาพระสุเมรุ (อ่านว่า เขา-พระ-สุ-เมน) อยู่ตรงกลาง มีอารามอยู่ 4 ทิศ และมีอารามด้านนอกอีกแปดทิศ เป็นสัญลักษณ์ของทวีปในจักรวาล มีอีกวัดทางตะวันออก และตะวันตกเฉียงเหนือเป็นสัญลักษณ์พระจันทร์ และพระอาทิตย์ ในวัดนี้มีห้องสมุด ห้องนั่งสมาธิโดยอาจารย์สอนสมาธิจากจีน พุทธศาสนาลัทธิตันตระ เจริญรุ่งเรืองเรื่อยมา จนถึง พุทธศตวรรษที่ 16 มีชื่อกำหนดแยกจำเพาะออกไปว่า "นิกายเนียงมา (เนียงมาปะ) หรือนิกายหมวกแดง" ต่อมาพระศานตรักษิต ได้กลับทิเบตเพื่อปฏิบัติศาสนกิจครั้งจนมรณภาพที่นั่น ท่านได้แปลพระคัมภีร์ และเป็นอุชฌาย์บวชให้แก่ชายหนุ่มทิเบต 5 คน เพื่อวางรากฐานการบวชสายทิเบต ตามพระราชดำริของพระเจ้าตริสองเดซัน อุปสมบทกรรมที่นั่นมีพระนิกายสรวาทสติวาทร่วมด้วย 12 รูป

สมัยพระเจ้าตริเด ซองซัน (1342 – 1358)

ในสมัยนี้มีการทำสงครามต่อต้านอาหรับทางตะวันตก ทิเบตแผ่อำนาจไปได้ไกลถึงสมารขัณฑ์และคาบูล แต่ต่อมารัฐบาลของทิเบตในคาบูลหันไปรวมกับอาหรับและเปลี่ยนเป็นมุสลิม ในช่วง พ.ศ. 1355 – 1358 พวกอาหรับแผ่อิทธิพลไปไกลถึงแคชเมียร์ ในเวลาเดียวกัน ชาวอุยกูร์รุกรานทิเบตทางตะวันตกเฉียงเหนือด้วย

การต่อต้านพุทธศาสนา

พุทธศาสนาในยุคนี้ได้รับการอุปถัมภ์จากกษัตริย์ทิเบตเป็นอย่างดี บางองค์เป็นนักปราชญ์รอบรู้พุทธธรรมลึกซึ้ง คือ พระเจ้าเสนาเล ซึ่งทรงสละราชสมบัติออกผนวชเป็นภิกษุ ใน พ.ศ. 1357 ได้มีการทำพจนานุกรมภาษาสันสกฤต-ทิเบต และในรัชสมัยของพระเจ้าราลปาเชน (พ.ศ. 1359) มีการเขียนประวัติศาสตร์ทิเบตเป็นฉบับแรก กษัตริย์พระองค์นี้มีพระราชศรัทธาอย่างแรงกล้าถึงกับสยายพระเกศารองเป็นอาสนะให้พระสงฆ์นั่งล้อมแสดงธรรมถวายพระองค์ พระสงฆ์ได้รับสิทธิพิเศษเป็นราชครู มีพระรูปหนึ่งมีผู้ถวายอาหารเจ็ดครอบครัว มีการลงโทษผู้ที่ไม่เคารพพระสงฆ์ สุดท้ายมีการลอบปลงพระชนม์ เนื่องจากพระองค์ทรงแต่งตั้งชาวพุทธให้ดำรงตำแหน่งทางการบริหาร หรือสนับสนุนพุทธศาสนาเกินไป จากนั้น พระเจ้าลางทรมาที่ทรงถือลัทธิบอนก็ครองราชย์ พระองค์ทรงตั้งตนเป็นปรปักษ์ต่อพุทธศาสนาอยู่หลายปี ได้ทำลายวัดวาอารามที่สำคัญสองแห่งในนครลาซา กำจัดพระสงฆ์โดยให้ลาสิกขา ต่อมามีพระสงฆ์แต่งตัวด้วยชุดดำ ทาม้าสีดำ สวมหมวกสีดำเข้ามาปะปนกับประชาชน ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าลางทรมาสำเร็จ

ความแตกแยกของทิเบต

แผนที่แสดงระบอบศาสนาที่สำคัญในช่วงยุคแห่งการแตกแยกในทิเบต

หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าลางทรมา เกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับผู้สืบทอดราชบัลลังก์ระหว่างยุมตันกับโอซุง การรวมศูนย์อำนาจของทิเบตสิ้นสุดตั้งแต่สมัยนี้จนถึงยุคของนิกายสักยะจึงมีการรวมตัวอีกครั้งหนึ่ง กลุ่มของโอซุงเข้าครอบครองกรุงลาซา กลุ่มของยุมตันเข้าปกครองยาลุง ต่างตั้งตัวเป็นกษัตริย์ไม่ขึ้นต่อกัน [15] ใน พ.ศ. 1453 โอรสของโอซุงชื่อบัลโคริซันเข้าควบคุมดินแดนทีเบตกลางชั่วระยะเวลาหนึ่ง และสืบต่อให้โอรสอีกสององค์คือดาราซิ เซ็นซันและทริคยีดิง ต่อมาทริคยีดิงอพยพไปสู่ทิเบตตะวันตกและตั้งราชวงศ์ของตนขึ้น [16]

หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิทิเบตใน พ.ศ. 1385 ญิมะ-กอนก่อตั้งราชวงศ์ลาดักมีศูนย์กลางอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองลาดักปัจจุบัน ลูกชายคนโตของคยิเด ญิกอนกลายเป็นผู้ปกครองเขตมัรยุล (หรือลาดัก) และลูกชายคนรองอีกสองคนปกครองทิเบตตะวันตกในนามอาณาจักรกูเกและปู-ฮรัง ในยุคท้ายกษัตริย์ของกูเกชื่อ ชังจุบ เยเซ โอ บวชเป็นพระภิกษุ เขาส่งนักวิชาการไปแคชเมียร์เพื่อเชิญท่านอตีศะเข้าสู่ทิเบต เมื่อ พ.ศ. 1583 ถือเป็นการฟื้นฟูพุทธศาสนาในทิเบตอีกครั้งหนึ่ง

การฟื้นฟูพุทธศาสนา:กำเนิดนิกายเกลุก

ศาสนาพุทธยังคงเหลืออยู่ในทิเบตในเขตคาม ในสมัยพระเจ้าลางทรมา พระภิกษุสามรูปถูกขับออกจากลาซาไปยังอัมโด ศิษย์ผู้ติดตามชื่อ มุซุ ซาเอลบาร์ ต่อมาเป็นที่รู้จักในนามนักวิชาการคองปะ รับซัล เป็นผู้ฟื้นฟูศาสนาพุทธในทิเบตตะวันตกเฉียงเหนือ และเป็นที่มาของนิกายนิงมะ ในช่วงนั้น ผลของการติดต่อค้าขาย ทายาทของโอซุงส่งชายหนุ่มสิบคนมาเรียนพุทธศาสนากับรับซัล หนึ่งในจำนวนนี้มี ลูเม เชรับ ซุลทริมซึ่งกลับไปเผยแพร่ศาสนาพุทธในแคว้นอูและจั้ง ในทิเบตภาคกลาง กลุ่มของนักวิชาการเหล่านี้มีการพบปะกับพระอตีศะในช่วงสั้น ๆ เมื่อ พ.ศ. 1585 ทำให้มีการตั้งองค์กรพุทธศาสนาที่โลคา และการตั้งนิกายสักยะในพ.ศ. 1616 [17] อีก 200 ปีต่อมา นิกายสักยะได้เติบโตจนเป็นนิกายสำคัญในทิเบต พ.ศ. 1698 นิกายกรรมะปะได้ก่อตัวขึ้น

ใน พ.ศ. 1600 ถือว่าเป็นยุคที่พระพุทธศาสนาจากอินเดียเข้าสู่ทิเบตโดยตรง ประดิษฐานมั่นคง เป็นศาสนาประจำชาติครั้งใหญ่สุดท้าย และมีนิกายแตกแยกออกไปมาก โดยมีพระทีปังกรศรีชญาณ หรือ พระอติศะ จากมหาวิทยาลัยวิกรมศาลาในแคว้นพิหาร ได้เข้ามาเผยแผ่พุทธศาสนาในทิเบต หลังจากนั้นปลายยุคนี้ ท่านสองขะปะ (พ.ศ. 1918) ซึ่งเป็นนักปฏิรูปผู้ยิ่งใหญ่ของทิเบต ได้อาศัยหลักคำสอนนี้แล้วตั้งนิกาย "นิกายเกลุก หรือเกลุกปะ หรือหมวกเหลือง" ขึ้น นิกายนี้องค์ดาไลลามะปัจจุบันสังกัดอยู่ และมีอิทธิพลในภาคกลางของทิเบต

ใกล้เคียง

ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสนาพุทธ ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์จีน ประวัติศาสตร์โลก ประวัติศาสตร์สหรัฐ ประวัติศาสตร์สเปน ประวัติศาสตร์เยอรมนี ประวัติการบินไทย