ชีววิทยา ของ มนุษย์

ดูบทความหลักที่: ชีววิทยามนุษย์

กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา

ดูบทความหลักที่: กายวิภาคศาสตร์มนุษย์
ลักษณะทางกายวิภาคพื้นฐานของมนุษย์เพศหญิงและชาย ขนร่างกายและขนใบหน้าของชายถูกนำออกจากแบบจำลองนี้

มนุษย์มีลักษณะร่างกายต่างกันอยู่มาก แม้ว่าขนาดร่างกายส่วนใหญ่ถูกกำหนดโดยยีน แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อร่างกายเช่นการออกกำลังกายและโภชนาการ ความสูงเฉลี่ยของมนุษย์โตเต็มวัยอยู่ที่ประมาณ 1.5 ถึง 1.8 เมตร ตัวเลขนี้แตกต่างกันมากในแต่ละที่และขึ้นอยู่กับชาติพันธุ์กำเนิด[50][51] น้ำหนักโดยเฉลี่ยคือ 76-83 กิโลกรัมในชาย และ 54-64 กิโลกรัมในหญิง[52] น้ำหนักอาจแตกต่างกันได้มากโดยมีปัจจัยเช่นความอ้วน

แม้มนุษย์จะดูเหมือนไม่มีขนเมื่อเทียบกับไพรเมตอื่น แต่ด้วยการเติบโตของเส้นผมที่เด่นชัดเกิดขึ้นหลัก ๆ บนจุดสูงสุดของหัว ใต้แขนและบริเวณหัวเหน่า มนุษย์โดยเฉลี่ยมีรูขุมขนบนร่างกายมากกว่าชิมแปนซีโดยเฉลี่ย ความแตกต่างหลักคือ ขนของมนุษย์สั้นกว่า บางกว่าและย้อมสีเข้มน้อยกว่าของชิมแปนซีโดยเฉลี่ย ทำให้ขนของมนุษย์มองเห็นได้ยากกว่า[53]

สีของผิวหนังและขนมนุษย์กำหนดโดยการมีอยู่ของสารสี เรียกว่า เมลานิน สีผิวหนังมนุษย์มีตั้งแต่น้ำตาลเข้มไปถึงชมพูซีด สีขนมนุษย์มีตั้งแต่ขาวถึงน้ำตาลถึงแดงถึงดำที่พบมากที่สุด[54] ความเข้มข้นของเมลานินในผมจางไปเมื่อมีอายุเพิ่มขึ้น ทำให้ผมกลายเป็นสีเทาหรือกระทั่งขาว นักวิจัยส่วนมากเชื่อว่า การเข้มของผิวหนังเป็นการปรับตัวซึ่งวิวัฒนาการมาเป็นการป้องกันต่อการแผ่รังสีอัลตราไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์ อย่างไรก็ดี เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการถกเถียงกันว่า สีผิวหนังเฉพาะเป็นการปรับตัวเพื่อรักษาสมดุลโฟเลต ซึ่งถูกทำลายโดยการแผ่รังสีอัลตราไวโอเลต และวิตามินดี ซึ่งต้องการแสงอาทิตย์ในการสร้างขึ้น[55] การมีสารสีจับผิวหนังของมนุษย์ร่วมสมัยนั้นจัดช่วงชั้นตามภูมิศาสตร์ และโดยทั่วไปแล้วมีความสัมพันธ์กับระดับของการแผ่รังสีอัลตราไวโอเลต ผิวหนังมนุษย์ยังสามารถมีสีเข้มขึ้นได้ (เช่น การอาบแดด) เพื่อสนองต่อการสัมผัสการแผ่รังสีอัลตราไวโอเล็ต[56][57] มนุษย์มีแนวโน้มอ่อนแอทางกายภาพกว่าไพรเมตอื่นที่มีขนาดเท่า ๆ กัน โดยมนุษย์เพศชายหนุ่มภายใต้เงื่อนไขยังแสดงว่าไม่อาจเทียบได้กับความแข็งแกร่งของอุรังอุตังเพศเมีย ซึ่งแข็งแรงกว่าอย่างน้อยสามเท่า[58]

โครงสร้างเชิงกรานมนุษย์แตกต่างไปจากของไพรเมตอื่น เช่นเดียวกับนิ้วเท้า ผลคือ มนุษย์วิ่งระยะสั้นได้ช้ากว่าสัตว์อื่นส่วนมาก แต่เป็นหนึ่งในบรรดานักวิ่งระยะไกลที่ดีที่สุดในอาณาจักรสัตว์[59] ขนตามร่างกายที่บางกว่าและต่อมเหงื่อที่มีมากกว่าของมนุษย์ยังช่วยหลีกเลี่ยงอาการเพลียแดดขณะวิ่งเป็นระยะทางไกล ๆ ด้วยเหตุนี้ การล่าต่อเนื่อง (persistence hunting) จึงมีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดสำหรับมนุษย์ช่วงแรก ๆ วิธีการนี้ เหยื่อจะถูกไล่ติดตามกระทั่งเหนื่อยอย่างแท้จริง วิธีนี้ยังอาจช่วยให้ประชากรมนุษย์โครมันยองช่วงแรก ๆ เอาชนะประชากรนีแอนเดอร์ธัลในการแย่งชิงอาหาร ในทางตรงกันข้าม นีแอนเดอร์ธัลซึ่งมีความแข็งแรงทางกายมากกว่าจะประสบความยากลำบากกว่าเมื่อต้องล่าสัตว์ด้วยวิธีนี้ และมีแนวโน้มล่าสัตว์ที่ใหญ่กว่าในพื้นที่ปิด การแลกเปลี่ยนข้อได้เปรียบนี้ของเชิงกรานมนุษย์สมัยใหม่คือ การคลอดเด็กจะยากและอันตรายกว่ามาก มนุษย์ยังไม่เหมือนไพรเมตอื่นส่วนมากตรงที่มนุษย์สามารถเดินสองเท้าได้เต็มที่ ดังนั้นจึงสามารถใช้สองแขนในการทำงานกับวัตถุหรือเครื่องมือชนิดต่าง ๆ โดยมีนิ้วโป้งที่ยื่นออกไปด้านข้างช่วยประคอง

องค์ประกอบของร่างกายมนุษย์ในบุคคลหนัก 60 กก.[60]
องค์ประกอบน้ำหนัก% อะตอม
ออกซิเจน38.8 กก.25.5
คาร์บอน10.9 กก.9.5
ไฮโดรเจน6.0 กก.63.0
ไนโตรเจน1.9 กก.1.4
อื่น ๆ2.4 กก.0.6

โครงสร้างไหล่มนุษย์สมัยใหม่เอื้อให้ขว้างปาอาวุธได้ ซึ่งสำหรับคู่แข่งนีแอนเดอร์ธัลแล้ว การขว้างปาอาวุธนั้นยากกว่ามากหรือกระทั่งเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้อย่างมีประสิทธิภาพเลย[61]

สูตรฟันของมนุษย์เป็นดังนี้ 2.1.2.3 2.1.2.3 {\displaystyle {\tfrac {2.1.2.3}{2.1.2.3}}} มนุษย์มีสัดส่วนเพดานปากสั้นกว่าและฟันเล็กกว่ามากเมื่อเทียบกับไพรเมตอื่น มนุษย์เป็นเพียงไพรเมตชนิดเดียวที่ฟันสั้นและค่อนข้างราบ มนุษย์มีลักษณะฟันเก โดยมีช่องว่างจากฟันที่เสียไปโดยปกติแล้วจะถูกอุดอย่างรวดเร็วในวัยเด็ก มนุษย์ค่อย ๆ เสียฟันกรามซี่สุดท้ายไป โดยในบางรายไม่มีมาแต่กำเนิด[62]

พันธุศาสตร์

มนุษย์เป็นสปีชีส์ยูคาริโอตดิพลอยด์เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ แต่ละเซลล์มีโครโมโซมสองชุด ชุดละ 23 แท่ง โดยโครโมโซมได้รับมาจากพ่อและแม่คนละชุด ยกเว้นเซลล์สืบพันธุ์ซึ่งมีโครโมโซมชุดเดียวผสมกันระหว่างชุดของพ่อและแม่ มนุษย์มีโครโมโซมร่างกาย 22 คู่ และโครโมโซมเพศ 1 คู่ เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอื่น มนุษย์มีระบบการกำหนดเพศ XY ดังนั้น ผู้หญิงมีโครโมโซมเพศ XX และชายมี XY

จากการประเมินในปัจจุบัน มนุษย์มียีนประมาณ 22,000 ยีน[63] การแปรผันในดีเอ็นเอของมนุษย์นั้นเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับสปีชีส์อื่น ซึ่งอาจเป็นหลักฐานของปรากฏการณ์คอขวดประชากรในยุคไพลสโตซีนตอนปลาย (ราว 100,000 ปีก่อน) ซึ่งประชากรมนุษย์ลดลงเหลือเพียงไม่กี่คู่[34][33] ความหลากหลายของนิวคลีโอไทด์ขึ้นอยู่กับการกลายพันธุ์เดี่ยว ที่เรียกว่า ซิงเกิลนิวคลีโอไทด์โพลีมอร์ฟิซึม (single nucleotide polymorphism) ความหลากหลายของนิวคลีโอไทด์ในมนุษย์อยู่ที่ราว 0.1% หรือ ความแตกต่าง 1 ต่อ 1,000 คู่เบส ซึ่งความแตกต่าง 1 ใน 1,000 นิวคลีโอไทด์ระหว่างมนุษย์สองคนที่ถูกสุ่ม หมายความว่า จะมีความแตกต่าง 3 ล้านนิวคลีโอไทด์ เพราะจีโนมมนุษย์มีประมาณ 3 พันล้านนิวคลีโอไทด์ ซิงเกิลนิวคลีโอไทด์โพลีมอร์ฟิซึมเหล่านี้ส่วนมากเป็นกลาง (neutral) ส่วนราว 3 ถึง 5% มีหน้าที่และส่งอิทธิพลต่อความแตกต่างของฟีโนไทป์ระหว่างมนุษย์ผ่านแอลลีล

ด้วยการเปรียบเทียบส่วนของจีโนมที่ไม่ถูกคัดเลือกโดยธรรมชาติกับที่มีการกลายพันธุ์สะสมที่อัตราค่อนข้างคงที่ จึงเป็นไปได้ที่จะปะติดปะต่อต้นไม้พันธุกรรมซึ่งรวมสปีชีส์มนุษย์ทั้งหมดนับตั้งแต่บรรพบุรุษร่วมสุดท้าย แต่ละครั้งที่การกลายพันธุ์ที่แน่นอน (ซิงเกิลนิวคลีโอไทด์โพลีมอร์ฟิซึม) เกิดขึ้นในปัจเจกบุคคลและถูกส่งต่อไปยังเชื้อสายของผู้นั้น จะมีการสร้าง haplogroup ซึ่งได้แก่เชื้อสายของปัจเจกบุคคลผู้จะมีการกลายพันธุ์นั้นด้วย โดยการเปรียบเทียบดีเอ็นเอไมโทคอนเดรียซึ่งรับมาเฉพาะจากแม่เท่านั้น นักพันธุศาสตร์จึงได้สรุปว่า บรรพบุรุษร่วมหญิงสุดท้ายซึ่งพบเครื่องหมายพันธุกรรมในมนุษย์สมัยใหม่ทุกคน หรือที่เรียกว่า "ไมโทคอนเดรียล อีฟ" (mitochondrial Eve) นั้น ต้องมีชีวิตอยู่เมื่อราว 200,000 ปีมาแล้ว

พลังแห่งการคัดเลือกโดยธรรมชาตินั้นยังคงเกิดขึ้นกับประชากรมนุษย์ต่อไป โดยมีหลักฐานว่าจีโนมบางบริเวณแสดงการคัดเลือกไว้ทิศทางเดียว (directional selection) ในช่วง 15,000 ปีที่ผ่านมา[64]

วงจรชีวิต

เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอื่น การสืบพันธุ์ของมนุษย์เป็นการปฏิสนธิภายในโดยการร่วมเพศ (หรือเพศสัมพันธ์) ระหว่างกระบวนการนี้ องคชาตที่แข็งตัวของชายถูกสอดใส่เข้าไปในช่องคลอดของหญิง กระทั่งชายหลั่งน้ำอสุจิ ซึ่งบรรจุสเปิร์ม สเปิร์มเดินทางผ่านช่องคลอดและปากมดลูกเข้าไปในมดลูกหรือท่อนำไข่เพื่อปฏิสนธิกับโอวุม (ไข่) ในเวลาที่มีการปฏิสนธิและการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้วนั้น จะเกิดการตั้งครรภ์ในมดลูกของหญิงตามมา

ไซโกตแบ่งตัวภายในมดลูกของหญิงกลายมาเป็นเอ็มบริโอ (คัพภะ) ซึ่งหลังสภาวะตั้งครรภ์ 38 สัปดาห์ (9 เดือน) เอ็มบริโอจะกลายเป็นทารกในครรภ์ (fetus) หลังช่วงเวลานี้ ทารกในครรภ์ที่โตเต็มที่แล้วก็จะคลอดออกจากร่างของหญิง และหายใจด้วยตัวเองเป็นทารกครั้งแรก ณ จุดนี้ วัฒนธรรมสมัยใหม่ส่วนใหญ่ยอมรับว่า ทารกเป็นบุคคลซึ่งได้รับสิทธิคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเต็มที่ แม้บางเขตอำนาจขยายความเป็นมนุษย์ (personhood) หลากหลายระดับไปจนถึงทารกมนุษย์ในครรภ์ ขณะที่ยังอยู่ในมดลูก

เมื่อเทียบกับสปีชีส์อื่น การคลอดมนุษย์เป็นสิ่งอันตราย การคลอดซึ่งเจ็บปวดที่กินเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงหรือนานกว่านั้นไม่ใช่เรื่องแปลก และบางครั้งนำไปสู่การเสียชีวิตของแม่หรือเด็ก สาเหตุมาจากทั้งเส้นรอบวงหัวที่ใหญ่เพื่อบรรจุสมองของทารกในครรภ์ และเชิงกรานที่ค่อนข้างแคบของแม่ (ลักษณะซึ่งจำเป็นให้การเคลื่อนไหวสองเท้าประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นผลมาจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติ) [65][66] โอกาสการคลอดลูกสำเร็จเพิ่มขึ้นมากระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 ในประเทศร่ำรวย ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการแพทย์ ในทางกลับกัน การตั้งครรภ์และการคลอดลูกตามธรรมชาติยังเป็นประสบการณ์อันตรายในภูมิภาคกำลังพัฒนาของโลก ที่มีอัตราตายของมารดามากกว่าประเทศพัฒนาแล้วประมาณ 100 เท่า[67]

ในประเทศพัฒนาแล้ว ทารกแรกเกิดหนักประมาณ 3-4 กิโลกรัม และสูง 50-60 เซนติเมตร[68] อย่างไรก็ดี ทารกในประเทศกำลังพัฒนามีน้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่าเป็นธรรมดา และเป็นสาเหตุของอัตราภาวะการตายของทารกที่สูงในภูมิภาคเหล่านี้[69] มนุษย์แรกเกิดช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เติบโตขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี กระทั่งบรรลุพัฒนาการทางเพศเมื่ออายุได้ 12 ถึง 15 ปี หญิงยังมีพัฒนาการทางกายภาพกระทั่งอายุ 18 ปี ขณะที่พัฒนาการของชายสิ้นสุดเมื่ออายุได้ 21 ปี ระยะชีวิตมนุษย์สามารถแบ่งได้เป็นหลายขั้น: ทารก เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ตอนต้น ผู้ใหญ่และวัยชรา อย่างไรก็ดี ความยาวของแต่ละขั้นนี้ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมและยุคสมัย เมื่อเทียบกับไพรเมตอื่นแล้ว มนุษย์มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว (growth spurt) ผิดปกติในช่วงวัยรุ่น โดยร่างกายมีขนาดใหญ่ขึ้น 25% สัตว์อื่น ตัวอย่างเช่น ชิมแปนซีใหญ่ขึ้นเพียง 14% และไม่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว[70] มนุษย์มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วนี้เป็นไปได้ว่าจำเป็นเพื่อให้เด็กมีร่างกายเล็กกระทั่งเจริญเต็มที่ทางจิตใจ มนุษย์เป็นหนึ่งในไม่กี่สปีชีส์ที่หญิงมีวัยหมดระดู มีการเสนอว่าการหมดระดูเพิ่มความสำเร็จในการสืบพันธุ์โดยรวมของหญิง โดยการให้หญิงใช้เวลาและทรัพยากรมากขึ้นในลูกหลานที่มีอยู่แล้ว มากกว่าที่จะให้กำเนิดลูกจนถึงวัยชรา[71][72]

ทั่วโลกมีอายุคาดเฉลี่ยแตกต่างกันอย่างสำคัญ ประเทศพัฒนาแล้วโดยทั่วไปจะสูงวัย โดยมีอายุมัธยฐานที่ราว 40 ปี ในประเทศกำลังพัฒนา อายุมัธยฐานอยู่ระหว่าง 15 ถึง 20 ปี อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดในฮ่องกง คือ 84.8 ปีสำหรับหญิง และ 78.9 ปีสำหรับชาย ขณะที่สวาซิแลนด์ คือ 31.3 ปีสำหรับทั้งสองเพศ ซึ่งอาจมีสาเหตุหลักมาจากโรคเอดส์[73] ขณะที่ชาวยุโรปหนึ่งในห้ามีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีชาวแอฟริกาเพียงหนึ่งในยี่สิบที่มีอายุ 60 ขึ้นไป[74] จำนวนผู้มีอายุ 100 ปีขึ้นไปในโลก สหประชาชาติประเมินไว้ที่ 210,000 คน เมื่อ ค.ศ. 2002[75] ทั่วโลก มีชาย 81 คนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเทียบกับหญิง 100 คนในกลุ่มอายุนั้น และในบรรดาที่มีอายุมากที่สุด มีชาย 53 คนต่อหญิง 100 คน

ความแปรผันทางชีววิทยา

หลักฐานพันธุกรรมและโบราณคดีล่าสุดสนับสนุนแนวคิดล่าสุดที่ว่ามนุษย์สมัยใหม่มีแหล่งกำเนิดแห่งเดียวในแอฟริกาตะวันออก[76] โดยมีการอพยพครั้งแรก ๆ เมื่อ 60,000 ปีที่แล้ว การศึกษาพันธุกรรมปัจจุบันได้แสดงว่า มนุษย์ในทวีปแอฟริกามีความหลากหลายทางพันธุกรรมมากที่สุด[77] อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับลิงไม่มีหางใหญ่อื่น ๆ ลำดับยีนของมนุษย์เป็นแบบเดียวกัน (homogeneous) ผิดธรรมดา[78][79][80][81] ความเด่นของความแปรผันทางพันธุกรรมเกิดขึ้นในกลุ่มชาติพันธุ์ โดยมีเพียง 5 ถึง 15% จากความแปรพันทั้งหมดเกิดขึ้นระหว่างกลุ่ม[78]

เชื้อชาติ

ดูบทความหลักที่: เชื้อชาติ
ห้าเชื้อชาติของบลูเมนบาช (Blumenbach)

มีความหลากหลายทางชีววิทยาอยู่ไม่น้อยระหว่างประชากรมนุษย์ทั่วโลก ส่งผลให้ฟีโนไทป์มีการแปรผันพอสมควร แต่เดิม ความแปรผันของฟีโนไทป์มนุษย์นั้นถูกอธิบายโดยแบ่งออกเป็นเชื้อชาติ (race) ขนาดใหญ่ตามทวีป แสดงลักษณะที่นิยามได้ง่าย ขณะนั้น มนุษย์จึงถูกจำแนกเป็นหนึ่งในสี่หรือห้ากลุ่มฟีโนไทป์ซึ่งมักแบ่งตามสีผิว เนื้อผมและร่างกายใบหน้า และจะถูกจับคู่กับทวีปซึ่งแต่ละกลุ่มเชื่อมโยงกัน บ่อยครั้งที่การจำแนกเชื้อชาติมนุษย์อธิบายในแง่ของคุณลักษณะธรรมชาติ และกลายมาเป็นวิถีการปรับทัศนคติทั่วไป (stereotype) ทางสังคมและวัฒนธรรมเกี่ยวกับกลุ่มเชื้อชาติ และเป็นการให้เหตุผลหรือจูงใจคตินิยมเชื้อชาติรูปแบบต่าง ๆ ตามมา เมื่อการศึกษาความแปรผันทางชีววิทยามนุษย์ก้าวหน้าขึ้น ก็เป็นที่ชัดเจนว่า ความแปรผันส่วนมากมีการกระจายแบบไคลน์ (cline) และค่อย ๆ ผสมกลืนกันจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง โดยไม่มีเส้นแบ่งเขตชัดเจนระหว่างทวีป ยิ่งไปกว่านั้น ลักษณะที่ต่างกันก็มีการกระจายแบบไคลน์ต่างกันไปด้วย ความตระหนักในเรื่องนี้ทำให้นักมานุษยวิทยาและนักชีววิทยาจำนวนมากทิ้งความคิดเชื้อชาติหลักของมนุษย์ และอธิบายความผันแปรทางชีววิทยาในแง่ของประชากรและลักษณะที่กระจายแบบไคลน์แทน

ไม่มีความเห็นพ้องทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเชื้อชาติในทางชีววิทยา นักโบราณคดีจำนวนน้อยสนับสนุนแนวคิดว่า "เชื้อชาติ" (race) ของมนุษย์เป็นมโนทัศน์ชีววิทยาพื้นฐาน นักโบราณคดีส่วนมากยังยึดมั่นว่า คำว่า "เชื้อชาติ" ถือว่าเชื้อชาติเป็นกลุ่มที่ผูกพันกันอย่างชัดเจนด้วยลักษณะเฉพาะที่สำคัญ มักเป็นลำดับที่มีระเบียบและใช้เพื่ออ้างความชอบธรรมแก่ความไม่เท่าเทียมทางสังคมโดยปริยาย ด้วยเหตุผลเหล่านี้ นักโบราณคดีจึงมีแนวโน้มปฏิเสธการใช้คำว่า "เชื้อชาติ" เพื่ออธิบายความหลากหลายทางชีววิทยา พวกเขามักเห็นว่า "เชื้อชาติ" เป็นความนึกคิดทางสังคมซึ่งเสริมแต่งบนความแปรผันทางชีววิทยาที่ซ่อนอยู่ แต่ปิดบังบางส่วน[82][83][84] มุมมองขัดแย้งมีว่า เป็นไปได้ที่จะพูกถึง "เชื้อชาติ" โดยไม่ต้องทำการสันนิษฐานองค์ประกอบและลำดับขั้น และนักชีววิทยาบางคนและนักนิติวิทยาศาสตร์จำนวนมากใช้คำว่า "เชื้อชาติ" เพื่ออธิบายความแปรผันทางชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษแห่งทวีป (continental ancestry) เป็นที่ตกลงกันโดยทั่วไปว่า ลักษณะทางพันธุกรรมบางอย่าง รวมทั้งโรคที่พบได้ทั่วไปบางโรค สัมพันธ์กับบรรพบุรุษแห่งทวีปจากภูมิภาคหนึ่งโดยเฉพาะ และบรรพบุรุษทางพันธุกรรมตามที่กำหนดโดยการระบุเชื้อชาตินั้นกำลังเป็นเครื่องมือแพร่หลายมากขึ้นในการประเมินความเสี่ยงทางการแพทย์[79][80][81][85][86][87][88][89]

การใช้คำว่า "เชื้อชาติ" ให้มีความหมายคล้ายกับ "สปีชีส์ย่อย" ในมนุษย์นั้นเลิกไปแล้ว Homo sapiens ไม่มีสปีชีส์ย่อย ในความหมายโดยนัยทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ คำนี้ใช้ไม่ได้กับสปีชีส์ที่เป็นเอกพันธุ์ทางพันธุกรรมอย่างมนุษย์ ดังที่แถลงไว้ในแถลงการณ์ว่าด้วยเชื้อชาติ[90] (ยูเนสโก ค.ศ. 1950 ให้สัตยาบันซ้ำ ค.ศ. 1978) การศึกษาทางพันธุศาสตร์ได้พิสูจน์ถึงการขาดพรมแดนทางชีววิทยาที่ชัดเจนแล้ว ฉะนั้น คำว่า "เชื้อชาติ" จึงพบใช้น้อยครั้งเป็นศัพท์เฉพาะทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะในทางมานุษยวิทยาเชิงชีววิทยาหรือพันธุศาสตร์มนุษย์[91] สิ่งที่ในอดีตเคยนิยามว่าเป็น "เชื้อชาติ" เช่น ผิวขาว ผิวดำ หรือเอเชีย ปัจจุบันนิยามว่าเป็น "กลุ่มชาติพันธุ์" หรือ "ประชากร" ตามสาขาที่พิจารณา (สังคมวิทยา มานุษยวิทยา พันธุศาสตร์) [92][93]

อาหาร

มนุษย์กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร ด้วยความหลากหลายของแหล่งอาหารที่มีอยู่ในภูมิภาคที่อาศัยอยู่ และความหลากหลายของบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมและศาสนา กลุ่มมนุษย์จึงได้เปิดรับอาหารหลายแบบ จากตั้งแต่มังสวิรัตินิยมไปจนถึงกินเนื้อสัตว์เป็นหลัก ในบางกรณี การจำกัดอาหารในมนุษย์สามารถนำไปสู่โรคขาดอาหารได้ อย่างไรก็ดี กลุ่มมนุษย์ที่เสถียรรับเอารูปแบบอาหารหลายแบบผ่านทั้งพันธุกรรมเฉพาะและขนบวัฒนธรรมที่จะใช้แหล่งอาหารที่สมดุลทางโภชนาการ[94] อาหารมนุษย์สะท้อนอย่างโดดเด่นในวัฒนธรรมมนุษย์ และได้นำไปสู่การพัฒนาวิทยาศาสตร์การอาหาร

ก่อนมีการพัฒนาการเกษตรเมื่อประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว มนุษย์เก็บรวบรวมอาหารด้วยวิธีการล่าสัตว์และเก็บของป่าเพียงอย่างเดียว ซึ่งมีทั้งแหล่งอาหารอยู่กับที่ (เช่น ผลไม้ ธัญพืช หัวของพืช และเห็ด ตัวอ่อนแมลงและสัตว์ทะเลพวกหอยและหมึก) กับการล่าสัตว์ป่า อันจะต้องถูกล่าและฆ่าเพื่อบริโภค[95] มีการเสนอว่า มนุษย์ได้ใช้ไฟเตรียมและทำอาหารตั้งแต่เป็น Homo erectus[96] ราวหนึ่งหมื่นปีที่แล้ว มนุษย์ได้พัฒนาการเกษตร ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงอาหารของมนุษย์ไปอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงอาหารนี้ยังอาจเปลี่ยนแปลงชีววิทยามนุษย์ด้วย เมื่อฟาร์มโคนมเป็นแหล่งอาหารอันอุดมแหล่งใหม่ จนนำไปสู่วิวัฒนาการความสามารถในการย่อยแลคโทสในผู้ใหญ่บางส่วน[97][98] เกษตรกรรมทำให้มีประชากรเพิ่มขึ้น พัฒนาการของนคร และเพราะความหนาแน่นของประชากรเพิ่มขึ้น โรคติดเชื้อจึงแพร่กระจายเป็นวงกว้างขึ้นด้วย ประเภทของอาหารที่บริโภค และวิธีการเตรียมอาหาร แตกต่างกันตามเวลา สถานที่และวัฒนธรรม

โดยทั่วไป มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นเวลาสองถึงแปดสัปดาห์โดยไม่มีอาหาร ขึ้นอยู่กับไขมันของร่างกายที่สะสมไว้ การมีชีวิตโดยปราศจากน้ำโดยทั่วไปจำกัดเพียงสามหรือสี่วันเท่านั้น มนุษย์ราว 36 ล้านคนเสียชีวิตทุกปีจากสาเหตุทางตรงหรือทางอ้อมที่เกี่ยวกับความหิวโหย[99] ทุพโภชนาการวัยเด็กนั้นพบทั่วไปและเป็นสาเหตุของภาระโรคทั่วโลก[100] อย่างไรก็ดี การกระจายอาหารทั่วโลกไม่เท่าเทียมกัน และความอ้วนในบรรดาบางประชากรมนุษย์ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนและอัตราการตายที่เพิ่มขึ้นในประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศ รวมถึงประเทศกำลังพัฒนาอีกส่วนหนึ่ง ประชากรหนึ่งพันล้านคนทั่วโลกอ้วนเกิน[101] ขณะที่ประชากรสหรัฐอเมริกา 35% อ้วนเกิน[102] ความอ้วนเกิดจากการบริโภคแคลอรีเกินกว่าใช้หมด ดังนั้น น้ำหนักเพิ่มที่เกินมาโดยทั่วไปจึงเกิดจากอาหารไขมันสูงอุดมไปด้วยพลังงานและการออกกำลังกายที่ไม่เพียงพอร่วมกัน[101]

ใกล้เคียง

มนุษย์ มนุษย์ที่มีกายวิภาคปัจจุบัน มนุษย์เลื่อยยนต์ มนุษย์หมาป่า มนุษย์พรุพีต มนุษย์หินฟลิ้นท์สโตนส์ มนุษย์โบราณ มนุษย์ตัวเขียวจอมพลัง มนุษย์มดมหากาฬ มนุษย์ฟลอริดา

แหล่งที่มา

WikiPedia: มนุษย์ http://www.answers.com/topic/pygmy http://www.archaeologyinfo.com/homosapiens.htm http://www.bbc.com/thai/international-40202638?STh... http://www.breitbart.com/article.php?id=0708241216... http://books.google.com/books?id=9WemAAAAIAAJ&pg=P... http://books.google.com/books?id=ITp_RnsPfzQC&pg=P... http://books.google.com/books?id=Rbq0j5ZjhGgC&pg=P... http://books.google.com/books?id=vafgWfgxUK8C&pg=P... http://books.google.com/books?id=yP6TrXRpPdMC&pg=P... http://books.google.com/books?id=zvbV4M0-YdEC&pg=P...