ราชวงศ์หมิงตอนต้นและยุครุ่งเรือง ของ ราชวงศ์หมิง

การครองราชย์ของจักรพรรดิหงหวู่

จักรพรรดิหงหวู่ (ครองราชย์ ค.ศ. 1368–98)

จักรพรรดิหงหวู่ทรงตั้งกรุงหนานจิงเป็นราชธานีแห่งราชวงศ์หมิง พระองค์ได้มีความพยายามที่จะบูรณะสาธารณูปโภคในอาณาจักรอีกครั้ง พระองค์ได้สร้างกำแพงรอบเมืองหนานจิงเป็นระยะทางยาวกว่า 48 กิโลเมตร (30 ไมล์) พร้อมทั้งสร้างพระราชวังและหอประชุมขุนนางขึ้นมาใหม่[8] อีกทั้งได้ทรงทุ่มเทเพื่อที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคม และผลผลิตในประเทศ โดยด้านหนึ่งพยายามลดภาระของประชาชนและชาวนา ในขณะที่อีกด้านก็เร่งปฏิรูประบบการปกครองที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งลงโทษขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง

โดยในช่วงเวลานี้ จักรพรรดิหมิงไท่จู่ได้ให้โอกาสชาวบ้านที่ต้องอพยพเพราะภัยสงครามจนไม่มีที่ทำกิน ให้เข้าไปจับจองที่ดินที่รกร้างว่างเปล่า โดยทางการจะเป็นผู้จัดหาพันธุ์พืชและเครื่องมือให้ นอกจากนั้นยังมีการยกเว้นภาษีและการเกณฑ์แรงงานให้กับผู้ที่ไปบุกเบิกพื้นที่ใหม่ๆเป็นเวลา 3 ปี ทำการส่งเสริมด้านชลประทาน ทำให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยลำดับ

ทว่าในด้านการปฏิบัติต่อขุนนางนั้น แม้ในช่วงต้นของการสถาปนาราชวงศ์ จะมีการปูนบำเหน็จและพระราชทานตำแหน่งให้กับขุนนางที่มีผลงาน ทว่าเพื่อที่จะรวบอำนาจให้รวมศูนย์ไว้ที่องค์ฮ่องเต้ บวกกับการที่พระองค์มีนิสัยเป็นคนที่ระแวงสงสัยในตัวผู้อื่น ทำให้ในรัชกาลหงหวู่มีการประหารฆ่าขุนนางผู้มีคุณูปการไปไม่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในกรณีสำคัญที่เห็นได้ชัดก็อย่างเช่นกรณีของ หู เหวย์ยง (胡惟庸) กับหลันอี้ว์ (蓝玉)

หูเหวยยงได้เข้ากองทัพติดตามจูหยวนจางและได้เป็นที่ปรึกษาที่สำคัญตั้งแต่ก่อนจะครองราชย์ จนกระทั่งได้ดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดีในเวลาต่อมา หูเหวยยงได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิหมิงไท่จู่เป็นอย่างยิ่ง ทำให้เริ่มมีอิทธิพลและกุมอำนาจต่างๆเอาไว้ในมือ มีขุนนางจำนวนมากที่มาเข้าเป็นสมัครพรรคพวกมากมาย จนมักกระทำการโดยพลการอยู่เสมอ อย่างเช่นฎีกาที่เหล่าขุนนางเขียนถวายฮ่องเต้ หากมีฎีกาใดที่ไม่เป็นประโยชน์กับตนก็จะไม่ยอมถวายขึ้นไป สุดท้ายในปีค.ศ. 1380 เมื่อมีคนกล่าวโทษว่าหูเหวยยงนั้นมีความคิดที่จะก่อกบฏ จักรพรรดิหมิงไท่จู่จึงมีรับสั่งให้ประหารหูเหวยยง พร้อมทั้งถือโอกาสในการกวาดล้างวงศ์ตระกูลและสมัครพรรคพวกของหูเหวยยงทั้งหมด นอกจากนั้นในภายหลังยังมักจะอาศัยข้ออ้างการเป็นพรรคพวกของหูเหวยยงเป็นอาวุธในการปกครอง กล่าวคือเมื่อใดที่ทรงระแวงสงสัยบุคคล ขุนนาง หรือเจ้าของที่ดินคนไหน ที่คาดว่าอาจจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ ก็จะถูกประหารด้วยข้อกล่าวหาดังกล่าว แม้กระทั่งล่วงเลยมาถึง 10 ปียังมีการอาศัยข้อหานี้ทำการประหารครั้งใหญ่อีกครั้ง โดยในคดีดังกล่าวตั้งแต่ต้นจนจบ มีผู้ที่ถูกประหารชีวิตไปทั้งสิ้นกว่า 30,000 คน

หลังจากเกิดเหตุการณ์คดีหูเว่ยยงแล้ว จักรพรรดิหมิงไท่จู่จึงได้ยกเลิกระบบอัครเสนาบดี แล้วแบ่งอำนาจการปกครองเสียใหม่หรือเป็นที่รู้จักกันในรูปแบบ สามสำนักหกกรม (三省六部)

จากความระแวงที่เกิดขึ้น ยังทำให้มีการจัดตั้งหน่วยงานสำคัญที่มีในการตรวจสอบขึ้น ได้แก่สำนักงานตรวจการ (督察院) และหน่วยงานองครักษ์เสื้อแพร (锦衣卫 หรือ จินยี่เว่ย) มีลักษณะรูปแบบคล้ายตำรวจลับ เพื่อให้เป็นหน่วยงานพิเศษในการตรวจสอบขุนนางในราชสำนักและราษฎรทั่วราชอาณาจักร จากนั้นยังทรงแต่งตั้งพระโอรสทั้งหลายให้ออกไปเป็นเจ้ารัฐประจำอยู่ในหัวเมืองต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายในด้านหนึ่งเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและศักยภาพในการป้องกันชาวมองโกลจากทางเหนือ ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็เป็นมาตรการป้องกันการร่วมมือระหว่างเหล่าองค์ชายกับขุนนางกังฉินในราชสำนักเพื่อชิงราชบัลลังก์ อีกทั้งทรงตรามาตรการเสริมเพื่อป้องกันการใช้อำนาจบาตรใหญ่จนเกินควบคุมของบรรดาเชื้อพระวงศ์ ด้วยการบัญญัติไว้ว่า สำหรับฮ่องเต้ในอนาคตหากมีความจำเป็น ให้สามารถถอดถอนเจ้ารัฐหัวเมืองเหล่านี้ได้

การแผ่ขยายอาณาเขต

ชายแดนตอนใต้และตะวันตก

ในทิศตะวันตก บริเวณชิงไห่, ชาวซาร์ลาร์ ซึ่งนับถืออิสลามสมัครใจมาพึ่งอาณัติของราชวงศ์หมิง ผู้นำเผ่าของพวกเขายอมแพ้ประมาณ ค.ศ. 1370 กองทัพของอาณาจักรอุยกูร์ภายใต้แม่ทัพอุยกูร์ ฮาลาร์ บาชี ได้นำการก่อกบฎเหมียวถูกกองทัพต้าหมิงปราบปรามสำเร็จในช่วงปี ค.ศ. 1370 ทำให้ชาวอุยกูร์จำนวนมากได้ย้ายถิ่นมาตั้งรกรากอยู่ในฉางเต๋อ มณฑลหูหนาน[9] นอกจากชาวอุยกูร์แล้วชาวหุยซึ่งเป็นมุสลิมเช่นเดียวกันก็ได้มาตั้งรกรากอยู่ในฉางเต๋อ มณฑลหูหนาน และเข้าเป็นทหารอาสาช่วยรบในกองทัพต้าหมิงในการต่อสู้กับชนเผ่าอื่นๆ[10]

ในทิศใต้ ปี ค.ศ. 1381 ราชวงศ์หมิงได้รวบรวมพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้บริเวณต้าหลี่ส่วนหนึ่งของอาณาจักรต้าหลี่ หลังจากความพยายามที่ประสบความสำเร็จโดยกองทัพอาสาหุยมุสลิมของราชวงศ์หมิงในการเอาชนะขับไล่กองทัพมองโกลราชวงศ์หยวนที่ยังคงหลงเหลืออยู่และชาวหุยที่ยังจงรักภักดีมองโกลออกจากมณฑลยูนนาน กองทัพอาสาชาวหุยภายใต้แม่ทัพชาวหุย มู ยิง ผู้ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิหงหวู่ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงแห่งมณฑลยูนนานไปประจำในภูมิภาคใต้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิต้าหมิง[11]

การรบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

กำแพงเมืองจีน: เป็นป้อมปราการที่คอยป้องกันมิให้ชนป่าเถื่อนเข้ารุกรานประเทศจีน แม้จะถูกสร้างในสมัยราชวงศ์ฉินและบูรณะหลายครั้งในราชวงศ์ฮั่น จนในสมัยราชวงศ์หมิงรัชสมัยจักรวรรดิหงหวู่ได้มีการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่

หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์หยวนมองโกล และมีการก่อตั้งราชวงศ์หมิงในปี ค.ศ. 1368 ดินแดนแมนจูเรียยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวมองโกลราชวงศ์หยวนเหนือที่อยู่ในมองโกเลีย

ดินแดนแมนจูเรียถือเป็นดินแดนที่ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่สุ่มเสี่ยงของราชวงศ์หมิง จักรพรรดิหงหวู่มีพระดำริให้บูรณะกำแพงเมืองจีนหลายครั้งในรัชกาล ในแมนจูเรียนี้เอง นัคฮาชูอดีตขุนนางราชวงศ์หยวนและ อูเรียนไคแม่ทัพแห่งราชวงศ์หยวนเหนือชนะอำนาจเหนือชนเผ่ามองโกลในแมนจูเรีย พวกเขาสะสมกำลังทหารเติบโตอย่างเข้มแข็งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยมีกองกำลังขนาดใหญ่พอ (นับแสนคน) เพื่อคุกคามการรุกรานของราชวงศ์หมิงที่ก่อตั้งขึ้นใหม่และเพื่อฟื้นฟูอิทธิพลของชาวมองโกลสู่อำนาจในประเทศจีนอีกครั้ง แต่ราชวงศ์หมิงตัดสินใจที่จะเอาชนะนัคฮาชูแทนที่จะรอให้ชาวมองโกลเข้าโจมตี ในปี ค.ศ. 1387 ราชวงศ์หมิงส่งกองทัพเข้าปราบปรามนัคฮาชู,[12] ซึ่งสรุปด้วยการยอมแพ้ของนัคฮาชูและการพิชิตแมนจูเรียของราชวงศ์หมิง

ในช่วงราชวงศ์หมิงตอนต้น ราชสำนักหมิงไม่สามารถและไม่ปรารถนาที่จะควบคุมชาวหนี่เจินในแมนจูเรีย แต่มันก็สร้างบรรทัดฐานขององค์กรที่จะทำหน้าที่เป็นพาหนะหลักสำหรับความสัมพันธ์ในท้ายที่สุดกับประชาชนตามแนวชายแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือ ในตอนท้ายของการครองราชย์ของจักรพรรดิหงหวู่ทรงออกนโยบายสำคัญที่มีต่อชาวหนี่เจินได้ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่าง ผู้คนที่อาศัยในแมนจูเรียส่วนใหญ่ ยกเว้นชาวหนี่เจินป่าเถื่อนที่อยู่นอกจากควบคุม จะยอมอยู่ใต้อาณัติของราชวงศ์หมิงอย่างสงบสุข ทางราชสำนักหมิงได้สร้างหน่วยทหารพิทักษ์ขึ้น หรือ (衛, เหว่ย์) ในแมนจูเรียแต่การสร้างหน่วยพิทักษ์ไม่ได้หมายความว่าต้องมีการควบคุมทางการเมือง จนถึงปี ค.ศ. 1435 ราชสำนักหมิงก็หยุดที่จะมีกิจกรรมมากมายที่นั่น แม้จะยังคงทหารยามรักษาการณ์อยู่ในแมนจูเรีย ในช่วงปลายราชวงศ์หมิงการปรากฏตัวทางการเมืองของหมิงในแมนจูเรียนั้นได้ลดลงอย่างมาก

การครองราชย์ของจักรพรรดิหย่งเล่อ

การทัพจิ้งหนานและการขึ้นสู่อำนาจ

ภาพวาด จักรพรรดิหย่งเล่อ (ครองราชย์ ค.ศ 1402–24)

หลังจากจักรพรรดิหมิงไท่จู่สวรรคตแล้ว ได้มีการแต่งตั้งจู หยุ่นเหวิน ซึ่งเป็นพระราชนัดดาเป็นองค์รัชทายาทและได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อเป็นจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน พระองค์ได้ใช้นโยบายทำการริดรอนอำนาจของ อ๋อง ผู้ครองแคว้นทำให้อ๋องบางคนเผาตัวตาย โดนถอดบรรดาศักดิ์ โดนจับขังคุก โดนเนรเทศ ต่อมาไม่นานการริดอำนาจอ๋องของจักรพรรดิเจี้ยนเหวินก็ลามมาถึงเอี้ยนอ๋อง จูตี้ ผู้ครองนครปักกิ่งซึ่งเป็นพระปิตุลาของจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน จักรพรดิเจี้ยนเหวินได้เริ่มจับกุมทหารและที่ปรึกษาของจูตี้โดยไม่สนใจความเป็นพระญาติวงศ์ ซึ่งโดยตัวจูตี้เองก็ไม่พอใจต่อนโยบายของจักรพรรดิเจี้ยนเหวินเป็นทุนเดิมอยู่แล้วได้ลุกขึ้นประกาศยุทธการสยบเภทภัยเพื่อต่อต้านจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน ในไม่ช้าการประลองทางการเมืองก็ปะทุขึ้นระหว่างพระปิตุลาจูตี้กับจักรพรรดิเจี้ยนเหวินหลานชาย[13] นำไปสู่การทัพจิ้งหนานซึ่งเป็นสงครามกลางเมืองยาวนานถึง 3 ปี

กระทั่งปีค.ศ. 1402 เมื่อกองทัพของจูตี้บุกถึงเมืองหลวงหนานจิง หลีจิ่งหลงแม่ทัพรักษาเมืองได้เปิดประตูเมืองให้ทัพจิ้งหนานเข้าเมือง เมื่อยึดครองเมืองหนานจิงได้แล้ว ทว่าในยามนั้น กลับมองเห็นว่าพระราชวังเกิดเพลิงลุกโหมพวยพุ่ง กว่าที่จูตี้ได้ส่งทหารเพื่อไปดับเพลิง ก็พบว่ามีคนถูกคลอกตายไปแล้วไม่น้อย ในขณะที่จักรพรรดิเจี้ยนเหวินก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้เรียกเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า “การจลาจลจิ้งหนาน” (靖难之变)

เมื่อจูตี้พระปิตุลาสามารถโค่นอำนาจจักรพรรดิเจี้ยนเหวินลงได้สำเร็จ จูตี้ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิหมิงเฉิงจู่หรือ จักรพรรดิหย่งเล่อ หลังทรงครองราชย์แล้ว หมิงเฉิงจู่ได้ดำเนินการกวาดล้างครั้งใหญ่ โดยมีขุนนางผู้ใหญ่ข้างกายจักรพรรดิเจี้ยนเหวินกว่า 50 คนที่ถูกจัดให้เป็นขุนนางฉ้อฉล ถูกสั่งประหาร 9 ชั่วโคตร โดยหนึ่งในนั้นมีคดีอันเลื่องลือของฟังเซี่ยวหรู (方孝孺) ที่ถูกประหาร 10 ชั่วโคตรโดยนอกจากญาติ 9 ชั่วโคตรแล้ว ยังมีสหายและลูกศิษย์ประหารรวมไปด้วยจำนวนถึง 873 คน ในปี ค.ศ. 1421 จักรพรรดิหย่งเล่อได้ย้ายเมืองหลวงจากเมืองหนานจิงไปยังกรุงปักกิ่ง

การสถาปนาราชธานีปักกิ่ง

พระราชวังต้องห้ามที่นครหลวงปักกิ่ง สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์หมิง ช่วงรัชสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ เพื่อเป็นที่ประทับของฮ่องเต้ ถือเสมือนสัญลักษณ์จุดศูนย์กลางของโลก เป็นเมืองสวรรค์ประดุจเทพสร้างสุสานหลวงราชวงศ์หมิง ที่ตั้งอยู่ 50 กิโลเมตร (31 ไมล์) ทิศเหนือของนครหลวงปักกิ่ง; ตำแหน่งที่ตั้งของสุสานหลวงถูกคัดเลือกโดยจักรพรรดิหย่งเล่อ

จักรพรรดิหย่งเล่อทรงลดฐานะเมืองหนานจิงเป็นเมืองรองและในปี ค.ศ. 1403 จักรพรรดิหย่งเล่อทรงประกาศให้เมืองหลวงใหม่ของจีนจะอยู่ที่ฐานอำนาจของพระองค์ในนครหลวงปักกิ่งจึงเป็นเหตุให้ราชวงศ์หมิงย้ายราชธานีจากหนานจิงมาตั้งที่กรุงปักกิ่ง จักรพรรดิหย่งเล่อทรงโปรดให้มีการสร้างนครหลวงปักกิ่งใหม่ขึ้นทั้งหมด การก่อสร้างเมืองหลวงใหม่ใช้ระยะเวลายาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1407 ถึง ค.ศ. 1420 มีการจ้างและเกณฑ์แรงงานคนหลายแสนคนทุกวัน[14] เพื่อความเป็นศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองของนครปักกิ่ง จักรพรดิหย่งเล่อทรงมีพระดำริให้สร้าง พระราชวังต้องห้าม (หรือพระราชวังกู้กง) เป็นครั้งแรกซึ่งเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียในขณะนั้น โดยทรงยึดตามคติอาณัติแห่งสวรรค์ให้พระราชวังต้องห้ามถือเป็นเมืองสวรรค์ที่ตั้งอยู่จุดศูนย์กลางของโลกและประดุจว่าสร้างโดยเทพเจ้า นอกจากนี้พระราชวังต้องห้ามยังเป็นที่ประทับขององค์ฮ่องเต้ บรรดาเชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนางอำมาตย์ ในปี ค.ศ. 1553 เมืองรอบนอกนครหลวงถูกขยายเพิ่มเข้ามาทางใต้ซึ่งทำให้ขนาดโดยรวมของกรุงปักกิ่งเป็น 4 เท่าหรือ 4½ไมล์[15]

ช่วงที่ตั้งนครหลวงปักกิ่งนี้เองจักรพรรดิหย่งเล่อยังเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับด้านวิทยาการความรู้ โดยรับสั่งให้รวบรวมสรรพวิชาที่มีมาตั้งแต่ในอดีตไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์ ปรัชญา ศาสนา ศิลปะ ฯลฯขึ้น มีการระดมบุคคลากร 147 คนเข้ามาช่วยกันจัดเรียบเรียง และออกมาเป็นเล่มในครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 1404 ทว่าหมิงเฉิงจู่ยังเห็นว่าตำราดังกล่าวยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์พอ จึงให้ทำการปรับปรุงแก้ไขอีกครั้ง คราวนี้มีการใช้คนเรียบเรียงและเขียนทั้งสิ้นมากถึง 2,169 คน และใช้หอคัมภีร์เหวินยวน (文渊阁) ที่หนานจิงที่เป็นเก็บตำรา การเรียบเรียงแก้ไขครั้งนี้ได้ลุล่วงในปี ค.ศ. 1407 และคัดลอกเย็บเล่มเสร็จสิ้นในปีถัดมา มีจำนวนทั้งสิ้น 22,877 บรรพ จัดเรียบเรียงเป็น 11,095 เล่ม ฮ่องเต้หมิงเฉิงจู่ได้พระราชทานนามว่า สารานุกรมหย่งเล่อ (永乐大典)

นอกจากสารานุกรมชิ้นใหญ่นี้แล้ว ในราชวงศ์หมิงยังเป็นยุคที่วรรณกรรมประเภทนิยายเริ่มต้นได้รับความนิยมอย่างมาก ถือเป็นเป็นยุคต้นที่นิยายในรูปแบบภาษาพูดที่เรียบง่าย (白话)ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายและสืบเนื่องไปถึงราชวงศ์ชิง โดยเฉพาะในราชวงศ์หมิง ได้บังเกิดผลงานประพันธ์ที่โดดเด่นๆที่เป็นที่รู้จักกันจนถึงทุกวันนี้มากมายอาทิ นิยายพงศาวดารสามก๊ก (三国演义) ในช่วงปลายราชวงศ์หยวนถึงต้นราชวงศ์หมิง ส่วนเรื่องซ๋องกั๋ง หรือผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน (水浒传)และ ไซอิ๋ว ()西游记 และบุปผาในกุณฑีทอง (金瓶梅) ถูกประพันธ์ขึ้นในสมัยรัชกาลเจียชิ่งกับวั่นลี่ โดยสามก๊กที่ประพันธ์โดยหลอก้วนจงนั้นน่าจะเป็นนิยายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบรรดานิยายจีนที่เคยมีมา

เจิ้งเหอและการสำรวจทางทะเล

ดูบทความหลักที่: เจิ้งเหอ
เส้นทางการเดินเรือของเจิ้งเหอเจิ้งเหอ

การต่อเรือในสมัยราชวงศ์หมิงมีการพัฒนาอย่างมาก การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างประเทศมีบ่อยครั้ง

เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1405 (พ.ศ. 1948) จักรพรรดิหย่งเล่อทรงมอบหมายให้ผู้บัญชาการกองเรือซึ่งเป็นขันที นามว่า เจิ้งเหอ คุมกองทัพเรือสำเภาขนาดมหึมาที่ถูกกำหนดให้เป็นเรือระหว่างประเทศ ซึ่งชาวไทยเรียกกันว่าซำปอกงได้นำกองเรือจีนไปเยือนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกาทั้งหมดกว่า 30 ประเทศถึง 7 ครั้งตามลำดับ

การเดินทางของเจิ้งเหอมีจุดประสงค์ที่จะผูกมิตรกับอาณาจักรต่าง ๆ โดยจักรพรรดิหย่งเล่อทรงส่งเจิ้งเหอเป็นแม่ทัพเรือราชวงศ์หมิงนำกองเรือขนาดยักษ์ไปสำรวจดินแดนต่างๆ ซึ่งการเดินทางเจิ้งเหอก็ต้องใช้กำลังทหารปราบปรามบ้างเพื่อแสดงให้เห็นว่ากองทัพเรือราชวงศ์หมิงนั้นมีความยิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกชนชาติ เจิ้งเหอได้สั่งให้มีปฏิบัติการทางทหารดังต่อไปนี้

  • การโจมตีท่าเรือเก่า:สถานผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยในสุมาตรา เมื่อ ค.ศ. 1407
  • เหตุอันรุนแรงในชวา เมื่อ ค.ศ. 1407
  • การกดดันข่มขู่พม่าใน ค.ศ. 1409
  • การโจมตีศรีลังกาใน ค.ศ. 1411
  • โจมตีและจับกุม ซู-กาน-ลา (Su-Gan-La) แห่งสมุทรา ค.ศ. 1415
  • ความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่อยุธยา

แหล่งที่มา

WikiPedia: ราชวงศ์หมิง http://english.people.com.cn/english/200012/28/eng... http://jwsr.ucr.edu/archive/vol12/number2/pdf/jwsr... //www.worldcat.org/issn/1076-156X http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsI... https://books.google.com/books?id=8ePxMW066j8C&pg=... https://books.google.com/books?id=cwq4CwAAQBAJ&pg=... https://books.google.com/books?id=hUEswLE4SWUC&pg=... https://web.archive.org/web/20070222011511/http://... https://www.jstor.org/stable/4527509