หลิว จ่าว
หยาง อิงจวี
หมิงรุ่ย †[1] เอ๋อเอ่อร์เติงเอ๋อ
อาหลี่กุย
†[1] ฟู่ เหิง †[1] อาหลี่กุ่น
† อากุ้ย อะแซหวุ่นกี้ มหาซีตู เนเมียวสีหตู บาลามินดิน เนเมียวสีหบดี เต็งจามินกอง
ปีแยร์เดอมิลารด์
กองธงเขียวมองโกลกองทัพไทใหญ่ทั้งหมด: ทหารราบ 5,000, ทหารม้า 1,000
[note 1] ครั้งที่ 2 ทั้งหมด: ทหารราบ 25,000, ทหารม้า 2,500
[note 1] ครั้งที่ 3 ทั้งหมด: 50,000
[4] ครั้งที่ 4 ทั้งหมด: 60,000
[6] ทั้งหมด: ไม่ทราบ
ครั้งที่ 2 ทั้งหมด: ไม่ทราบ
ครั้งที่ 3 ทั้งหมด: ~ทหารราบ 30,000, ทหารม้า 2,000
[note 2]ครั้งที่ 4 ทั้งหมด: ~40,000
[note 3]'ครั้งที่ 3: 30,000+
[note 4]'ครั้งที่ 4: 20,000+
[7]ทั้งหมด: 70,000+
ถูกจับ 2,500
[8]สงครามจีน–พม่า (
พม่า: တရုတ်-မြန်မာ စစ်,
อักษรจีน: 中緬戰爭, 清緬戰爭) หรือ
การบุกพม่าของราชวงศ์ชิง หรือ
การทัพพม่าแห่งราชวงศ์ชิง (
อังกฤษ: Qing invasions of Burma, Myanmar campaign of the Qing Dynasty)
[9] เป็น
การสงครามระหว่าง
ราชวงศ์ชิงของจีน กับ
ราชวงศ์โก้นบองของพม่า กินเวลา 4 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2308–2312 ตรงกับรัชสมัย
จักรพรรดิเฉียนหลงและ
พระเจ้ามังระการสงครามครั้งนี้เริ่มขึ้นในระหว่างการทำสงครามของอาณาจักรโก้นบองกับอาณาจักรอยุธยา และยาวไปจนถึง
การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ใน พ.ศ. 2310 ในพงศาวดารพม่าระบุว่า พระเจ้ามังระมีพระราชสาส์นให้นายทหารและแม่ทัพในสงครามคราวนี่เร่งรีบกระทำการ และรีบเดินทางกลับ
อังวะเพื่อที่จะเตรียมการรับสงครามคราวนี้[
ต้องการอ้างอิง]เหตุแห่งสงครามมาจากความขัดแย้งระหว่างพม่ากับจีนในเรื่องหัวเมืองไทใหญ่ ซึ่งกองทัพพม่าได้ยกเข้าดินแดนไทใหญ่และรุกคืบไปเรื่อยๆ ทำให้พวกเจ้าฟ้าไทใหญ่ได้ไปขอความช่วยเหลือจากจีน ซึ่งทั้งสองมีพรมแดนติดต่อกันระหว่างจีนกับพม่าทาง
มณฑลยูนนานในปัจจุบัน ซึ่งเคยมีปัญหามาก่อนตั้งแต่ยุค
พระเจ้าบุเรงนองแห่ง
ราชวงศ์ตองอู โดยในครั้งนี้
ราชวงศ์ชิงซึ่งปกครองโดย
จักรพรรดิเฉียนหลง ได้ส่งกองทหารจากแปดกองธงอันเกรียงไกรเข้าทำลายพม่าแต่ก็ต้องผิดหวังทุกครั้ง โดยในระหว่างสงคราม หลิวเจ้าแม่ทัพกองธงเขียว (บุกครั้งที่ 1) หยางอิงจวี่แห่งกองธงเขียว (บุกครั้งที่ 2) รวมถึงพระนัดดา
หมิงรุ่ยแห่งกองธงเหลือง (ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้) ขุนพลเอกแห่งราชวงศ์ชิงผู้พิชิตมองโกลและเติร์ก (บุกครั้งที่ 3) ต้องฆ่าตัวตายหนีความอัปยศเพราะความพ่ายแพ้ โดยในการบุกครั้งที่ 4 จักรพรรดิเฉียนหลงได้เรียกเสนาบดีระดับสูงให้มารวมตัวกันครั้งใหญ่ที่สุดในยุคของพระองค์ ประกอบด้วย
องค์มนตรีฟู่เหิงแห่งกองธงเหลืองขลิบซึ่งเป็นลุงของหมิงรุ่ยผู้มีประสบการณ์ในการรบกับมองโกลมาแล้วอย่างโชกโชน พร้อมด้วยเสนาบดีอีกหลายนายเช่น เสนาบดีกรมกลาโหม
อากุ้ยแห่งกองธงขาว(ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นบิดาบุญธรรมของ
จักรพรรดิเจี่ยชิ่งเช่นเดียวกับฟู่เหิง)
[10] แม่ทัพใหญ่อาหลีกุ่น รวมทั้งเอ้อหนิงสมุหเทศาภิบาลมณฑลยูนนานและกุ้ยโจว (ภายหลังได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม) ให้เตรียมการบุกพม่าเป็นครั้งที่ 4 และทำพิธีส่งกองทัพนี้อย่างยิ่งใหญ่โดยจักพรรดิเฉียนหลงเป็นประธานในพิธี กองทัพนี้ประกอบไปด้วยกำลังพลจากทั้งแปดกองธงและกองธงเขียว ในครั้งนี้กองทัพต้าชิงสามารถรุกเข้าไปในดินแดนของพม่าได้ลึกพอสมควร แต่กองทัพของ
เนเมียวสีหบดีก็กลับมาได้ทัน สงครามเป็นไปอย่างดุเดือดสุดท้ายกองทัพพม่าสามารถล้อมกองทัพต้าชิงเอาไว้ได้ แต่
อะแซหวุ่นกี้ได้ตัดสินใจยุติสงครามที่ปล่าวประโยชน์ครั้งนี้ลง ด้วยการบีบให้กองทัพต้าชิงซึ่งติดอยู่ในวงล้อมตัดสินใจเจรจาสงครามสิ้นสุดลงด้วยการเจรจาและบรรลุ
สนธิสัญญากองตน โดยยึดเอาแนวเขตพรมแดนเดิม
[11] โดยทั้งสองฝ่ายต่างอ้างชัยชนะในสงครามครั้งนี้ และสงครามครั้งนี้ยังทำให้พระเกียรติยศของ
พระเจ้ามังระเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด หลังจากก่อนหน้านี้กองทัพของพระองค์ก็สามารถพิชิตอยุธยาได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน รวมถึง
อะแซหวุ่นกี้แม่ทัพฝ่ายพม่าเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา ก่อนที่จะมีบทบาทสำคัญต่อมาอีกหลายครั้งในภายหลังทั้งทางด้านการเมืองและการศึกสงคราม