การสืบสวนหาผู้ร่วมทำความผิด ของ เรื่องอื้อฉาวการลงทุนแมดอฟฟ์

ผู้สืบสวนได้พยายามสืบหาบุคคลอื่นที่มีส่วนร่วมในธุรกิจนี้ แม้ว่าแมดอฟฟ์จะกล่าวว่า เขามีความผิดในการดำเนินการธุรกิจนี้แต่เพียงผู้เดียว[7]ส่วนทนายผู้หนึ่งที่เป็นตัวแทนผู้ลงทุนหลายรายกล่าวว่า "ต้องมีใครสร้างภาพว่ามีผลกำไร" และเสนอว่า ต้องมีทีมที่คอยขายและซื้อหุ้น ทำบัญชีปลอม และยื่นรายงานให้แก่องค์กรที่ดูแลควบคุม[7]

ส่วนประธานของสมาคมผู้ตรวจสอบการฉ้อฉลที่รับรอง (Association of Certified Fraud Examiners) กล่าวว่า "เพื่อที่จะทำธุรกิจนี้ได้แต่เพียงผู้เดียว เขาจะต้องทำงานทั้งวันทั้งคืน ไม่มีพักร้อนไม่มีเวลาพักเขาจะต้องเลี้ยงดูธุรกิจพอนซี่นี่วันต่อวันและอะไรจะเกิดขึ้นถ้าเขาไม่อยู่ ใครจะดูแลเมื่อมีคนโทรเข้ามาในระหว่างที่เขาพักร้อนแล้วกล่าวว่า 'ฉันต้องการเบิกเงินของฉัน'"[89]

ส่วนทนายตลาดหลักทรัพย์อีกผู้หนึ่งกล่าวว่า การทำรายงานแจ้งบัญชีที่แสดงการค้าขายจะต้องมีส่วนร่วมจากบุคคลอื่น ๆจะต้องมีสำนักงานและบุคคลทำงานสนับสนุน บุคคลที่รู้ว่าราคาหุ้นในตลาดที่กำลังค้าขายคืออะไรจะต้องมีนักบัญชีที่ทำบัญชีของบริษัทให้เข้ากับรายงานแจ้งยอดที่ส่งไปให้ลูกค้า อย่างน้อย ๆ ก็โดยผิวเผิน[89]

  1. บริษัท Cohmad Securities - ที่แมดอฟฟ์เป็นเจ้าของ 10-20% และมีที่อยู่ที่เดียวกับบริษัทของแมดอฟฟ์ในนครนิวยอร์ก SEC โจทประธานกรรมการของบริษัทคือ Maurice J. Cohn ลูกสาวของเขาคือ Marcia Beth Cohn และนายหน้าคือ Robert M. Jaffe ว่าทำผิดฐานฉ้อฉล 4 กระทงใน "การไม่ใส่ใจในความจริงอย่างตั้งใจหรืออย่างหละหลวม ที่แสดงว่าแมดอฟฟ์กำลังทำการฉ้อฉล"[90] ส่วนทรัสตีผู้ทำหน้าที่ตามเงินคืนคือนายพิการ์ด ได้ฟ้องคดีต่อบริษัทด้วย แต่ว่านาย Jaffe ได้ร้องให้ศาลยกฟ้องทั้งในสองกรณี[91]
  2. นาย Stanley Chais ผู้เป็นคนส่งเงินลูกค้าให้แมดอฟฟ์บริหาร - ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 นายพิการด์ฟ้องเพื่อเรียกเงินคืนจากนาย Chais ผู้มีอายุ 82 ปี โดยอ้างว่าเขา "รู้หรือควรจะรู้" ว่ากำลังมีส่วนในธุรกิจพอนซี่เมื่อการลงทุนของครอบครัวของเขาได้รับผลกำไรโดยเฉลี่ย 40% ต่อปี และว่า เขาเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์หลักคนหนึ่งเป็นเวลาอย่างน้อย 30 ปี ทำให้ครอบครัวของเขาสามารถถอนเงินเกินกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 32,993 ล้านบาท) ตั้งแต่ปี 2538 โดยที่ SEC ก็ฟ้องคดีในทำนองเช่นกัน[90][92] ในวันที่ 22 กันยายน 2552 อัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนียฟ้องเรียกค่าเสียหาย 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐบวกค่าชดใช้เหยื่อ โดยอ้างว่า นาย Chais เป็นคนกลางในธุรกิจพอนซี่[93] ต่อมาวันที่ 26 กันยายน 2553 เขาจึงได้เสียชีวิตที่อายุขัย 84 ปีเนื่องจากโรคเลือด[94]
  3. บริษัท Madoff Securities International Ltd. ในนครลอนดอน
  4. นายคาร์ล แชปิโร ผู้เป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับเสื้อผ้าผู้หญิง เป็นเศรษฐีและนักการกุศล เป็นเพื่อนที่เก่าแก่ที่สุดและผู้ช่วยเหลือแมดอฟฟ์มากที่สุด และได้ช่วยแมดอฟฟ์เริ่มบริษัทลงทุนในปี 2503 แต่ว่า นายแชปิโรไม่เคยทำธุรกิจการเงินเอง ในปี 2514 เขาขายธุรกิจเสื้อผ้าได้เงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้วลงทุนกับแมดอฟฟ์โดยมาก ซึ่งงอกเงยเป็นเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ และอาจจะเกิน 1,000 ล้าน นายแชปิโรเองเสียเงินไปประมาณ 400 ล้านเหรียญ โดยที่ 250 ล้านเหรียญลงทุนกับแมดอฟฟ์ 10 วันก่อนที่เขาจะถูกจับ มูลนิธิการกุศลของเขาสูญเงินมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[95] ต่อมาในเดือนธันวาคม 2553 นายแชปิโร บุคคลและองค์กรอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กัน ได้ตกลงให้รัฐบาลกลางริบทรัพย์รวมกันเป็นจำนวน 625 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 18,712 ล้านบาท) ซึ่งเป็นวงเงินที่มากกว่าทรัพย์สินสุทธิที่นายแชปิโรและภรรยามี และมากกว่ารายได้ปลอมที่ถอนจากกองทุนของแมดอฟฟ์ เพื่อเปลื้องตนจากการฟ้องคดีแพ่งของรัฐบาล แม้ว่าจะไม่ได้เปลื้องความผิดทางอาชญากรรมถ้ามี[96]
  5. นาย David G. Friehling อายุ 49 ปี ผู้เป็นนักบัญชีผู้เดียวที่บริษัท Friehling & Horowitz ได้ให้การปฏิเสธความผิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2552 ในคดีการฉ้อฉลหลักทรัพย์ ในฐานช่วยเหลือและสนับสนุนการฉ้อฉลและยื่นเอกสารตรวจสอบบัญชีปลอมให้แก่ SEC[97] ต่อมาวันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 เขาจึงให้การสารภาพผิด[98] บทบาทของเขาช่วยทำกรณีนี้ให้เป็นการฉ้อฉลทางบัญชีที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ใหญ่ยิ่งกว่าการฉ้อฉล 11,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 507,526 ล้านบาท) ของบริษัท WorldCom ที่พบในปี 2545
  6. ปีเตอร์ แมดอฟฟ์ น้องชายของแมดอฟฟ์ อายุ 63 ปี เป็นกรรมการฝ่ายปฏิบัติตามกฎหมาย ทำงานร่วมกับพี่ชายเบอร์นี่กว่า 40 ปี และดำเนินการในกิจประจำวันใน 20 ปีที่ผ่านมา เป็นผู้ช่วยสร้างระบบการค้าขายทางคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ต่อมาวันที่ 20 ธันวาคม 2555 เขาได้ถูกตัดสินจำคุก 10 ปีในฐานะมีส่วนร่วมในการฉ้อฉล[99]
  7. รูธ แมดอฟฟ์ ภรรยาของแมดอฟฟ์ ตกลงที่จะเก็บเหลือทรัพย์สินส่วนตัวเพียง 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทรัพย์สินทั้งหมด 80 ล้านดอลลาร์ โดยเป็นข้อตกลงในการตัดสินคดีของแมดอฟฟ์ แต่ว่า ทรัพย์ที่ว่าไม่ได้รับการป้องกันจากการฟ้องคดีของผู้ลงทุนต่าง ๆ และจากทรัสตีที่พยายามหาทรัพย์มาคืนผู้ลงทุนอื่น ๆ[100] ดังนั้นต่อมาในวันที่ 29 กรกฎาคม 2552 ทรัสตีคือนายปิการ์ด ก็ฟ้องคดีเธอเรียกทรัพย์เป็นจำนวน 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งโจทฟ้องคดีกล่าวว่า "ช่วยให้เธอมีชีวิตที่หรูหรา" ตามสำนวนฟ้องศาล เธอได้รับเงินกว่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากธุรกิจใน 6 ปีที่ผ่านมาเพื่อชำระค่าใช่จ่ายผ่านบัตรเครดิตของเธอ และอีก 2 ล้านเหรียญให้กับธุรกิจที่ช่วยดูแลบำรุงสัตว์เลี้ยง และว่า "รูธ แมดอฟฟ์ไม่ใช่ลูกจ้างของบริษัท BLMIS (บริษัทของแมดอฟฟ์) แต่ว่า เงินเป็นล้าน ๆ เหรียญที่เป็นของ BLMIS และลูกค้ากลับย้ายไปอยู่ในบัญชีส่วนตัวของเธอโดยไม่มีเหตุผลทางธุรกิจที่สมควรหรือเป็นประโยชน์ต่อบริษัทใด ๆ แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวของเธอกับเบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์"[101] ก่อนที่ธุรกิจจะล้ม คือวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 เธอเบิกเงิน 5.5 ล้านดอลลาร์ และวันที่ 10 ธันวาคม 2551 เบิกอีก 10 ล้านดอลลาร์จากบัญชีของเธอที่บริษัท Cohmad ซึ่งเป็นบริษัทที่ส่งเงินให้แมดอฟฟ์ ที่มีสำนักงานเดียวกับสำนักงานใหญ่ของแมดอฟฟ์ และที่แมดอฟฟ์เป็นหุ้นส่วน[102][103] นอกจากนั้นแล้ว ในเดือนพฤศจิกายน เธอยังได้รับเงินอีก 2 ล้านดอลลาร์จากบริษัทสามีของเธอในลอนดอน คือ Madoff Securities International Ltd[104][105] แต่ว่า เธอไม่ได้ถูกฟ้องในฐานะทำผิดกฎหมายใด ๆ และผู้ดำเนินคดีก็ไม่เคยสอบความกับเธอ[106] มีคนเห็นเธอใช้รถไฟใต้ดินในนครนิวยอร์ก และเธอก็ไม่ได้ไปฟังศาลตัดสินคดีสามีของเธอ[107][108]
  8. ลูกชายของแมดอฟฟ์ คือ มาร์ก (อายุ 45 ปี) และแอนดรู (อายุ 42 ปี) ได้ทำงานในแผนกค้าขายหุ้นของสำนักงานในนิวยอร์ก แต่ก็ได้หาเงินจากนักลงทุนเพื่อลงทุนในกองทุนของบิดาของตนด้วย[109] ทรัพย์สินของพวกเขาถูกอายัดในวันที่ 31 มีนาคม 2552[110] ทั้งสองได้ห่างเหินไปจากบิดาของตนตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2551 และไม่ได้คุยกับมารดาของตนตั้งแต่นั้น[108] ซึ่งบางคนเชื่อว่า เป็นเพียงแค่การแสดงละครเพื่อปกป้องทรัพย์สินของตนจากการถูกฟ้อง[111] ในวันที่ 2 ตุลาคม 2552 ทรัสตีปิการ์ดได้ฟ้องเอาทรัพย์รวมมูลค่า 198,743,299 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6,657 ล้านบาท) จากลูกชายรวมทั้งพี่ชายและหลานสาวของแมดอฟฟ์[112][113] ต่อมาวันที่ 15 มีนาคม 2553 ลูกชายทั้งสองได้ร้องศาลให้ยกฟ้อง[114] แต่ว่า ในวันที่ 11 ธันวาคม 2553 ซึ่งเป็นวันครบปีที่ 2 ของการจับกุมแมดอฟฟ์ มีคนพบนายมาร์กผูกคอตายในห้องพักของเขา[115] ส่วนนายแอนดรูต่อมาเสียชีวิตในวันที่ 3 กันยายน 2557 ด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง[116]
  9. Frank DiPascali อายุ 52 ปี ที่เรียกตัวเองว่า "ผู้อำนวยการค้าขายสัญญาซื้อขายในอนาคต" และ "ประธานกรรมการฝ่ายการเงิน" ของบริษัท Madoff Securities ยอมรับผิดในวัน 11 สิงหาคม 2009 ในข้อหา 10 กระทงคือ[117] การรวมหัวคบคิด การฉ้อฉลหลักทรัพย์ การฉ้อฉลโดยการให้คำปรึกษาการลงทุน การฉ้อฉลทางไปรษณีย์ การฉ้อฉลทางการสื่อสาร การเบิกความเท็จ การหลีกเลี่ยงภาษีรายได้ การซักฟอกเงินระหว่างประเทศ การปลอมแปลงเอกสารและบันทึกในฐานเป็นนายหน้า และฐานเป็นผู้ให้คำปรึกษาการลงทุน เขาได้ตกลงที่จะให้รายละเอียดในคดีและให้รายละเอียดเกี่ยวกับผู้ทำผิดอื่น ๆ โดยจะถูกตัดสินในเดือนพฤษภาคม 2553[118] ผู้ดำเนินคดีต้องการริบทรัพย์จำนวน 170,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับที่ทำกับแมดอฟฟ์ ซึ่งเท่ากับเงินที่ได้จากนักลงทุนและจ่ายให้นักลงทุนอื่น[119] และในวันเดียวกัน SEC ก็ฟ้องคดีแพ่งต่อนาย DiPascali ด้วย[120] เขาถูกขังสองอาทิตย์ก่อนที่จะปล่อยตัวเพื่อฟังคำตัดสิน แต่ในวันที่ 7 พฤษภาคม เขาได้เสียชีวิตเพราะมะเร็งปอดในขณะที่ยังรอฟังคำตัดสิน[121]
  10. Enrica Cotellessa-Pitz ผู้ควบคุมบัญชีของบริษัท Bernard L. Madoff Investment Securities LLC แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้สอบบัญชีที่ได้รับอนุญาต แต่เช็คของบริษัทที่สั่งจ่ายให้กับบริษัท Cohmad Securities มีลายเซ็นของเธอ โดยจ่ายเป็นค่าคอมมิชชั่น เธอเป็นผู้อำนวยการติดต่อระหว่าง SEC และ BLMIS เกี่ยวกับการบัญชีของบริษัท[122]
  11. บริษัท Fairfield Greenwich Group มีกองทุน "Fairfield Sentry" ซึ่งส่งเงินลูกค้าให้แมดอฟฟ์บริหาร วันที่ 1 เมษายน 2542 รัฐแมสซาชูเซตส์ฟ้องคดีแพ่งโจทบริษัทว่า ทำการฉ้อฉล ไม่ดูแลผลประโยชน์ให้ลูกค้าเพราะไม่ได้ตรวจสอบการลงทุนให้ดี โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับ และคืนเงินให้กับผู้ลงทุนชาวแมสซาชูเซตส์ สำหรับทรัพย์สินที่สูญเสียไป และการขอคืนค่าธรรมเนียมและค่าบริการที่จ่ายให้แก่บริษัทโดยนักลงทุนที่เสียทรัพย์สิน คำฟ้องอ้างว่าในปี 2548 แมดอฟฟ์ได้สอนให้พนักงานของบริษัทตอบคำถามทนายของ SEC ที่กำลังตรวจสอบคำร้องของนายแฮร์รี่ มาโกโปโลส เกี่ยวกับการดำเนินงานของแมดอฟฟ์[123][124] รัฐบาลไม่มีแผนที่จะตกลงกันนอกศาลทั้ง ๆ ที่บริษัทก็ได้เสนอว่าจะคืนเงินให้กับนักลงทุนชาวแมสซาชูเซตส์ทั้งหมด และมีแผนที่จะบังคับให้บริษัทอธิบายอีเมลและหลักฐานอื่น ๆ ที่แสดงว่า เจ้าหน้าที่บริษัทรู้ถึงปัญหาเกี่ยวกับแมดอฟฟ์แต่ไม่แจ้งแก่ลูกค้า[125][126] ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2542 ทรัสตีคือนายปิการ์ดได้ฟ้องบริษัทเพื่อเรียกเงินคืน 3,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 110,447 ล้านบาท) ในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2545-ธันวาคม 2551[127] แต่ว่า เงินอาจจะอยู่ในมือของลูกค้าบริษัทแล้ว ซึ่งนายปิการ์ดจะไม่สามารถเรียกคืนได้เพราะไม่ใช่ลูกค้าโดยตรงของแมดอฟฟ์[128]
  12. นาย J. Ezra Merkin ผู้เป็นผู้ให้คำปรึกษาการลงทุนและนักการกุศลชื่อดัง ได้ถูกฟ้องในศาลเกี่ยวกับบทบาทเป็นผู้บริหารกองทุนที่ส่งเงินต่อให้แมดอฟฟ์[129] วันที่ 6 เมษายน 2552 อัยการสูงสุดของรัฐนิวยอร์กได้ฟ้องคดีแพ่งในฐานฉ้อฉล[130] โดยกล่าวหานาย Merkin ว่า "ทรยศผู้ลงทุนเป็นร้อย ๆ" โดยย้ายเงินของลูกค้า 2,400 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 84,894 ล้านบาท) ไปเข้ากองทุนของแมดอฟฟ์โดยไม่ได้แจ้งลูกค้า สำนวนฟ้องแสดงว่า เขาได้โกหกเกี่ยวกับการลงทุนกับแมดอฟฟ์ ไม่เปิดเผยความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และได้รับค่าธรรมเนียมเป็นจำนวน 470 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 16,625 ล้านบาท) จากกองทุนที่เขาบริหาร 3 กองทุน แม้ว่าเขาได้สัญญาว่าจะบริหารกองทุนเองอย่างแข็งขัน แต่ความจริงเป็นการลวงผู้ลงทุนในเรื่องการลงทุนกับแมดอฟฟ์ ลวงทั้งในรายงานประจำไตรมาศ ในการเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน และในการสนทนากับนักลงทุน คือ "นาย Merkin แสดงตัวเองว่าเป็นกูรูการลงทุน แต่ความจริงแล้ว เป็นเพียงแต่ผู้เชี่ยวชาญในการวางตลาด"[131][132][133][134]
  13. นายเจฟฟรีย์ พิเคาเออร์ และภรรยาคือนางบาร์บารา มีบัญชีกับแมดอฟฟ์อยู่กว่า 2 โหล เขาเคยทำงานเป็นทนาย นักบัญชี และนักลงทุนที่ซื้อขายบริษัทดูแลสุขภาพและบริษัทเทคโนโลยี มูลนิธิการกุศลของนาย Picower เคยกล่าวว่า มูลนิธิมีบัญชีกองทุนกับแมดอฟฟ์ที่มีค่าเกือบ 1,000 ล้านเหรียญในครั้งหนึ่ง[95] ต่อมาในวันที่ 25 ตุลาคม 2552 นาย Picower เมื่อมีอายุ 67 ปี ได้เสียชีวิตจากกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือดแล้วจมน้ำตายในสระน้ำในบ้าน[135] แล้วในวันที่ 17 ธันวาคม 2553 ผู้จัดการมรดกของเขาได้ตกลงให้ยึดทรัพย์เป็นจำนวน 7,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 217,145 ล้านบาท) เพื่อนำไปจ่ายคืนผู้ลงทุนอื่น ๆ[136]
  14. บริษัท Tremont Group Holdings เริ่มกองทุนที่ส่งเงินให้กับแมดอฟฟ์โดยส่วนเดียวในปี 2540[137] ในเดือนธันวาคม 2553 ทรัสตีคือนายปิการ์ดฟ้องบริษัทเรียกร้องเงินเป็นจำนวน 3,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 89,939 ล้านบาท) ที่ผู้ลงทุนสูญเสียเพราะแมดอฟฟ์[138] สำนวนคดีอ้างว่า บริษัทไม่ได้ตรวจสอบแมดอฟฟ์อย่างเป็นกลาง ที่สมเหตุผล ที่มีความหมาย[138][139] ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2554 บริษัทจึงได้ยอมตกลงนอกศาลโดยจ่ายเงินเป็นจำนวน 1,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 29,564 ล้านบาท)[139][140]
  15. บริษัท Maxam Capital ที่ลงทุนผ่านบริษัท Tremont โดยที่ผู้จัดตั้งบริษัทคือ Sandra L. Manzke ถูกอายัดทรัพย์ชั่วคราว[141]
  16. นาย Daniel Bonventre ซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการฝ่ายดำเนินงานของ BMIS[142][143][144]
  17. Joann Crupi (เมืองเวสต์ฟิลด์ รัฐนิวเจอร์ซีย์) และ Annette Bongiorno (เมือง Boca Raton รัฐฟลอริดา) ถูกจับเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 เป็นพนักงานฝ่ายสนับสนุนที่ "เจ้าหน้าที่ได้กล่าวว่า Bongiorno เป็นหัวหน้าพนักงานและมีหน้าที่ตอบคำถามของลูกค้าของแมดอฟฟ์เกี่ยวกับบัญชีของตน เจ้าหน้าที่อ้างว่า เธอเป็นหัวหน้าในการทำเอกสารปลอม"
  18. Jerome O’Hara และ George Perez ซึ่งเป็นลูกจ้างเก่าแก่ของ BLMIS ถูกกล่าวหาโดยมีความผิด 33 กระทง[145]

ใกล้เคียง

เรื่องหัวใจ ไม่ไหวอย่าฝืน เรื่องเล่าเช้านี้ เรื่องอื้อฉาวการลงทุนแมดอฟฟ์ เรื่องพิศวง เด็กสาว และเทพลักซ่อน เรื่องฝันปั่นป่วยของผม เรื่องจริงหลังไมค์ของคู่หูยัยนักพากย์ เรื่องอื้อฉาวฟุตบอลไทย พ.ศ. 2560 เรื่องราวอีเหละเขะขะของแม่ลูกแม่มด เรื่องตลก 69 เรื่องเล่าการทรงสร้างในปฐมกาล

แหล่งที่มา

WikiPedia: เรื่องอื้อฉาวการลงทุนแมดอฟฟ์ http://www.theaustralian.news.com.au/business/stor... http://business.smh.com.au/business/madoffs-assets... http://www.cbc.ca/money/story/2009/06/29/madoff-po... http://www.1010wins.com/pages/3547010.php http://news.aol.com/article/did-bernard-madoff-act... http://www.bloomberg.com/apps/news?pid=20601039&si... http://www.bloomberg.com/apps/news?pid=20601087&si... http://www.bloomberg.com/apps/news?pid=20601087&si... http://www.bloomberg.com/apps/news?pid=20601087&si... http://www.bloomberg.com/apps/news?pid=20601087&si...