การวินิจฉัย ของ ไข้เด็งกี

อาการเตือน[26]
ปวดท้อง
อาเจียนมาก
ตับโต
เลือดออกในเยื่อบุ
ความเข้มข้นเม็ดเลือดแดงสูง เกล็ดเลือดต่ำ
อ่อนเปลี้ย

การให้การวินิจฉัยไข้เลือดออกส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่ระบาด เช่น ประเทศไทย เป็นการวินิจฉัยทางคลินิก อาศัยอาการและผลการตรวจร่างกาย[7] อย่างไรก็ดีอาการระยะแรกของไข้เลือดออกแยกจากการติดเชื้อไวรัสอื่นได้ยาก[11] สำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ระบาด อาการที่น่าสงสัยว่าอาจจะเป็นไข้เลือดออกคืออาการไข้ร่วมกับอาการสองอย่างจากอาการต่าง ๆ ต่อไปนี้ คลื่นไส้อาเจียน ผื่น ปวดตามตัว เม็ดเลือดขาวต่ำ การทดสอบทูนิเกต์ผลบวก หรืออาการเตือนใด ๆ ตามตาราง[26] ซึ่งอาการเตือนเหล่านี้มักปรากฏก่อนโรคดำเนินไปเป็นไข้เลือดออกรุนแรง[15] การทดสอบทูนิเกต์เป็นการตรวจที่มีประโยชน์มากในพื้นที่ที่ไม่สามารถส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการได้ทันที ทำโดยใช้เครื่องวัดความดันโลหิตพันรอบแขนและรัดไว้ให้ความดันโลหิตอยู่ระหว่างความดันช่วงหัวใจบีบและความดันช่วงหัวใจคลาย ห้านาที จากนั้นนับจุดเลือดออกที่ปรากฏขึ้น ยิ่งมีจุดมากก็ยิ่งมีความน่าจะเป็นของการเป็นไข้เลือดออกมาก[15]

ควรวินิจฉัยทุกคนที่มีไข้ในสองสัปดาห์หลังเดินทางไปในเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน[13] โรคไข้เด็งกีแยกจากไข้ชิคุนกุนยาได้ยาก ซึ่งโรคนี้เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มีอาการคล้ายกันและยังระบาดในหลายพื้นที่ซึ่งโรคไข้เลือดออกระบาดด้วย[14] บ่อยครั้งต้องใช้การตรวจอื่น ๆ เพื่อแยกโรคที่ทำให้เกิดอาการคล้ายกัน เช่น มาลาเรีย ฉี่หนู ไข้รากสาดน้อย ไข้กาฬหลังแอ่น โรคหัดและไข้หวัดใหญ่[11] ไข้ซิกาก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่มีอาการคล้ายไข้เด็งกี[27]

ความผิดปกติที่พบได้เร็วที่สุดจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการคือการพบเม็ดเลือดขาวต่ำ ซึ่งต่อมาอาจพบมีเกล็ดเลือดต่ำและเลือดเป็นกรดเหตุเมตาบอลิกได้[11] ระดับอะมิโนทรานสเฟอร์เรส (AST และ ALT) จากตับที่สูงขึ้นพอสมควรมักสัมพันธ์กับเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดขาวต่ำ[13] ในกรณีที่มีอาการรุนแรง การรั่วของพลาสมาจะทำให้ตรวจพบเลือดมีความเข้มข้นสูง (พบฮีมาโตคริตสูง) และอัลบูมินในเลือดต่ำ[11] ภาวะมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดและท้องมานอาจพบได้จากการตรวจร่างกายหากเป็นมาก ๆ[11] แต่อาจตรวจพบได้เร็วขึ้น จากการใช้การตรวจอื่น ๆ เช่น การตรวจด้วยคลื่นอัลตราซาวนด์ ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจพบผู้ป่วยที่จะกลายเป็นกลุ่มอาการช็อคจากไข้เลือดออกได้เร็วขึ้นในระยะแรก[7][11] แต่ยังมียังข้อจำกัดเนื่องจากจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพง ซึ่งไม่ได้มีในสถานพยาบาลทุก ๆ ที่[7] กลุ่มอาการช็อคเด็งกียังพบได้หากความดันชีพจรลดลง ≤ 20 มม. ปรอท ร่วมกับระบบไหลเวียนโลหิตส่วนปลายล้มเหลว[13] ระบบไหลเวียนโลหิตส่วนปลายล้มเหลวในเด็กสังเกตจากมีการเติมเต็มเลือดกลับเข้าเส้นเลือดฝอย (capillary refill) นาน หัวใจเต้นเร็ว หรือมือเท้าเย็น[15]

การจำแนกประเภท

ระบบการจำแนกประเภทไข้เลือดออกเด็งกีขององค์การอนามัยโลกฉบับ พ.ศ. 2552 จำแนกไข้เลือดออกเด็งกีเอาไว้เป็นสองประเภท คือชนิดไม่มีภาวะแทรกซ้อนและชนิดรุนแรง[7][26] โดยใช้แทนระบบจำแนกประเภทฉบับ พ.ศ. 2550 ซึ่งมีรายละเอียดมากกว่า เนื่องจากต้องการให้การจำแนกประเภทมีความเข้าใจง่าย อย่างไรก็ดีระบบจำแนกประเภทแบบเดิมก็ยังคงมีผู้ใช้อยู่อย่างกว้างขวาง[26] โดยระบบ พ.ศ 2550 นี้ได้จำแนกประเภทของไข้เลือดออกเด็งกีเอาไว้เป็น ไข้ซึ่งจำแนกประเภทไม่ได้ (undifferentiated fever), ไข้เด็งกี (dengue fever) และไข้เลือดออกเด็งกี (dengue hemorrhagic fever) [11][28] โดยสำหรับประเภทไข้เลือดออกเด็งกีเองก็แบ่งออกเป็นระดับ (grade) 1-4 โดยระดับ 1 ผู้ป่วยจะมีไข้และมีอาการเบื้องต้นของ "เลือดออก" ได้แก่มีจ้ำเลือดตามตัวง่ายหรือทูนิเกต์เทสท์ให้ผลบวก, ระดับ 2 จะมีเลือดออกเองจากผิวหนังหรือที่อื่น, ระดับ 3 มีอาการช็อค และระดับ 4 ช็อครุนแรงจนไม่สามารถวัดความดันโลหิตและชีพจรได้[28] ไข้เลือดออกเด็งกีระดับ 3 และ 4 เรียกรวมว่า "กลุ่มอาการช็อคจากเด็งกี" (dengue shock syndrome) [26][28]

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

อาจสามารถวินิจฉัยไข้เลือดออกได้ด้วยการตรวจทางจุลชีววิทยาหรือการตรวจหาเชื้อก่อโรค[26] ซึ่งอาจทำได้โดยการแยกเชื้อไวรัสด้วยการเพาะเลี้ยงเซลล์ การตรวจหาสารพันธุกรรมด้วยปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส การทางวิทยาเซรุ่มเพื่อตรวจหาแอนติเจนของไวรัสด้วยปฏิกิริยาการจับกับแอนติบอดี[20][29] โดยการแยกเชื้อไวรัสและการตรวจหาสารพันธุกรรมเป็นการตรวจที่ให้ผลแม่นยำกว่าการตรวจหาแอนติบอดี แต่การตรวจเหล่านี้ยังไม่มีการใช้แพร่หลายเนื่องจากยังมีราคาสูงมาก[29] และยังอาจให้ผลลบ (ตรวจไม่พบ) ได้ในผู้ป่วยระยะแรก[11][20]

การตรวจเหล่านี้จะมีคุณค่าช่วยในการวินิจฉัยก็ต่อเมื่อทำในการป่วยระยะเฉียบพลัน ยกเว้นการตรวจทางวิทยาเซรุ่ม การตรวจหาแอนติบอดี IgG และ IgM ที่จำเพาะต่อชนิดของไวรัสให้ประโยชน์เป็นการยืนยันการวินิจฉัยในระยะท้าย ๆ ของการดำเนินโรค ร่างกายจะเริ่มผลิต IgG และ IgM หลังจากติดเชื้อไปแล้ว 5-7 วัน ระดับ IgM จะตรวจพบได้สูงสุดหลังการติดเชื้อครั้งแรก แต่ในการติดเชื้อครั้งที่สองหรือสามก็ยังมีการผลิต IgM อยู่เช่นกันแม้จะไม่มากเท่า หลังการติดเชื้อครั้งแรก 30-90 วัน ระดับ IgM จะลดลงจนไม่สามารถตรวจพบได้ โดยในการติดเชื้อที่ไม่ใช่ครั้งแรก ระดับ IgM จะลงลงเร็วกว่านี้ ในทางกลับกัน IgG จะยังคงอยู่ให้ตรวจพบได้นานกว่า 60 ปี แม้จะไม่มีอาการเลยก็ตาม จึงมีประโยชน์ในการตรวจว่าเคยติดเชื้อมาก่อนหรือไม่ เมื่อมีการติดเชื้อครั้งแรก ระดับ IgG จะเพิ่มขึ้นจนถึงระดับสูงสุดที่ 14-21 วัน และในการติดเชื้อครั้งต่อ ๆ มา ระดับจะขึ้นสูงเร็วกว่าและสูงมากกว่า ทั้ง IgG และ IgM เป็นสารภูมิคุ้มกันที่มีผลป้องกันการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ (ซีโรไทป์) นั้น ๆ การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อหาระดับ IgG และ IgG นั้นอาจมีการแสดงปฏิกิริยาข้ามกันระหว่างไวรัสอื่น ๆ ในกลุ่มฟลาวิไวริดีได้ เช่น ไวรัสไข้เหลือง ทำให้การแปลผลการตรวจมีความซับซ้อนและยากมากขึ้น[14][20][30] การตรวจหาระดับ IgG เพียงอย่างเดียวนั้นจะใช้เป็นเกณฑ์การวินิจฉัยไข้เลือดอองเด็งกีได้ก็ต่อเมื่อเก็บห่างกัน 14 วัน และพบว่ามีระดับเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่าเท่านั้น ส่วนการตรวจ IgM ในผู้ป่วยที่มีอาการนั้น สามารถใช้ในการวินิจฉัยได้[30]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ไข้เด็งกี http://en.tempo.co/read/news/2016/10/17/310812742/... http://edition.cnn.com/2016/04/06/health/dengue-fe... http://www.diseasesdatabase.com/ddb3564.htm http://linkinghub.elsevier.com/retrieve/pii/S11987... http://www.emedicine.com/med/topic528.htm http://books.google.com/books?id=nsh48WKIbhQC&pg=P... http://www.icd9data.com/getICD9Code.ashx?icd9=061 http://www.nature.com/nrmicro/journal/v8/n12_supp/... http://www.neurologyindia.com/article.asp?issn=002... http://www.sanofipasteur.com/en/articles/dengvaxia...