การสงครามและเหตุการณ์หลังเสวยราชย์นครเชียงดงเชียงทอง ของ พระเจ้าฟ้างุ้ม

อาณาจักรล้านนาและสิบสองพันนายอมอ่อนน้อมถวายพระราชธิดาและปักปันเขตแดนทิศเหนือและพายัพ

หลังสถาปนาเมืองสี่หมื่นทางน้ำและเมืองสี่หมื่นทางบกทรงเสด็จตรวจพลที่สบท่าได้พลลาว ๔๐๐,๐๐๐ ยาย (เย้า) และแกว ๑๐๐,๐๐๐ ช้าง ๕๐๐ จึงเสด็จไปเอาเมืองหินและเมืองงาว (อำเภองาว จังหวัดลำปาง) ยกพลตั้งที่คอนมูล (ดอนมูน) ของล้านนา เจ้าเมืองล้านนาคือพระยาสามผยารวมพล ๔๐๐,๐๐๐ เอาเมืองเชียงแสนมาขึ้นล้านนาให้เสนาชื่อแสนเมืองถือพลสู้รบ พระองค์ทรงขี่ช้างนามเชียงทองว่ายข้ามน้ำกกเข้ารบ ขวากิมชนช้างชนะแสนเมืองจึงฆ่าตายกับคอช้าง พระยาสามผยาพ่ายหนีเข้าเวียงล้านนาเชียงฮาย (เชียงราย) ทรงไล่ตามถึงเมืองแพว เมืองเลม เมืองไฮ บ้านยู เมืองยอง หัวพวง หัวฝาย จนถึงเมืองลื้อ เมืองเขิน และเมืองเชียงแข็งในสิบสองพันนาและอาณาจักรมาวหลวง (รัฐฉาน เมียนมา) พระยาสามผยาเกรงเดชานุภาพยอมอ่อนน้อมแล้วโปรดฯ ให้หมื่นกุมกาม (เจ้าเวียงกุมกาม จังหวัดเชียงใหม่) หมื่นชูน หมื่นกางเมืองเชียงฮายขอส่งส่วยข้าวพันคานสัญญาว่า "...เมื่อใดลูกผู้ข้านางน้อยอ่อนสอยังใหญ่ได้ ๑๖ ปีจักให้เมือปัดเสื่อปูหมอนแก่เจ้าฟ้าชะแด บัดนี้ยังน้อยขอแก่เจ้าฟ้าเอาแต่เวียงผาใดไปให้เป็นบ้านเมืองเจ้าฟ้าข้อยท่อน..." พระยาสามผยาถวายเขตแดนแก่ล้านช้างแล้วแต่งคำมาถวาย ๒๐,๐๐๐ เงิน ๒๐๐,๐๐๐ พร้อมแหวนนิลลูกหนึ่งชื่อยอดเชียงแสน แก้วพิฑูรย์ลูกหนึ่งชื่อยอดเชียงฮาย แหวนแดงลูกหนึ่งชื่อมณีฟ้าหลวง (ฟ้าล่วง) ถวายแก่พระองค์ และแต่งเงินคำจำนวนมากให้แก่เสนาผู้ใหญ่ของพระองค์ทุกคน[39] ซึ่งหลักฐานส่วนนี้เอกสารประวัติศาสตร์ฝ่ายล้านนาทั้งพื้นเมืองเชียงแสนและพื้นเมืองน่านละไว้ไม่กล่าวถึง[40]

เสด็จกลับนครเชียงดงเชียงทองและพระราชทานโอวาทแก่ประชาชน

หลังเสร็จศึกกับล้านนาพระยาฟ้างุ้มทรงล่องพลกลับเมืองล้านช้างกวาดข้าเก่า (ข่าที่อาศัยในเมืองซวาตั้งแต่สมัยก่อนขุนลอ) ตั้งแต่หัวน้ำทาถึงเมืองกอ เมืองหลา จนแดนลื้อทุกแห่งมาไว้ในล้านช้างเหลือไว้สืบเชื้อเพียง ๔ เมืองเฉพาะที่ภูคุม ภูจอมแลง ภูคางอย่างละ ๒๐ ครัว จากนั้นพระราชทานพระราโชวาทสั่งสอนว่า "...สูอย่าบ่าอย่างานแก่ไทแก่ลาว สูอย่ายาดเอาสิ่งเอาของลาวอันใดก็ดี อนึ่งสูหากผิดกันแลว่าจักไปรบไปเลวกันก็ดีให้สูจื่อความกูสิ่งนี้ มื้อกาบ มื้อฮับ มื้อฮวย มื้อเมิง มื้อเบิก ห้ามื้อนี้ให้เป็นมื้อเสิกสูจักรบจักเลวกันก็ตามสู มื้อกัด มื้อกด มื้อฮ้วง มื้อเตา มื้อกา ห้ามื้อนี้อย่าให้สูรบเลวกัน อย่าให้หยุบเอาควายบายเอาคนกัน ผู้ใดหากบ่ฟังยังความกูสิ่งนี้ หินหน่วยนี้กูเอาแต่สบคานเชียงดงเชียงทองพุ้นมาไว้แก่สูนี้แล้วหินหน่วยนี้หนักสองพันห้าฮ้อยห้าบาท ผู้ใดหากบ่ฟังความกูอันเป็นเจ้าแผ่นดินเชียงดงเชียงทองนี้ให้สูทั้งสี่ขุนราชนี้สั่งเอาเงินท่อหินหน่วยนี้ เล่าเอาควายโตหนึ่งกินแก่สู อย่าให้กันสั่งว่าดังนี้ อย่าฮื้อฮอกคอกครัวกัน..." เสร็จแล้วโปรดฯ นำข้าเหล่านั้นล่องมาไว้บนภูบ่อนโปรดฯ ให้เชียงโปะและเชียงพาปกครอง นาน ๒ ปีจึงเสด็จถึงนครเชียงดงเชียงทองพบหน้าพระราชโอรสครั้งแรกพระนามท้าวอุ่นเฮือนซึ่งภายหลังเสวยราชย์เป็นพระยาสามแสนไท รวมข้าเก่าทั้งหญิงชายน้อยใหญ่ได้มา ๑๐๐,๐๐๐ โปรดฯ ให้ขวากิมเป็นเจ้าเป็นล่ามแก่ข้าเหล่านั้น[41]

เผด็จศึกนครหลวงเวียงจันทน์และเวียงคำ

จากนั้นทรงยกพลล่องจากเมืองชะวาโปรดฯ ให้บาโบและบาจีแข้เป็นหัวหน้าถือพลไปเมืองซาย (ด่านซ้ายหรือซายขาว) ท้าวไค (ไค้) หลานขุนเค็ดขุนคานเมืองซายถือพลออกรบจนแพ้ จึงโปรดฯ แต่งตั้งบาโบเป็นชาย (พระยาซ้าย) คนเรียกว่าว่าชายโบ (ซ้ายโบ) ต่อมาล่องไปคอแก่ง (คอแก้ง) ชายบาโบและบาจีแข้ถือพลตั้งอยู่ท่านาเหนือเขตนครหลวงเวียงจันทน์ ท้าวเชียงมุงกษัตริย์เวียงจันทน์และพระยาเภากษัตริย์เวียงคำ ๒ พ่อลูกถือพล ๒๐๐,๐๐๐ ช้าง ๕๐๐ ออกรบ ท้าวเชียงมุงทรงช้างวังบุรีสูง ๘ ศอก พระยาเภาทรงช้างแสนนางคอยสูง ๙ ศอก บาโบขี่ช้างแผ่วจักรวาฬและบาจีแข้ขี่ช้างขวานลวงฟ้าตั้งพลอยู่ถินจำปี ส่วนพระองค์ทรงช้างห่มเชียงทองตั้งอยู่ท่านาเหนือ ท้าวเชียงมุงแลพระยาเภาออกรบถูกลวงเข้าชนช้างบริเวณนั้นจึงเรียกว่าหนองลวง ฝ่ายบาจีแข้ชนช้างท้าวเชียงมุงชนะฆ่าตายคาหัวช้าง บาโบและขวากิมชนช้างพระยาเภาช้างพระยาเภาขาแข็งพ่ายหนีกลับเวียงคำพระองค์จึงยกพลเข้าตั้งอยู่เวียงจันทน์ โปรดฯ ให้บากิม บาเสียม บาจีแข้ถือพลตีเอาเวียงคำแต่ไม่ได้ ทั้ง ๓ กลับมาเล่าถวายพระองค์ว่า "...เวียงไม้ไผ่ขัดนัก พระยาเภาบ่ออกมาชนเอายากนัก..." พระองค์เห็นว่าไม่ยากทรงใช้พระสติปัญญาให้ตีเงินตีคำทำเกียงปืนแก่ไพร่พลแล้วส่งพระราชสาส์นบอกขุนทั้ง ๓ ให้คุมเวียงไว้ใช้ปืนเกียงเงินเกียงคำยิงไปในป่าไม้ไผ่ ๓ วันแล้วกลับมาก่อน ขุนทั้ง ๓ ทำตามแล้วกลับคืนหาพระองค์ทรงเสด็จประทับกับขุนทั้ง ๓ แล้วแต่งพลรบตีเมืองแก่นท้าวถึงเมืองนครไทและเมืองขอบด่านทั้งหมดเพื่อรอเวลาตีเวียงคำ จากนั้นโปรดฯ ให้บาจีแข้เป็นหมื่นแก่ส่วนพระองค์เสด็จมาเวียงจันทน์เพื่อวางแผนตีเวียงคำ ทรงจับพระยาเภาเจ้าเมืองเวียงจันทน์สำเร็จโทษที่เชียงดงเชียงทองโดยใส่ซอง (เครื่องคุมขังชนิดหนึ่ง) มาทางบก แต่สวรรคตที่บ้านถินเมืองวังเวียงก่อนคนจึงเรียกว่าเมืองซองมาถึงปัจจุบัน ส่วนพระองค์เสด็จคืนมาเวียงจันทน์อีกครั้ง[42]

เทครัวข่าเก่าไว้ที่อีสาน

เมื่อเสด็จคืนประทับเวียงจันทน์จึงโปรดฯ รวมช้างรวมพลได้ช้าง ๒,๐๐๐ ม้า ๑,๐๐๐ คน ๖๐๐,๐๐๐ พลเหล่านี้รวมมาตั้งแต่เมืองห้วยหลวง (จังหวัดหนองคาย) ไปถึงแดนเหนือคือเวียงผาใด (อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย) โปรดฯ ให้บาเสียมเป็นหมื่นกระบอง (เสวยเมืองศรีโคตรบูร) แล้วรวมพลตั้งแต่พระน้ำฮุงเชียงสาไปถึงทางใต้คือแดนจาม ด่านละแวก (แดนเขมร) และแดนแกวทางใต้ชื่อเมืองปากวางได้พล ๔๐๐,๐๐๐ ช้าง ๑,๐๐๐ ม้า ๕๐๐ โปรดฯ ให้บากุมเป็นหมื่นจันทร์รวมพลไท (ไตและสยาม) อันเป็นเฮือนบองทองได้ ๓๐๐,๐๐๐ ลาว ๗๐๐,๐๐๐ รวมพลคนเมืองล้านช้างทั้งหมด ๑,๐๐๐,๐๐๐ โปรดฯ ให้ขวากิมนำข้าเก่าไปเทครัวใส่กระแดฟ้าแตบนอกแดนเวียงจันทน์ ๑๐,๐๐๐ ครัว เทครัวใส่หนองหานน้อย (อุดรธานี) หนองหานหลวง (สกลนคร) ภูวานเถ้า ภูวานปาว (ทั้ง ๒ เมืองอยู่ในภูพานหรือแถบน้ำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์)[43] และเชืองชาย (ไม่ทราบว่าคือที่ใด) รวมได้ ๑๐๐,๐๐๐ ครัว[44]

ใกล้เคียง

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ