ประวัติ ของ โรคจิตเภท

จิตแพทย์ชาวสวิสอ็อยเกน บล็อยเลอร์ เป็นผู้บัญญัติคำว่า schizophrenia

ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 จิตแพทย์ชาวเยอรมันเคอร์ต ชไนเดอร์ (Kurt Schneider) ได้ทำรายการอาการโรคจิตที่เขาเชื่อว่าแยกโรคจิตเภทกับโรคทางจิตเวชอื่น ๆซึ่งต่อมาเรียกว่า Schneider's first-rank symptomsรายการรวมทั้งอาการหลงผิดว่าถูกสิ่งภายนอกควบคุม ความเชื่อว่าความคิดถูกใส่เข้าในใจหรือถูกดึงออกจากใจ ความเชื่อว่าความคิดของตนถูกกระจายให้คนอื่นรู้ หรือประสาทหลอนได้ยินเสียงพูดที่วิพากษ์วิจารณ์ความคิดหรือพฤติกรรมของตนหรือเสียงพูดที่กำลังคุยกับคนที่ไม่มีอื่น ๆ[218]แม้รายการนี้จะมีอิทธิพลอย่างสำคัญต่อเกณฑ์วินิจฉัยปัจจุบัน ความจำเพาะของอาการในรายการนี้ปัจจุบันเป็นเรื่องไม่แน่นอนงานทบทวนงานศึกษาเรื่องการวินิจฉัยที่ทำระหว่างปี 1970-2005 พบว่า ไม่สามารถยืนยันหรือปฏิเสธข้ออ้างของหมอชไนเดอร์ได้ แล้วจึงระบุว่า ควรเลิกเน้นรายการนี้ในระบบการวินิจฉัยฉบับต่อ ๆ ไป[219]แต่การไม่มีอาการเหล่านี้ก็อาจชี้ว่ามีโรคอื่น ๆ[23]

ประวัติของโรคค่อนข้างซับซ้อน จึงกล่าวเป็นเรื่องต่อกันเป็นเรื่องเดียวได้ยาก[220]อาการคล้ายกับโรคจิตเภทเชื่อว่ามีน้อยในประวัติก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19 แม้รายงานเรื่องพฤติกรรมที่ไม่สมเหตุผล เข้าใจได้ยาก ควบคุมไม่ได้ จะเป็นเรื่องสามัญรายงานคนไข้อย่างละเอียดในปี 1797 เกี่ยวกับคนไข้ชาวอังกฤษเจมส์ ทิลลี แมททิวส์ (James Tilly Matthews) และรายงานคนไข้ต่าง ๆ ของแพทย์ชาวฝรั่งเศส Philippe Pinel ที่ตีพิมพ์ในปี 1809 บ่อยครั้งจัดว่าเป็นรายงานโรคจิตเภทแรก ๆ ในวรรณกรรมทางการแพทย์และวรรณกรรมทางจิตเวช[221]

จิตแพทย์ชาวเยอรมันได้ใช้คำละตินว่า dementia praecox ในปี 1886 และแพทย์ชาวเช็กอาร์โนลด์ พิก (Arnold Pick) ในปี 1891 ก็ได้ใช้คำเดียวกันในรายงานผู้ป่วยสำหรับคนไข้โรคจิตเภทแบบสับสน (disorganized) คนหนึ่งในปี 1891จิตแพทย์ชาวเยอรมันเอมีล เครพอลีน (Emil Kraepelin) ได้ใช้คำนี้ในปี 1893 และต่อมาในปี 1899 ได้เสนอการจำแนกความผิดปกติทางจิตใจที่ต่างกันระหว่างคำว่า dementia praecox กับ mood disorder (ซึ่งเขาเรียกว่า manic depression โดยรวมทั้งโรคซึมเศร้าขั้วเดียวและโรคอารมณ์สองขั้ว)[222]หมอเครพอลีนเชื่อว่า โรค dementia praecox น่าจะมีเหตุจากกระบวนการของโรคที่คุกรุ่นอยู่ทั่วร่างกายเป็นระยะยาวซึ่งมีผลต่ออวัยวะมากมายและต่อระบบประสาทส่วนนอก แต่จะมีผลต่อสมองหลังวัยเจริญพันธุ์โดยเป็นระยะสุดท้าย[223]เขาได้ใช้คำว่า "praecox" (แปลว่า เกิดก่อน) เพื่อแยกโรคให้แตกต่างกับภาวะสมองเสื่อมอื่น ๆ เช่น โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งปกติเกิดขึ้นทีหลังในชีวิต[224]

แพทย์ชาวฝรั่งเศส Bénédict Morel ได้ใช้คำว่า démence précoce ในปี 1852 จึงมีผู้อ้างว่า เป็นผู้ระบุโรคจิตเภทเป็นคนแรกแม้ก็ไม่ได้ใส่ใจว่า ไม่มีอะไรที่จะเชื่อมการใช้คำนี้กับกระบวนการสร้างแนวคิดของโรค dementia praecox ที่เป็นไปต่างหากในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19[225]

โมเลกุลของยา chlorpromazine (ชื่อการค้า Thorazine) ซึ่งปฏิวัติการรักษาโรคจิตเภทในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950

คำว่า schizophrenia ซึ่งแปลอย่างคร่าว ๆ ได้ว่า "การแยกจิต" และมาจากรากศัพท์คำกรีกโบราณว่า schizein (σχίζειν แปลว่า "แยก") และ phrēn, phren- (φρήν, φρεν-, แปลว่า "จิต")[226]จิตแพทย์ชาวสวิสอ็อยเกน บล็อยเลอร์ได้บัญญัติขึ้นในปี 1908 เพื่อระบุการทำงานแยกจากกัน (คือไม่ประสานกัน) ระหว่างบุคลิกภาพ ความคิด ความจำ กับการรับรู้ชาวอเมริกันและชาวอังกฤษตีความผลงานของหมอบล็อยเลอร์ว่า เขาอธิบายโรคว่ามีอาการ 4 อย่างหลัก ๆ ย่อได้เป็น A 4 ตัวคือ การไร้การแสดงออกทางอารมณ์ (flattened affect) ออทิซึม (autism) การสัมพันธ์แนวคิดอย่างบกพร่อง (impaired association of ideas) และการมีความรู้สึกทั้งดีและไม่ดีต่อเรื่องต่าง ๆ (ambivalence)[227][228]หมอบล็อยเลอร์ตระหนักว่า โรคไม่ใช่ภาวะสมองเสื่อม เพราะคนไข้ของเขาบางส่วนดีขึ้นแทนที่จะแย่ลง และดังนั้น จึงได้เสนอการใช้คำนี้แทนต่อมาตอนกลางคริสต์ทศวรรษ 1950 การพัฒนาและการนำยา chlorpromazine มาใช้ได้ปฏิวัติการรักษาโรคนี้[229]

ในต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 เกณฑ์วินิจฉัยของโรคจิตเภทมีการโต้เถียงหลายประเด็น ซึ่งในที่สุดก่อเกณฑ์เชิงปฏิบัติการ (operational criteria) ตามที่ใช้ในปัจจุบันงานศึกษาการวินิจฉัยโรคของสหรัฐ-อังกฤษปี 1971 ได้ทำให้ชัดเจนว่า โรคนี้วินิจฉัยในอเมริกามากกว่าในยุโรป[230]ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะเกณฑ์วินิจฉัยที่ใช้ในสหรัฐ คือ DSM-II หลวมกว่าเกณฑ์วินิจฉัยที่ใช้ในยุโรปคือ ICD-9นักจิตวิทยาชาวอเมริกันเดวิด โรเซ็นแฮน ได้พิมพ์งานศึกษาในวารสาร ไซเอินซ์ ในปี 1972 โดยมีชื่อเรื่องว่า "On being sane in insane places (เรื่องความเป็นคนปกติในที่ที่บ้า ๆ)" แล้วสรุปว่า เกณฑ์วินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภทในสหรัฐบ่อยครั้งเป็นอัตวิสัยและเชื่อถือไม่ได้[231]นี่เป็นปัจจัยที่ต่อมาทำให้แก้ไขไม่ใช่เพียงแต่เกณฑ์วินิจฉัยโรคจิตเภท แต่แก้ไขคู่มือ DSM ทั้งหมด จนได้ตีพิมพ์ DSM-III ในปี 1980[232]

คำภาษาอังกฤษว่า schizophrenia เข้าใจผิดอย่างสามัญว่า คนไข้มีบุคลิกภาพที่แตกออก (split personality) เหมือนกับหลายคนแม้คนไข้ที่วินิจฉัยว่าเป็นโรคอาจได้ยินเสียงของบุคคลต่าง ๆ โรคก็ไม่ทำให้คนไข้เปลี่ยนเป็นคนต่าง ๆ ผู้มีบุคลิกภาพต่าง ๆ กันความสับสนมาจากการตีความตรง ๆ ของคำว่า "schizophrenia" ซึ่งหมอบล็อยเลอร์ดั้งเดิมก็สัมพันธ์โรคกับการแตกตัวออกจากกัน และรวมโรคบุคลิกภาพแบบแตกแยกเป็นหมวดหมู่หนึ่งของโรคจิตเภท[233][234]อนึ่ง โรค dissociative identity disorder (คือมีบุคลิกภาพที่แตกเป็นบุคคลต่าง ๆ) ก็มักจะวินิจฉัยผิดว่าเป็นโรคจิตเภทเพราะเกณฑ์วินิจฉัยที่หลวมของ DSM-II[234][235]กวีชาวอังกฤษ (T.S. Eliot) ได้ใช้คำนี้ผิด ๆ โดยหมายถึง บุคลิกภาพที่แตกออก เป็นคนแรกตามที่รู้ในปี 1933[236]แม้นักวิชาการอื่น ๆ จะได้พบร่องรอยการใช้ผิด ๆ ก่อนหน้านั้น[237]จริง ๆ แล้ว คำนี้หมายถึง "การแยกการทำงานทางด้านต่าง ๆ ของจิตใจ" (คือทำงานไม่ประสานกัน) ซึ่งสะท้อนอาการของโรค[238]

แหล่งที่มา

WikiPedia: โรคจิตเภท http://www.clinicalevidence.bmj.com/x/systematic-r... http://www.diseasesdatabase.com/ddb11890.htm http://www.emedicine.com/emerg/topic520.htm http://www.emedicine.com/med/topic2072.htm http://www.emedicine.com/med/topic3113.htm http://www.emedicine.com/med/topic3113.htm# http://www.icd9data.com/getICD9Code.ashx?icd9=295 http://www.ijpsy.com/volumen3/num2/60/schizophreni... http://www.kluweronline.com/art.pdf?issn=1386-7423... http://pro.psychcentral.com/dsm-5-changes-schizoph...