เข้าสู่การเมือง ของ อดอล์ฟ_ฮิตเลอร์

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ
ระบอบนาซี
ระบอบนาซีนอกเยอรมนี

สมาชิกพรรคกรรมกร

หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติ ฮิตเลอร์กลับมายังมิวนิก[77] เพราะไม่มีแผนหรือโอกาสการศึกษาและอาชีพอย่างเป็นทางการ เขาจึงพยายามอยู่ในกองทัพให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้[78] เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1919 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นแวร์บินดุงสมันน์ (เจ้าหน้าที่การข่าว) แห่งเอาฟ์แคลรุงส์คอมมันโด (คอมมานโดลาดตระเวน) ของไรชส์แวร์ เพื่อมีอำนาจบังคับทหารอื่นและเพื่อแทรกซึมพรรคกรรมกรเยอรมัน (DAP) ระหว่างที่เขาเฝ้าติดตามกิจกรรมของพรรค DAP ฮิตเลอร์ถูกดึงดูดโดยแนวคิดต่อต้านยิว ชาตินิยม ต่อต้านทุนนิยม และต่อต้านมากซิสต์ของอันโทน เดร็คส์เลอร์ ผู้ก่อตั้งพรรค[79] เดร็คส์เลอร์สนับสนุนรัฐบาลที่มีศักยะแข็งขัน สังคมนิยมรุ่นที่ "ไม่ใช่ยิว" และความสามัคคีท่ามกลางสมาชิกทั้งหมดของสังคม ด้วยความประทับใจกับทักษะวาทศิลป์ของฮิตเลอร์ เดร็คส์เลอร์จึงเชิญเขาเข้าร่วมพรรคกรรมกรฯ ฮิตเลอร์ยอมรับเมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1919[80] เป็นสมาชิกพรรคคนที่ 55[81]

สำเนาบัตรสมาชิกพรรคกรรมกรเยอรมันของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์

ที่พรรคกรรมกรฯ ฮิตเลอร์พบดีทริช เอคคาร์ท หนึ่งในสมาชิกคนแรก ๆ ของพรรคและสมาชิกของลัทธิทูเลอโซไซตี (Thule Society)[82] เอคคาร์ทได้กลายมาเป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่ฮิตเลอร์ แลกเปลี่ยนความคิดกับเขา และแนะนำเขาให้รู้จักกับบุคคลในสังคมมิวนิกอย่างกว้างขวาง[83] เพื่อเพิ่มความน่าดึงดูดแก่พรรค ทางพรรคได้เปลี่ยนชื่อเป็น "นาซิโยนอัลโซซีอัลลิสทีเชอ ดอยท์เชอ อาร์ไบแทร์พาร์ไท" หรือ พรรคสังคมนิยมกรรมกรแห่งชาติเยอรมัน (ย่อเป็น NSDAP)[84] ฮิตเลอร์ออกแบบธงของพรรคเป็นสวัสติกะในวงกลมสีขาวบนพื้นหลังสีแดง[85]

หลังถูกปลดประจำการในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1920 ฮิตเลอร์เริ่มทำงานกับพรรคเต็มเวลา ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921 ฮิตเลอร์ ซึ่งสามารถปราศรัยต่อผู้ฟังจำนวนมากได้เป็นผลดีแล้ว ปราศรัยแก่ฝูงชนมากกว่าหกพันคนในมิวนิก[86] ในการประกาศเผยแพร่การชุมนุมดังกล่าว ผู้สนับสนุนพรรคสองคันรถบรรทุกขับไปรอบเมืองและโบกธงสวัสติกะและโยนใบปลิว ไม่นานฮิตเลอร์ก็มีชื่อเสียงในทางไม่ดีจากความเอะอะโวยวายและการปราศรัยโจมตีสนธิสัญญาแวร์ซาย นักการเมืองคู่แข่ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกมากซิสต์และยิว[87] ขณะนั้นพรรคนาซีมีศูนย์กลางอยู่ในมิวนิก แหล่งเพาะหลักของลัทธิชาตินิยมเยอรมันต่อต้านรัฐบาลซึ่งตั้งใจบดขยี้ลัทธิมากซ์และบ่อนทำลายสาธารณรัฐไวมาร์[88]

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1921 ระหว่างที่ฮิตเลอร์และเอคคาร์ทกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไประดมทุนยังเบอร์ลิน ได้เกิดการจลาจลขึ้นภายในพรรคกรรมกรฯ ในมิวนิก สมาชิกคณะกรรมการบริหารพรรคกรรมกรฯ ซึ่งบางคนมองว่าฮิตเลอร์ยโสเกินไป ต้องการผนวกรวมกับพรรคสังคมนิยมเยอรมัน (DSP) คู่แข่ง[89] ฮิตเลอร์เดินทางกลับมิวนิกเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 1921 และยื่นใบลาออกจากพรรคด้วยความโกรธ สมาชิกกรรมการตระหนักว่าการลาออกของเขาจะหมายถึงจุดจบของพรรค[90] ฮิตเลอร์ประกาศจะกลับเข้าพรรคอีกครั้งเมื่อเขาเป็นหัวหน้าพรรคแทนเดร็คส์เลอร์ และที่ทำการพรรคจะยังอยู่ในมิวนิกต่อไป[91] คณะกรรมการตกลง เขาเข้าร่วมพรรคอีกครั้งเป็นสมาชิกคนที่ 3,680 เขายังเผชิญกับการคัดค้านภายในพรรคบ้าง แฮร์มันน์ เอสแซร์และพันธมิตรของเขาพิมพ์แผ่นพับ 3,000 แผ่นโจมตีฮิตเลอร์ว่าเป็นผู้ทรยศพรรค[91] ไม่กี่วันให้หลัง ฮิตเลอร์กล่าวแก้ต่างและได้รับเสียงปรบมือดังสนั่น ยุทธศาสตร์ของเขาพิสูจน์แล้วว่าประสบผล ที่การประชุมใหญ่สมาชิกพรรคกรรมกรฯ เขาได้รับอำนาจเต็มในฐานะหัวหน้าพรรค โดยได้รับเสียงคัดค้านเพียงเสียงเดียว[92] ฮิตเลอร์ยังได้รับการชดใช้จากคดีหมิ่นประมาทกับหนังสือพิมพ์สังคมนิยม มึนเชแนร์ โพสต์ ซึ่งตั้งคำถามถึงวิถีชีวิตและรายได้ของเขา[93]

สุนทรพจน์โรงเบียร์ที่เผ็ดร้อนของฮิตเลอร์เริ่มดึงดูดผู้ฟังขาประจำ เขาเริ่มช่ำชองในการใช้แก่นประชานิยมต่อผู้ฟังของเขา รวมทั้งการใช้แพะรับบาปผู้ซึ่งสามารถใช้กล่าวโทษแก่ความยากลำบากทางเศรษฐกิจของผู้ฟังเขา[94][95][96] นักประวัติศาสตร์ได้สังเกตปรากฏการณ์สะกดจิตของวาทศิลป์ที่เขาใช้ต่อผู้ฟังกลุ่มใหญ่ และของตาเขาในกลุ่มเล็ก เคสเซลเขียนว่า "อย่างล้นหลาม ... ชาวเยอรมันเอ่ยกับการร่ายมนต์ของความดึงดูดใจ 'สะกดจิต' ของฮิตเลอร์ คำนี้ปรากฏขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฮิตเลอร์กล่าวกันว่าได้สะกดจิตประเทศชาติ ยึดพวกเขาอยู่ในภวังค์ที่ถอนตัวไม่ขึ้น"[97] นักประวัติศาสตร์ ฮิวจ์ เทรเวอร์-โรเปอร์ อธิบาย "ความมีเสน่ห์ของดวงตาคู่นั้น ซึ่งสะกดชายที่ดูสุขุมมานักต่อนัก"[98] เขาใช้อำนาจดึงดูดส่วนตัวของเขาและความเข้าใจในจิตวิทยาฝูงชนเป็นประโยชน์แก่เขา ระหว่างพูดในที่สาธารณะ[99][100] อัลฟอนส์ เฮค อดีตสมาชิกยุวชนฮิตเลอร์ อธิบายปฏิกิริยาที่มีต่อสุนทรพจน์ของฮิตเลอร์ว่า "เราปะทุเข้าสู่ความบ้าคลังของความภูมิใจชาตินิยมที่อยู่ติดกับฮิสทีเรีย เป็นเวลาหลายนาทีติดกัน เราตะโกนสุดปอดของเรา ด้วยน้ำตาที่ไหลลงมาตามใบหน้าของเรา ซีก ไฮล์, ซีก ไฮล์, ซีก ไฮล์! นับแต่ชั่วขณะนั้น ผมเป็นของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ทั้งร่างกายและวิญญาณ"[101] แม้ทักษะวาทศิลป์และคุณสมบัติส่วนตัวของเขาโดยทั่วไปจะได้รับการตอบรับดีจากฝูงชนขนาดใหญ่และในงานทางการ แต่บางคนที่พบฮิตเลอร์เป็นการส่วนตัวสังเกตว่า ลักษณะภายนอกและบุคลิกของเขาไม่อาจให้ความประทับใจสุดท้ายแก่พวกเขาได้[102][103]

ผู้ติดตามคนแรก ๆ มีรูด็อล์ฟ เฮ็ส, อดีตนักบินกองทัพอากาศ แฮร์มัน เกอริง และร้อยเอกกองทัพบก แอ็นสท์ เริห์ม ผู้ซึ่งต่อมา เป็นหัวหน้าองค์การกำลังกึ่งทหารของนาซี ชตวร์มอัพไทลุง (SA, "กองพลวายุ") ซึ่งคอยคุ้มครองการประชุมและโจมตีคู่แข่งการเมืองอยู่บ่อยครั้ง อิทธิพลสำคัญต่อการคิดของเขาในช่วงนี้คือ เอาฟเบา เวไรนีกุง[104] กลุ่มสมคบคิดอันประกอบด้วยกลุ่มพวกรัสเซียขาวเนรเทศและพวกชาติสังคมนิยมช่วงแรก ๆ กลุ่มดังกล่าว ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากกองทุนที่มาจากนักอุตสาหกรรมอันมั่งคั่งอย่างเฮนรี ฟอร์ด แนะนำเขาสู่แนวคิดของการสมคบคิดยิว โดยเชื่อมโยงการเงินระหว่างประเทศกับบอลเชวิค[105]

กบฏโรงเบียร์

ดูบทความหลักที่: กบฏโรงเบียร์

ฮิตเลอร์ขอการสนับสนุนจากพลเอกสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เอริช ลูเดินดอร์ฟ สำหรับพยายามก่อรัฐประหารที่เรียกว่า "กบฏโรงเบียร์" พรรคนาซีได้ใช้ลัทธิฟาสซิสต์อิตาลีเป็นแบบภาพลักษณ์และนโยบาย และใน ค.ศ. 1923 ฮิตเลอร์ต้องการเลียนแบบ "การสวนสนามแห่งโรม" ของเบนิโต มุสโสลินี (ค.ศ. 1922) โดยจัดรัฐประหารของเขาเองในบาวาเรีย ตามด้วยการท้าทายรัฐบาลในเบอร์ลิน ฮิตเลอร์และลูเดินดอร์ฟฟ์แสวงหาสการสนับสนุนจากสทาทสคอมมิสซาร์ (ผู้ตรวจการรัฐ) กุสทัฟ ฟ็อน คาร์ ผู้ปกครองบาวาเรียโดยพฤตินัย อย่างไรก็ดี คาร์ ร่วมกับหัวหน้าตำรวจ ฮันส์ ริทแทร์ ฟอน ไซส์แซร์ และพลเอกแห่งไรชส์แวร์ อ็อทโท ฟอน ลอสซอว์ ต้องการสถาปนาลัทธิเผด็จการชาตินิยมโดยปราศจากฮิตเลอร์[106]

จำเลยในการพิจารณากบฏโรงเบียร์ ฮิตเลอร์เป็นคนที่สี่นับจากขวาสุด

ฮิตเลอร์ต้องการฉวยโอกาสสำคัญเพื่อการปลุกปั่นและการสนับสนุนของประชาชนอย่างได้ผล[107] วันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1923 เขาและ SA โจมตีการประชุมสาธารณะที่มีผู้เข้าร่วม 3,000 คน ซึ่งจัดโดยคาฮร์ในเบือร์แกร์บรอยเคลแลร์ โรงเบียร์ขนาดใหญ่ในมิวนิก ฮิตเลอร์ขัดจังหวะปราศรัยของคาฮร์และประกาศว่า "การปฏิวัติแห่งชาติเริ่มต้นขึ้นแล้ว" ประกาศจัดตั้งรัฐบาลใหม่กับลูเดินดอร์ฟฟ์[108] โดยชักปืนพกออกมา ฮิตเลอร์ต้องการและได้รับการสนับสนุนจากคาฮร์ ไซส์แซร์และลอสซอ[108] กองกำลังของฮิตเลอร์ประสบความสำเร็จช่วงแรกในการยึดไรชส์แวร์และกองบังคับการตำรวจท้องถิ่น อย่างไรก็ดี ไม่มีกองทัพหรือตำรวจรัฐเข้าร่วมกับกองกำลังของเขา[109] คาฮร์และเพื่อนของเขารีบถอนการสนับสนุนของตนและหนีไปเข้ากับฝ่ายต่อต้านฮิตเลอร์[110] วันรุ่งขึ้น ฮิตเลอร์และผู้ติดตามเดินขบวนจากโรงเบียร์ไปยังกระทรวงสงครามเพื่อล้มรัฐบาลบาวาเรียระหว่าง "การสวนสนามแห่งเบอร์ลิน" แต่ตำรวจสลายการชุมนุม[111] สมาชิกพรรคนาซีสิบหกคนและเจ้าหน้าที่ตำรวจสี่นายถูกสังหารไปในรัฐประหารที่ล้มเหลว[112]

ฮิตเลอร์ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงได้หลบหนีไปยังบ้านของแอ็นสท์ ฮันฟ์สทาเองล์ และหลักฐานบางชิ้นชี้ว่า เขาคิดทำอัตวินิบาตกรรม[113] เขารู้สึกหดหู่แต่สงบลงเมื่อถูกจับกุมในวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1923 ด้วยข้อหากบฏ[114] การพิจารณาคดีของเขาเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1924 ต่อหน้าศาลประชาชนพิเศษในมิวนิก,[115] และอัลเฟรด โรเซนแบร์กเป็นผู้นำชั่วคราวของพรรคนาซีแทน วันที่ 1 เมษายน ฮิตเลอร์ถูกตัดสินจำคุกห้าปีในเรือนจำลันด์สแบร์ก[116] เขาได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นมิตรจากผู้คุม และได้รับอนุญาตให้รับจดหมายจำนวนมากจากผู้สนับสนุนและมีการเข้าเยี่ยมเป็นประจำจากเพื่อนร่วมพรรค ศาลสูงสุดบาวาเรียอภัยโทษและเขาถูกปล่อยตัวจากเรือนจำเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1924 แย้งต่อการทัดทานของอัยการรัฐ[117] ซึ่งหากรวมเวลาระหว่างคุมขังรอการพิจารณาคดีแล้ว ฮิตเลอร์ได้รับโทษในเรือนจำทั้งสิ้นเกินหนึ่งปีเล็กน้อยเท่านั้น[118]

ขณะถูกจองจำอยู่ที่เรือนจำลันด์สแบร์ก เขาได้อุทิศการเขียนหนังสือที่ชื่อว่า ไมน์คัมพฟ์ ("การต่อสู้ของข้าพเจ้า" เดิมชื่อ "สี่ปีครึ่งกับการต่อสู้กับคำโกหก ความเขลาและความขลาด") ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกส่วนใหญ่ แก่ผู้ช่วยของเขา รูด็อล์ฟ เฮ็ส[118] ไมน์คัมพฟ์ ซึ่งอุทิศให้กับสมาชิกทูเลอโซไซตี ดีทริช เอคคาร์ท เป็นทั้งอัตชีวประวัติและการแถลงอุดมการณ์ของเขา ไมน์คัมพฟ์ได้รับอิทธิพลจากหนังสือ The Passing of the Great Race โดยเมดิสัน แกรนท์ ซึ่งฮิตเลอร์เรียกว่า "ไบเบิลของข้าพเจ้า"[119] ไมน์คัมพฟ์ได้รับการตีพิมพ์สองครั้งใน ค.ศ. 1925 และ 1926 ขายได้ประมาณ 228,000 เล่มระหว่าง ค.ศ. 1925 และ 1932 ใน ค.ศ. 1933 ซึ่งเป็นปีที่ฮิตเลอร์เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขายได้หนึ่งล้านเล่ม[120]

การสร้างพรรคใหม่

เมื่อฮิตเลอร์ถูกปล่อยตัวจากเรือนจำนั้น การเมืองในเยอรมนีสงบลงและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ซึ่งจำกัดโอกาสของฮิตเลอร์ในการปลุกระดมทางการเมือง ผลของกบฏโรงเบียร์ที่ล้มเหลว ทำให้พรรคนาซีและองค์การสืบเนื่องถูกกฎหมายห้ามในรัฐบาวาเรีย ในการประชุมกับนายกรัฐมนตรีบาวาเรีย ไฮน์ริช เฮลด์ เมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1925 ฮิตเลอร์ตกลงที่จะเคารพอำนาจโดยชอบของรัฐ และเขาจะมุ่งแสวงหาอำนาจทางการเมืองเฉพาะผ่านกระบวนการประชาธิปไตยเท่านั้น การประชุมดังกล่าวนำไปสู่การยกเลิกการห้าม NSDAP[121] อย่างไรก็ดี ฮิตเลอร์ยังถูกห้ามมิให้ปราศรัยต่อสาธารณะ[122] ซึ่งยังมีผลไปจนถึง ค.ศ. 1927[123] ในการรุกหน้าความทะเยอทะยานทางการเมืองแม้จะมีการสั่งห้ามนี้ ฮิตเลอร์แต่งตั้งเกรกอร์ ชตรัสเซอ, อ็อทโท ชตรัสเซอ และโยเซ็ฟ เกิบเบิลส์ ให้จัดการและขยายพรรคนาซีทางตอนเหนือของเยอรมนี ด้วยความเป็นผู้จัดที่ยอดเยี่ยม เกรกอร์ ชตรัสเซอ ได้เดินหน้าวิถีการเมืองที่เป็นอิสระมากขึ้น โดยเน้นองค์ประกอบของสังคมนิยมในโครงการพรรค[124]

ฮิตเลอร์ปกครองพรรคนาซีโดยอัตโนมัติโดยอ้างฟือเรอร์พรินซิพ ("หลักการผู้นำ") ตำแหน่งภายในพรรคไม่ถูกกำหนดโดยการเลือกตั้ง แต่จะถูกบรรจุผ่านการแต่งตั้งโดยผู้มีตำแหน่งสูงกว่า ซึ่งต้องการการเชื่อฟังโดยไม่มีการตั้งคำถามต่อประสงค์ของผู้นำ[125]

ตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาตกเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1929 ผลกระทบในเยอรมนีนั้นเลวร้ายมาก หลายล้านคนตกงานและธนาคารหลักหลายแห่งต้องปิดกิจการ ฮิตเลอร์และพรรคนาซีเตรียมฉวยโอกาสจากเหตุฉุกเฉินเพื่อเรียกเสียงสนับสนุนแก่พรรค พวกเขาสัญญาว่าจะบอกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซาย เสริมสร้างเศรษฐกิจและจัดหางาน[126]

แหล่งที่มา

WikiPedia: อดอล์ฟ_ฮิตเลอร์ http://www.findarticles.com/p/articles/mi_m0FQP/is... http://www.foxnews.com/story/0,2933,100474,00.html http://www.nytimes.com/2002/01/13/weekinreview/wor... http://www.theglobeandmail.com/news/arts/books/hit... http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,7... http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,7... http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,7... http://www.glasnost.de/hist/ns/eingabe.html http://www.ns-archiv.de/personen/hitler/oesterreic... http://www.potsdam.de/cms/beitrag/10000945/33981/